ในปี 2020 นี้ เชื่อว่าคงไม่มีใครยังไม่รู้จัก หรือไม่เคยเห็นการแข่งขันกีฬา “Esports” อันเป็นหนึ่งในชนิดกีฬาใหม่ที่กำลังจะมีบทบาทมากขึ้นอย่างมากในทศวรรษนี้ นักแข่ง, ทัวร์นาเม้นต์ และเกมต่าง ๆ ในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับดาราหรือรายการโชว์ที่มีแฟน ๆ นับล้านทั่วโลก รวมถึงเงินรางวัลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาเพียง 20 ปีที่ผ่านมา
เมื่อ Esports กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น วันนี้เราจึงจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับอีกหนึ่งส่วนประกอบสำคัญของวงการ นั่นก็คือ “ทัวร์นาเม้นต์” ที่ถูกจัดขึ้นในเกมต่าง ๆ ว่าจะมีรูปแบบ กฏ กติกา รายละเอียดอย่างไรบ้าง เรามาชมไปพร้อม ๆ กัน
รูปแบบของ Esports tournament
หากให้สรุปแบบง่ายและสั้นที่สุด Esports tournament ก็คือการแข่งขันที่มีไว้เพื่อให้แต่ละทีมได้ต่อสู้กัน “อย่างยุติธรรม” นั่นเอง โดยคำว่ายุติธรรมนี้ก็หมายรวมถึง การให้แต่ละทีมได้ต่อสู้กันจนปราศจากข้อสงสัย ว่าใครคือทีม/คนที่แข็งแกร่งที่สุดในการแข่งขัน การแข่ง Esports จึงมีรูปแบบมากมาย ตามลักษณะของแต่ละเกมที่แตกต่างกันไป ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะคำนึงถึงจำนวนผู้เข้าร่วม และเวลาที่ใช้แข่ง เป็นหลักว่าควรจะใช้วิธีไหนในการสร้างทัวร์นาเม้นต์ที่เหมาะสมที่สุด
ในการทำความเข้าใจกับรูปแบบของ Esports tournament เราจึงต้องแบ่งหัวข้อหลักออกเป็น 3 อย่าง ได้แก่ จำนวนการแข่ง, ชนิดการแข่ง, และ Play-off ซึ่งเป็นการแยกไปตามความสำคัญในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1.จำนวนการแข่งขัน
ทุก ๆ การแข่งขัน Esports นั้น แน่นอนว่าจะต้องวัดกันที่ผลแพ้-ชนะ ของแต่ละคน หรือทีมต่าง ๆ ที่ร่วมรายการ โดยที่จำนวนครั้งที่จำเป็นต้องชนะเพื่อให้ผ่านเข้ารอบ หรือเป็นแชมป์ในการแข่งนั้น จะสัมพันธ์กับรูปแบบเกมที่กำลังแข่งอยู่ โดยในประวัติศาสตร์การแข่ง Esports ที่ผ่านมา จำนวนการแข่งที่เคย และมีการใช้อยู่เป็นประจำก็ได้แก่
- Best of One (Bo1) – คือการแข่งแบบครั้งเดียวได้ผู้ชนะทันที มักจะเห็นในเฉพาะการแข่งในรอบแบ่งกลุ่มที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก, การแข่งในรอบ Knockout หรือการแข่งในกรณีที่มีผลเสมอเพื่อหาผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว
- Best of Two (Bo2) – คือการแข่ง 2 ครั้ง มักพบเห็นได้บ่อยกว่า การแข่งในลักษณะนี้จะทำให้เกิดผลได้เพียง 2 แบบคือ 2-0 และ 1-1 ทำให้นิยมใช้ในรูปแบบการแข่ง Group Stage (จะอธิบายในข้อต่อไป)
