หลายคนคงเคยได้ยินหรือเห็นคำว่า “DeepFake” ซึ่งส่วนใหญ่ที่เราจะเห็นกันคือการตัดต่อใบหน้าของดาราไปใส่ในวิดีโออนาจาร หรือเป็นการปลอมแปลงเสียงให้เหมือนกันใครคนใดคนหนึ่ง ดูเหมือนเทคโนโลยีนี้จะไม่ค่อยมีผลกับชีวิตคนเราสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเราลองค้นหาคำว่า DeepFake ในสื่อต่างๆ เราก็จะเห็นว่ามีการนำรูปดาราไปใส่ในหนังโรงที่ตัวดาราคนนั้นไม่ได้แสดง ตลอดจนวิดีโอที่มีการปลอมแปลงตัวบุคคลสำคัญทั้งหน้าตาและเสียงพูด จากนั้นก็มีการสื่อสารข้อมูลที่เป็นเท็จออกมา ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดความเสียหายได้ วันนี้เรามาดูกันว่าเทคโนโลยี DeepFake คืออะไร แล้วมันทำอะไรได้บ้าง
DeepFake คืออะไร
DeepFake เกิดจากคำ 2 คำรวมกัน นั่นคือ Deep Learning และ Fake โดย Deep Learning คือการเรียกชุดตรรกะของระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่สามารถเรียนรู้จากสิ่งเล็กๆ เข้าใจง่าย ไปจนถึงเรื่องที่ซับซ้อนหรือยากที่จะเข้าใจ ส่วนคำว่า Fake แปลว่าปลอมนั่นเอง
ตัวเทคโนโลยี DeepFake เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2017 จากผู้ใช้งานบน Reddit ชื่อผู้ใช้งาน DeepFake ใช้ภาพใบหน้าของดาราดังระดับโลกหลายคนเข้ามาแทนที่ใบหน้าของดาราหนังโป๊ รวมไปถึงการนำใบหน้าดาราดังอย่าง Nicolas Cage ไปใส่ในภาพของหนังหลายเรื่องที่เขาไม่ได้แสดงนั่นเอง
DeepFake ทำอะไรได้บ้าง
อย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับที่มาของชื่อที่มี AI เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเทคโนโลยีนี้ ถ้าจะให้ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็น่าจะเป็นเหล่า Filter ทั้งหลายที่อยู่ใน Instagram หรือการตรวจจับใบหน้าของคนในรูปที่เรา Upload ลงใน Facebook
เทคโนโลยีนี้จะเป็นการใช้ประโยชน์ในการตรวจจับใบหน้าคนของ AI เข้ามา และทำการสลับและแทนที่ใบหน้าของคนที่เราเลือก ในตอนแรก เทคโนโลยีนี้ดูเหมือนจะมีข้อจำกัดมากมาย เช่น วิดีโอที่ได้ออกมาจะมีคุณภาพต่ำและมีท่าทางของการแสดงออกที่ไม่เป็นธรรมชาติ แต่ด้วยวันเวลาที่ที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วทำให้เทคโนโลยี DeepFake ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องทำให้ข้อจำกัดต่างๆ ทำให้ทุกวันนี้ วิดีโอที่ออกมาโดยใช้เทคโนโลยี DeepFake แทบจะแยกด้วยตาเปล่าไม่ได้เลย เช่นวิดีโอที่แสดงใบหน้าและท่าทางของ Mark Zuckerberg เจ้าของและผู้บริหารของ Facebook ที่ถูกทำขึ้นโดยเทคโนโลยี DeepFake ทั้งหมด
ส่วนใหญ่จะมีการใช้งานกันเพื่อสร้างความบันเทิงเช่น การนำรูปใบหน้าของดาราดังเข้าไปใส่ในหนังเรื่องต่างๆที่คนๆนั้นไม่ได้แสดง และทำการเปลี่ยนเสียงให้เหมือนกันกับเสียงขอเจ้าของใบหน้านั้น เช่น การนำใบหน้าของ Tom Cruise เข้าไปแทนที่หน้าของ Robert Downey jr. หรือ Iron Man นั่นเอง
แล้วทำไม DeepFake ถึงน่ากลัวกว่าที่เราคิด
ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีนี้จะถูกใช้งานเพื่อจุดประสงค์ในการสร้างความบันเทิง แต่ความเหมือนจริงและการถูกตรวจสอบว่าเป็นของปลอมได้ยาก ซึ่งการปลอมแปลงทั้งภาพ , ท่าทาง และน้ำเสียงอาจจะส่งผลเสียหายขึ้นได้ เช่น หากมีผู้ไม่หวังดีได้ทำการสร้างวิดีโอและนำใบหน้าคนสำคัญในประเทศนั้นๆเช่น ประธานาธิบดี และนำมาปลอมแปลงเสียงและปล่อยข่าวหรือข้อมูลที่เป็นเท็จออกไป อาจจะทำให้เกิดความวุ่นวาย ไปจนถึงความเสียหายระดับชาติที่ยากเกินจะรับมือได้
และนี่คือทั้งหมดของเทคโนโลยี DeepFake ที่เรานำมาให้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นต้นกำเนิด และการที่เทคโนโลยีนี้เป็นเหมือนดาบ 2 คมที่ให้ได้ทั้งความบันเทิง และภัยอันตรายในตัว ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลและจุดประสงค์ที่จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ และเทคโนโลยีนี้ยังบอกกับเราอีกว่า เราควรระวังตัวเกี่ยวกับการเลือกอ่านข่าวจากสื่อต่างๆให้มากขึ้น