เผยโฉมเกมเพลย์ออกมาแล้วแบบเต็ม ๆ สำหรับ Elden Ring, ผลงานเกมแอ็กชัน RPG ลำดับล่าสุดของ FromSoftware ทีมผู้สร้างเกมอันโด่งดังอย่าง Dark Souls, Bloodborne และ Sekiro: Shadows Die Twice
ภายในตัวอย่างนี้ ก็มีรายละเอียดที่เพิ่มเติมขึ้นมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการนำเอาองค์ประกอบจากเกมก่อนหน้านี้กลับมาใช้ รวมไปถึงสิ่งที่ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเรารวบรวมมาไว้ให้แล้วจำนวน 10 ข้อ เป็นเกร็ดน่าสนใจ เรียกน้ำย่อยก่อนถึงเวลาที่เกมจะได้วางจำหน่ายจริง
1. ระบบ Bonfire ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่
แน่นอนว่า Elden Ring ยังคงใช้ระบบจุดเซฟลักษณะเดียวกันกับที่แฟน ๆ Dark Souls คุ้นเคยกันในชื่อว่า “Bonfire” ขณะที่เกมอื่น ๆ ก็จะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป
สำหรับเกมนี้ ตัวจุดเซฟจะใช้ชื่อว่า Site of Grace หรือ “พรที่พัก” ซึ่งจากเดิมที่ผู้เล่นสามารถวาร์ปกลับไปได้แค่จุดเซฟล่าสุด ใน Elden Ring ก็จะสามารถวาร์ปไปได้ทุกที่แล้ว
ที่สำคัญคือ “พรที่พัก” จะไม่ได้เอาไว้เป็นจุดตั้งหลักเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เพราะคราวนี้มันจะส่องแสงช่วยชี้นำให้ด้วย ว่าผู้เล่นควรเดินทางไปที่ไหนต่อ เพื่อทำให้เนื้อเรื่องหลักคืบหน้า
2. มังกรที่พบในระหว่างการผจญภัย
จากตัวอย่าง เราจะเห็นมังกรที่บินลงมาจากฟากฟ้า เปิดโอกาสให้ผู้เล่นต่อสู้กับมันได้ ซึ่งก็คาดว่ามังกรตัวนี้จะเป็นมินิบอสที่พบได้ตามฉาก เช่นเดียวกับเกมอื่น ๆ ที่ผ่านมา
ทางทีมงาน FromSoftware มักจะใส่ศัตรูอย่างมังกรหรือไวเวิร์นเข้ามาเป็น “กำแพง” สำหรับท้าทายผู้เล่นใหม่ ให้สามารถสู้กันตรง ๆ หรือหลบเลี่ยงไปก่อน ยังไม่ต้องฆ่ามันก็ได้ในตอนแรกพบ ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันกับ Hellkite Dragon ใน Dark Souls หรือ Red Dragon ใน Demon’s Souls นั่นเอง
3. กัลยาณมิตร ที่คราวนี้ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็น “ไห”
เผยโฉมหน้าของ Alexander, NPC ที่คาดว่าเราจะได้พบเรื่อย ๆ ตลอดทั้งเรื่อง เหมือนอย่าง Siegmeyer of Catarina ใน Dark Souls หรือ Biorr, of the Twin Fangs ใน Demon’s Souls
โดยทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา เราก็มักจะได้เห็นการเปิดตัว NPC เหล่านี้ท่ามกลางสถานการณ์อันแปลกประหลาดอยู่เสมอ ทำให้ผู้เล่นต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ จากนั้นก็จะกลายมาเป็นมิตรสหายที่จะได้เจอกันตามฉากต่าง ๆ ในรูปแบบของเควสต์ต่อเนื่อง ซึ่งไม่มี Objective บอกให้ทราบว่าเราจะได้เจอเขาอีกครั้ง ณ ที่แห่งใด