- Best of Three (Bo3) – การแข่งแบบมาตรฐานที่พบได้บ่อยที่สุด คือการแข่งจนกระทั่งได้คน/ทีมที่ชนะได้ 2 ครั้ง มักเกิดขึ้นในการแข่งแบบ Bracket stage และเกมที่ต้องใช้เวลาการเล่นค่อนข้างนาน หรือมีจำนวนการแข่งหลายรอบเป็นส่วนใหญ่
- Best of Five (Bo5) – เป็นรูปแบบการแข่งขันที่ใหญ่และใช้เวลานานมาก (ราว 2-5 ชม.) ทำให้มักกจะได้เห็นในรอบ Final หรือ Knockout stages เท่านั้น โดยจะทำการแข่งให้ได้ผู้ที่ชนะ 3 ครั้งในการแข่งไม่เกิน 5 ครั้ง จึงจะได้ผู้ชนะอย่างแท้จริง เช่นรอบ Final ของ Dota และ CS:GO เป็นต้น
- Best of Seven (Bo7) – เป็นรูปแบบการแข่งขันที่ใหญ่และใช้เวลานานเช่นกัน มักพบการแข่งในรูปแบบนี้ไม่บ่อยนักและมักจะเป็นรอบชิงชนะเลิศเป็นส่วนใหญ่ เป็นการแข่งหาผู้ที่ชนะได้ 4 ใน 7 ครั้งก่อน ถึงจะได้เป็นผู้ชนะที่แท้จริง โดยเกมที่จะใช้ระบบ Bo7 มักจะเป็นเกมที่มีระยะเวลาการแข่งไม่นาน เช่นเกมมือถือ (เช่น RoV และเกม Mobile MOBA ต่าง ๆ) หรือ Sports Game อย่าง Rocket League และ RanbowSix เป็นต้น
2. รอบแบ่งกลุ่ม (Group stages)
ถัดจากเรื่องจำนวนการแข่งขัน ต่อมาคือในส่วนของวิธีที่จัดให้แต่ละคนได้แข่งกันอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง ทัวร์นาเม้นต์แบบมาตรฐานจึงจำเป็นที่ต้องมีการแข่งในลักษณะของ Group stage ก่อนเสมอ (บางครั้งอาจเรียกว่า การแข่งแบบ Play-in) เพื่อทำการคัดทีมต่าง ๆ มากมายให้เหลือเพียงไม่กี่ทีมก่อนที่จะเข้าสู่รอบ Play-off ต่อไป
การแข่งในรอบแบ่งกลุ่มนี้มีความสำคัญมาก เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ทีมมีโอกาสเท่า ๆ กันที่จะได้เข้าไปสู่รอบที่สูงขึ้น โดยเฉพาะกับทีมเล็ก, ทีมหน้าใหม่ที่พึ่งลงแข่งครั้งแรก เป็นต้น
การแข่งรอบแบ่งกลุ่มจะเริ่มจากการแบ่งผู้เล่นออกเป็นกลุ่ม ตั้งแต่ 2 ขึ้นไปเท่า ๆ กัน แล้วให้แต่ละคน/ทีมในกลุ่มนั้นทำการแข่งกันเอง คนได้ผู้ชนะประจำกลุ่ม ในจำนวนและวิธีที่แตกต่างกันไปในแต่ละเกม การแข่งในลักษณะนี้จึงทำให้ทุกทีมได้มีโอกาสได้แสดงฝีมือได้ 2-4 ครั้ง และเจอทีมอื่น ๆ อย่างน้อย 1-3 ทีมเป็นอย่างน้อยเสมอ ทำให้การแข่งมีสีสันและมีคุณค่าทั้งต่อตัวผู้เล่นและผู้ชม เพราะหากแข่งในรูปแบบ Knock-out เลย บางทีมหรือนักแข่งบางคนอาจจะได้แข่งเพียงครั้งเดียว หรือกับแค่ทีมเดียวเท่านั้นตลอดทัวร์นาเม้นต์
ทั้งนี้ การแข่งแบบ Group stage นี้ก็มีรูปแบบมาตรฐานที่พบเห็นได้บ่อย 4 แบบ ได้แก่
- Round Robin : เป็นการแข่งที่เรียกง่าย ๆ ว่า “แข่งแบบพบกันหมด” โดยทุกคน/ทีม จะได้เจอกัน 1 ครั้ง มักเกิดขึ้นในรอบแบ่งกลุ่มที่มีจำนวนคน/ผู้เล่นในกลุ่ม 3 ทีมเป็นอย่างน้อย และมักจะแข่งในรูปแบบ Bo1 หรือ Bo3 เพื่อความรวดเร็วในการตัดสิน
- Double Round Robin : เหมือนกับ Round Robin ทุกประการ แต่จะทุกทีมจะเจอกัน 2 ครั้งเป็นอย่างต่ำแทน เสมือนกับการแข่งแบบเหย้า-เยือน ของกีฬาอื่น ๆ นั่นเอง ตัวอย่างเกมที่ใช้การแข่งประเภทนี้คือ RoV Pro League เป็นต้น
การแข่งแบบ Round Robin ถือเป็นการแข่งแบบ Group Stage ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะการที่ทุกทีมได้พบกัน และสะดวกกับผู้จัดที่สามารถทำให้ทุกทีมได้แข่งอย่างเท่าเทียมกันและรวดเร็ว รวมถึงในเรื่องการแบ่งรายการเพื่อถ่ายทอดสดได้ง่ายอีกด้วย แม้จะมีข้อเสียบางประการ เช่น หากมีการแบ่งกลุ่มมากกว่า 1 กลุ่ม ทีมที่อยู่คนละกลุ่มกันจะอาจไม่มีโอกาสได้เจอกันเลย หรือการที่มีทีมใหญ่เจอทีมเล็ก ที่อาจจะดูไม่ยุติธรรม หรืออาจดูสนุกน้อยลงบ้าง เป็นต้น
- Swiss Round : เป็นการแข่งในรูปแบบที่พบได้ไม่บ่อยนัก โดยแนวคิดของการทำ Swiss Round ได้มาจากการแข่งกีฬาอย่างหมากรุก ที่มีผู้เล่นกว่าร้อยคนในการแข่งครั้งเดียว โดยผู้เล่น/ทีม จำนวนมากนี้จะทำการจับสลากเพื่อพบกันเป็นคู่ ๆ และแข่งในรูปแบบ Bo1, Bo2 หรือ Bo3 การแข่งในลักษณะนี้ จะทำให้ทุก ๆ ครั้งที่แข่ง จะมีผู้เล่นลดลงครึ่งนึ่งเสมอ แต่ก็อาจจะมีความแตกต่างกันบางในรายละเอียด เช่น
- Swiss Round แบบปรกติ ผู้แพ้จะตกรอบทันที ผู้ชนะที่เหลือจะแข่งกันเช่นเดิมไปเรื่อย ๆ จนเหลือผู้เล่น/ทีม ไม่กี่ทีม แล้วจึงแข่งในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อหาผู้ชนะต่อไป มักใช้ในกรณีที่มีผู้แข่งจำนวนมากและเวลาจำกัด
- Swiss Round แบบกลุ่ม คือการแข่งแบบปรกติก่อน 1 ครั้ง แล้วในรอบที่สอง จะเป็นการจับสลากเจอกันเองระหว่างผู้ชนะ-ผู้ชนะ และ ผู้แพ้-ผู้แพ้ ในรอบที่ผ่านมา โดยอาจจะแข่งในลักษณะนี้กี่ครั้งก็ได้ แล้วจึงหาผู้เข้ารอบโดยวิธีนับคะแนนหรือผลแพ้ชนะ การแข่งรูปแบบนี้จะทำให้ผู้เล่น/ทีม ได้มีโอกาสเจอกันมากขึ้น
หากใครที่อยู่ในวงการของการ์ดเกม ก็คิดว่าคงจะคุ้นเคยกับระบบ Swss Round เป็นอย่างดีแน่นอน, Hearthstone ที่เป็นเกมการ์ดจึงใช้ระบบนี้ในการแข่งบ่อยครั้ง เกมประเภท fightings, simulators และ Board game ต่าง ๆ ก็นิยมใช้วิธีการแข่งนี้ แต่ในเกมทั่วไปที่ทุกคนรู้จักอย่าง CS:GO ก็มีการแข่งในลักษณะนี้เช่นกัน (มักใช้กับการแข่งแบบ 16 ทีมขึ้นไป)
- GSL System : เป็นการแข่งแบบพิเศษที่มีความซับซ้อนเล็กน้อย กล่าวคือ จะมีการแบ่งทีมเป็นกลุ่มละ 4 คน/ทีม แล้วจึงจับให้แข่งกันเองในกลุ่ม ทำให้ได้ผู้ชนะและผู้แพ้อย่างละคู่ จากนั้นจึงทำการแข่งกันเองในคู่นั้นอีกครั้ง
- ในคู่ผู้ชนะ คน/ทีมที่ชนะจะได้เป็นแชมป์กลุ่ม ผ่านเข้ารอบต่อไปทันที ผู้แพ้จะหล่นลงไปเจอผู้ชนะในคู่ผู้แพ้