คราวนี้ก็ต้องมาติดตามกันว่าเรื่องราวของ Alexander จะไปจบลงแบบแฮปปี้หรือสิ้นหวังกันแน่ โดยไม่แน่ว่าก็อาจจะขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้เล่นตลอดการดำเนินเรื่องด้วยเหมือนกัน
4. หมดปัญหาเรื่องตกจากที่สูง
ไม่ใช่แค่ “กระโดด” ได้ แต่ใน Elden Ring ยังปรับลด Fall Damage ให้เหลือน้อยลง ต่อให้เราจะกระโดดลงมาจากที่สูงมาก ๆ ก็แทบไม่เป็นอะไรแล้ว
นับว่าเป็นการมอบอิสระให้ผู้เล่นได้สำรวจโลก Open World โดยไม่ต้องกลัวว่าจะตายจากความไม่ระวัง เช่นเดียวกันกับการเพิ่มระบบ “แผนที่” เข้ามาเพื่อให้เราไม่หลงทิศหลงทางอีกต่อไป
5. เสียงเอฟเฟคต์อันเป็นเอกลักษณ์
เชื่อได้เลยว่าแฟนเกมตระกูล Souls, Bloodborne หรือ Sekiro แค่ได้ยินเสียงจากในตัวอย่าง Gameplay นี้ก็คงรู้สึกคุ้นหูเอามาก ๆ ราวกับหยิบยกเสียงเอฟเฟคต์เดิม ๆ กลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง
โดยเฉพาะกับเสียง “ฉัวะ” ที่จะดังขึ้นเวลาศัตรูตาย ก็ยังคงถูกใส่เข้ามาไว้ในเกมนี้ด้วย ซึ่งองค์ประกอบตรงนี้ก็น่าจะเป็นเอกลักษณ์ของเกมค่าย FromSoftware ที่ยากจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วเรียบร้อย
6. ดันเจี้ยนที่พร้อมจะฆ่าเราได้ทุกรูปแบบ
นอกเหนือจากพื้นที่อันเปิดกว้าง ใน Elden Ring ยังมีสุสานใต้ดิน และสถานที่แคบ ๆ อันเต็มไปด้วยกับดัก, เส้นทางอันวกวน ซุกซ่อนสิ่งอันตรายเอาไว้มากมาย
ซึ่งแม้แต่มุกโจรมุมตึก ถูกศัตรูโจมตีจากจุดอับสายตา ก็ยังถูกใส่เข้ามาให้หายคิดถึงด้วยเหมือนกัน
7. กำแพงลวงตา
กำแพงลวงตา (Illusionary Wall) เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของเส้นทางลับที่ทำขึ้นมาให้ผู้เล่นได้สังเกตตามฉากต่าง ๆ ซึ่งบางครั้งก็วางตำแหน่งไว้อย่างชาญฉลาด แต่บางครั้งก็ดูกวนประสาทอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ลูกเล่นนี้เป็นอุบายเอาไว้ชี้ชวนแบบอ้อม ๆ ให้เราต้องเปิดโหมดออนไลน์อยู่ตลอดเวลา เพราะจะทำให้เรามองเห็นข้อความบนพื้นซึ่งมีผู้เล่นคนอื่นเขียนไว้ และทราบได้ว่ากำแพงตรงหน้านั้นเป็นกำแพงลวงตานั่นเอง
สำหรับใน Elden Ring ก็ต้องมาคอยดูกันว่ากำแพงเหล่านี้จะมาในรูปแบบใดได้บ้าง ซึ่งความสนุกก็น่าจะอยู่ตอนช่วงที่ตัวเกมเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันแรก ๆ เพราะจะเป็นโอกาสที่เราได้เป็นผู้บุกเบิก ค้นหาทางลับเหล่านี้ และบอกต่อผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่ผ่านทางมาในภายหลัง
8. หีบสมบัติที่แฟน ๆ ต่างเข็ดขยาด
เห็นหีบสมบัติกันแบบนี้ ก็เชื่อขนมกินได้เลยว่าหลายคนน่าจะต้องมีเสียวกันบ้างไม่มากก็น้อย เพราะสำหรับเกมตระกูล Souls มันเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเราอาจจะเจอเข้ากับ “Mimic” ปิศาจที่ปลอมตัวมาเป็นหีบสมบัติ คอยดักกินหัวผู้เล่นที่ไม่ระวังตัว