- ในคู่ผู้แพ้ คน/ทีมที่ชนะจะขึ้นไปเจอกับผู้แพ้ของคู่ผู้ชนะ เกิดเป็นการแข่งรอบที่ 3 สำหรับผู้ที่แพ้ในรอบนี้จะตกรอบทันที
- ในรอบที่ 3 ผู้แพ้จะตกรอบทันที ส่วนผู้ชนะก็จะขึ้นไปเจอกับแชมป์กลุ่ม
ในช่วงที่ผ่านมา GSL System ค่อย ๆ ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะสามารถตัดปัญหาของการแข่งแบบ Round Robin ที่เคยกล่าวไปได้พอดีสมควร (ทำให้ทุกทีมมีโอกาสพบกันมากขึ้น และใช้เวลาแข่งลดลง) เสมือนกับการแข่งแบบ Play-off ในรอบแบ่งกลุ่ม ตัวอย่างเกมที่ใช้วิธีนี้ก็เช่น Dota 2 และ CS:GO เป็นต้น
3. รอบ Playoff
การแข่งรอบ Playoff หรือ knockout stages ในบางแห่งก็เรียกว่าการแข่งแบบ Olympic system คือการแข่งในระดับชิงชนะเลิศ และจะเกิดขึ้นหลัง Group Stage เสมอ (ในกรณีที่มี) เป็นการแข่งที่มีเอกลักษณ์คือ “Bracket” หรือก็คือสายบน-สายล่าง ที่ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ถือเป็นการแข่งที่สำคัญที่สุดของ Tournament หนึ่ง ๆ ทำให้ในบางครั้งก็ถูกเรียกว่า “Main Event” ได้ด้วย การแข่งในรอบ Playoff จะมีเพียง 2 รูปแบบย่อยหลัก ๆ คือ Single และ Double elimination
- Single Elimination : คือการแข่งแบบ “แพ้คัดออก” โดยจะไม่มีการตกลงไปสายล่างอีก เนื่องจากผ่านการแข่ง Group Stage มาแล้ว ถือเป็นการแข่งที่ตรงไปตรงมาที่สุดและต่อสู้กันดุเดือดที่สุด เพราะทุกทีมจะไม่มีโอกาสแก้ตัวเลยในการแข่งรูปแบบนี้ โดยมักจะแข่งแบบ Bo3 หรือ Bo5
- Double Elimination : เป็นรูปแบบที่ได้รับนิยมมากกว่า การแข่งจะเริ่มขึ้นโดยมีผู้ที่อยู่ในสายบน (Upper bracket) และสายล่าง (Lower bracket) ผู้ชนะในสายบนจะได้ไปต่อในสายเรื่อย ๆ ส่วนผู้แพ้จะตกลงไปสายล่าง การแข่งในสายล่างหากแพ้จะตกรอบทันที ผู้ที่อยู่สายล่างจะแข่งไปเรื่อย ๆ จนได้แชมป์สายล่าง เพื่อไปเจอกับแชมป์สายบนในที่สุด
การแข่งลักษณะนี้ทำให้ทีมที่อยู่สายบนได้เปรียบที่ต้องแข่งน้อยกว่า ทำให้เห็นและมีเวลาปรับตัว/ปรับแผนสำหรับคู่ต่อสู้ที่จะเจอรอบต่อไปมากขึ้น ส่วนทีมสายล่างจะได้เปรียบที่ได้แข่งมากกว่า ทำให้เจอกับทีมต่างๆ และเก็บข้อมูลได้ดีกว่า แลกกับกำลังกายและกำลังใจที่อาจถดถอยไปในการแข่งหลายครั้ง เมื่อการต่อสู้ของแชมป์สายล่างและสายบนในรอบ Final จบลง เราก็จะได้ผู้ชนะในที่สุด
ทั้งนี้ ยังมีการแข่ง Playoff ในรูปแบบที่ซับซ้อนกว่าอย่าง “Triple Elimination” อยู่ด้วย ซึ่งหาชมได้ยากกว่า เพราะเกิดขึ้นได้แค่บางเกมที่มีผู้เข้ารอบ Playoff จำนวนมากเท่านั้น เช่นเกมประเภทการ์ด (Hearthstone, MTG, Gwent) หรือเกมประเภทต่อสู้ (Street Fighter, Mortal Combat, Tekken) และเกม Simulator ต่าง ๆ เป็นต้น
4. ระบบ League คืออะไร ?
แล้วระบบ League คืออะไร ทำไม Dota 2 ที่จัดการแข่งมาแล้วเกือบสิบปีถึงพึ่งมาตั้งระบบนี้เป็นของตัวเอง หากจะกล่าวโดยสรุปก็คือ League (ลีก) เป็นรูปแบบการจัดระบบการแข่งขัน ที่เป็นคนละส่วนกับวิธีจัดการแข่งดังที่กล่าวไป 3 ข้อด้านบน โดยที่การแข่งนั้นจะใช้ระบบลีกหรือไม่ก็ได้ แต่ทุก ๆ การแข่งจะต้องจัดตามวิธีที่ได้กล่าว 3 ข้อที่ผ่านมา แบบใดแบบหนึ่งหรือมากว่า
ระบบ League จะช่วยทำให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเกมสามารถเข้าถึงและพบหากันได้ง่ายขึ้น ทั้งเกม, ทีมนักแข่ง, ผู้จัดงาน รวมถึงผู้ชม และยังทำให้เกมมีการแข่งที่เป็นระบบระเบียบ มีวันเวลาในการแข่งที่ชัดเจนมากขึ้น
ในบางลีก ตัวเกมสามารถใช้นักแข่งในลีกเพื่อโปรโมตตัวเองได้ (รวมถึงการโปรโมตตัวเองของนักแข่งด้วย) และนักแข่งก็ได้รับเงินเดือนจากทางผู้จัดในระหว่างแข่งขันในลีกด้วย ผู้ชมยังสามารถสนับสนุนทั้งเกมและผู้เล่นได้โดยตรงตามแต่ที่ผู้ให้บริการเกมจะจัดหาให้ (เช่นการขาย item ในเกม/นอกเกม ที่เป็นแบรนด์ของแต่ละทีม) ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความมั่นของของ Esports ในแต่ละเกม เพราะการพัฒนาของลีก จะช่วยทำให้ทุกส่วนที่กล่าวมาพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน
League จะวางการแข่งขันอย่างเป็นระบบ มีการเลื่อนชั้น ตกชั้น ทำให้มีทีมเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ทำให้ภาพรวมของการแข่งเกมสนุกขึ้นไปอีกระดับ เพราะเกมจะดูเป็นการแข่งขันที่แท้จริงมากขึ้น (ใกล้เคียงกับกีฬาที่แท้จริงมากขึ้น) ระบบลีกยังทำให้ผู้สปอนเซอร์สามารถหาทีมจะร่วมสนับสนุนได้ง่ายขึ้นจากการดูผลงานในการแข่งขัน
ถึงแบบนั้น ระบบนี้ก็ยังถือว่ามีจุดด้อยอยู่คือ การเข้าร่วมลีกนั้นมักจะมีสิ่งที่เรียกว่า “ค่าแรกเข้า” อันเป็นเงินที่ทีมจะจ่ายให้ League เพื่อซื้อ “Slot” ของตัวเอง ซึ่งตรงนี้ทำให้ลีกของ Esports และกีฬายังมีความแตกต่างกันพอสมควร ราคาค่าแรกเข้านี้จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับทางผู้จัดที่จะเป็นคนกำหนด ซึ่งใน League ใหญ่อย่างเช่นของ CS:GO และ Overwatch ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้สูงถึงระดับล้านเหรียญ ตรงนี้เองที่ปิดโอกาสของทีมขนาดเล็กที่ แม้จะมีฝีมือแต่ไม่สามารถหาสปอนเซอร์ได้ไปแล้วหลายราย อย่างเช่นกับกรณีที่เกิดขึ้นใน RoV Pro League ของประเทศไทย ที่ทีม Ramavana ไม่สามารถเข้าร่วม Pro League Season 2020 ได้ เนื่องจากไม่มีเงินชำระค่าแรกเข้านี้นั่นเอง
ก็ถือว่าครบกันแล้วสำหรับรายละเอียดของการแข่งขันแบบทัวร์นาเม้นต์ของกีฬา Esports จะเห็นได้ว่า ระบบทั้งหมดนี้ ก็คือการนำระบบการแข่งของกีฬาและการแข่งขันต่าง ๆ มาปรับเปลี่ยน ผสมผสานตามความเหมาะสมของแต่ละเกม ทำให้เกิดการแข่งที่สนุกทั้งผู้ชมและเป็นธรรมกับผู้เล่นขึ้นมา ในอนาคตเมื่อวงการนี้เติบโตมากขึ้น เราก็อาจจะได้เห็นรูปแบบการเล่นที่แปลกใหม่มากว่านี้อีกก็เป็นได้ ก็ต้องติดตามชมกันต่อไป
Source : esportsranks.com, egamersworld.com, britishesports.org