ซึ่งก่อนหน้านี้ เราจะสามารถสังเกตรูปแบบของโซ่ได้ โดยหีบสมบัติที่ปลอดภัยจะมีโซ่โค้งขึ้นด้านบนแบบในตัวอย่าง Gameplay, ส่วนหีบที่มี Mimic ปลายโซ่จะชี้ลงมาด้านล่างแทน
ทั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าทีมงานจะยังใส่ Mimic เข้ามา หรือแอบล็อคหลบไปเป็นอย่างอื่นหรือไม่ ซึ่งก็ต้องรอไปเจอกันด้วยตัวเองอีกครั้งในตอนที่ Elden Ring วางจำหน่าย
9. แผนที่โลกเปิดที่อิสระกว่าที่เคย
เป็นไปตามที่ผู้กำกับเกมอย่างคุณ Miyasaki ให้สัมภาษณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ คือตัวเกมจะเป็นโลกเปิดที่มีขนาดใหญ่มาก ซึ่งผู้เล่นสามารถเลือกได้ว่าจะมุ่งหน้าไปยังที่ใดก่อนแบบไม่เรียงลำดับตายตัว อีกทั้งยังมีทั้งพื้นที่สูง-ต่ำ เพิ่มมิติการสำรวจให้มากขึ้นกว่าที่เคย
และแม้ในตัวอย่าง Gameplay เราจะยังไม่ได้เห็น “บึงพิษ” แบบที่ทีมงานชื่นชอบจะใส่เข้ามาในเกมอยู่เสมอ ๆ (และแฟน ๆ ก็ปวดหัวกับมันอยู่เสมอ) แต่ก็คาดว่าบึงพิษน่าจะมาตามนัดแน่นอน เมื่อพิจารณาจากหนึ่งในภาพ Concept Art ที่เคยเผยออกมาก่อนหน้านี้
10. ขาดไปไม่ได้เลย ก็คือฉากบอสไฟต์
ประตูหมอกขนาดใหญ่ ที่ก้าวผ่านเข้าไปก็ต้องเจอกับคัทซีนสุดอลังการ เพื่อเปิดตัวศัตรูระดับบอสที่จะมาประมือกับเราแบบถึงเลือดถึงเนื้อ
สำหรับบอสที่ปรากฏมาในตัวอย่างนี้ คือ Godrick the Golden ผู้ปกครองดันเจี้ยน Stormveil ซึ่งใช้อาวุธหลากหลายรูปแบบ ชวนระทึกขวัญทุกจังหวะโจมตี และการพลาดเพียงเล็กน้อย อาจหมายถึงต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ที่จุดเซฟ
น่าสนใจว่าท่าทางการโจมตีของ Godrick นั้นรวดเร็วและต่อเนื่องมากทีเดียว แต่ก็มีบางจังหวะที่เขาจะหยุดตั้งท่ารออยู่เหมือนกัน ทำให้พอจะอนุมานได้ว่า Elden Ring ยังคงมีจุดที่ปรานีผู้เล่นอยู่บ้าง และเปิดช่องให้เราได้ใช้ตัวช่วยอื่น ๆ อย่างการอัญเชิญเหล่าภูติขึ้นมาช่วยสู้และดึงดูดความสนใจ รวมไปถึงใช้ไอเท็มในการบัฟอาวุธหรือฟื้นฟูพลัง เพื่อเตรียมรอรับแรงกระแทกในระลอกใหม่
จะมีรายละเอียดอื่น ๆ ตามมาในภายหลัง
ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ทางทีมงาน FromSoftware จึงบอกว่าหลังจากนี้จะมีรายละเอียดของตัวเกมเผยมาให้ชมอีกแน่นอน ซึ่งหากมีจุดใดที่น่าสนใจ เราก็จะนำมาอัปเดตให้ทราบกันต่อไป
Elden Ring จะวางจำหน่ายในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2022 ลงให้ทั้ง PlayStation 5, PlayStation 4, Xbox Series X|S, Xbox One และ PC ซึ่งก็ได้รับการยืนยันว่าจะรองรับซับไตเติลภาษาไทยอย่างเต็มรูปแบบ
สำหรับตัวเกมบนหน้าร้านค้า Steam เปิดราคาเริ่มต้นมาที่ 1,490 บาท ผู้ที่สนใจก็สามารถเข้าไปสั่งจองล่วงหน้ากันได้ที่ :
