ทุกครั้งที่เราพูดถึงระบบเกมที่อยากให้มีในโลกแห่งความเป็นจริง Fast Travel จะเป็นระบบแรกที่ได้รับการโหวตจนติดอันดับเสมอ แน่นอนละว่าใคร ๆ ก็อยากจะประหยัดเวลาในการเดินทางลงโดยไม่ต้องมานั่งอุดอู้อยู่ในรถหรือยานพาหนะเป็นเวลานานกันหรอก แถมยิ่งถึงที่หมายเร็วก็หมายถึงมีเวลาไปทำอย่างอื่นได้มากขึ้นด้วย แต่น่าเสียดายที่ระบบนี้ยังมีอยู่แค่ในโลกของวิดีโอเกมและจินตนาการของเราเท่านั้น
โดยปกติแล้วสำหรับเกมเมอร์ ระบบ Fast Travel ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในเกมประเภท Open World ที่ต้องมีการเดินทางข้ามเมืองในระยะไกลมาก ๆ ยิ่งเกมไหนที่มีแผนที่ขนาดใหญ่มาก ระบบนี้ก็ยิ่งจำเป็น โดยเฉพาะเกมอย่าง Assassin’s Creed Odyssey ที่มีฉากและเมืองอันกว้างใหญ่ การเดินเท้าเพื่อข้ามเมืองนั้นคือวิธีที่เสียเวลาไม่น้อย
การมาของ Fast Travel จึงทำให้ชีวิตของเกมเมอร์สบายขึ้นมาก การเดินทางในเมืองไกลจากเดิมที่ใช้เวลาจริง 20 นาทีกลับใช้เพียงแค่ไม่ถึงนาทีถือเป็นอะไรที่ประหยัดเวลาในการเล่นมาก มันจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นไปโดยปริยาย
ซึ่งแต่เดิมนั้นระบบนี้ถูกนำไปใช้กับเกมแนว RPG ที่มีโลกกว้างใหญ่ แต่ก็ถูกดัดแปลงเข้าไปในเกมที่เน้นแอคชั่นมากกว่า อย่างเช่น Grand Theft Auto ที่เริ่มมีระบบนี้เข้ามาจากการนั่งรถแท็กซี่ด้วยการจ่ายเงินเพิ่มเพื่อไปถึงที่หมายได้ทันที ซึ่งสะดวกมากสำหรับการเข้ารับภารกิจ จนกลายเป็นระบบสามัญในเกมเกือบทุกเกม เรียกว่าเกมไหนที่มีแผนที่กว้างใหญ่แล้วไม่มี Fast Travel คนเล่นก็อาจจะออกอาการเซ็ง ๆ กันได้เลย
แม้ระบบนี้จะช่วยให้ผู้เล่นสบายขึ้นมหาศาล ทว่าก็มีผู้เล่นบางคนที่มองว่า Fast travel จะทำให้อารมณ์การดื่มด่ำกับโลกของเกมนั้นจางหายไป โดยเมื่อปีที่แล้ว Ed Thorn นักเขียนจากเว็บไซต์ GameSpew ได้เขียนถึงเรื่องของระบบ Fast Travel เอาไว้ว่าระบบนี้เป็นการทำลายความดื่มด่ำในโลกของเกมลง อาจไม่ได้รับรู้ว่าโลกในเกมนั้นสวยงามหรือน่าหลงใหลเพียงใด ได้แต่เดินข้ามมันไปและละเลยสิ่งที่ควรจะได้เจอไปเร็ว ๆ
กระทั่งผู้พัฒนาเกมบางคนยังเคยเอ่ยปากพูดเลยว่า บางครั้งผู้เล่นเองก็ควรที่จะดื่มด่ำในสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าปล่อยให้มันผ่านไปโดยที่ไม่รู้สึกอะไรกับมันเลย อย่างเช่น Bruce Straley ผู้กำกับเกม Uncharted 4 เคยกล่าวไว้ใน Twitter ของเขาว่า
“ใช้เวลาของคุณให้เต็มที่ อย่าพยายามกลืนมันลงไปในรวดเดียว ใจเย็นและดิ่มด่ำไปกับมันก่อน”
ยกตัวอย่างเช่น Death Stranding ที่เน้นการส่งของไปให้ถึงที่หมาย และเราเองก็ไม่สามารถลักไก่ Fast Travel ได้ ต้องเดินเท้าหรือขับรถไปให้ถึงที่หมายเท่านั้น และในระหว่างการเดินทาง เราก็จะได้เห็นสิ่งที่ผู้เล่นอื่นสร้างเอาไว้และช่วยให้เราเดินทางได้สะดวกขึ้น เช่นถนนหนทาง จุดฝากของ และอีกมากมาย ถ้าเราเอาแต่ใช้ Fast travel ก็คงพลาดอะไรดี ๆ ไปอีกมากจนคาดไม่ถึงเลย
หรือ Red Dead Redemption 2 ที่การเดินทางด้วยม้าในยุคคาวบอยทำให้เราได้เห็นความสวยงามของธรรมชาติอย่างเต็มตา จนบางครั้งก็อาจจะได้เจอเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงในระหว่างการเล่น กลายเป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงในการเล่นเกม จนหลายครั้งผู้เขียนเองก็เลือกที่จะขี่ม้าเดินทางเพื่อดื่มด่ำกับโลกของเกมอย่างเต็มที่ ได้ดูธรรมชาติและชีวิตของผู้คนแบบเพลินใจ
ทว่าก็แน่นอนที่หลายคนก็คงไม่ได้ชอบที่จะเดินทางกันนาน ๆ ยิ่งโดยเฉพาะคนที่เวลาเดินทางไกลก็เลือกที่จะหลับในระหว่างนั้น(ทีมงานของ GamingDose เองก็เคยหลับคาจอยในระหว่างเล่นทั้ง Death Stranding และ Red Dead 2 มาแล้ว) และโดยเฉพาะคนที่อยากจะรีบเล่นเกมให้จบไว ๆ เพื่อเอาเวลาไปเล่นเกมอื่นหรือทำอย่างอื่นก็มีมากมาย พวกเขาจึงเลือกเบือนหน้าหนีไม่อยากลองเล่นเกมที่ไม่มีระบบนี้ เพราะมันเสียเวลาทำกินนี่แหละ
และเพราะแบบนี้ทำให้การตัดมันออกจากเกมไปเลยจึงเป็นสิ่งที่ไม่เวิร์คนัก เกมอย่าง Fallout 4 ในโหมด Survival ที่เป็นโหมดยากสุดที่ศัตรูจะเก่งขึ้นมากแล้ว ยังตัดระบบ Fast Travel ออกไปด้วย ซึ่งถ้าพูดกันตามตรงแล้วการทำแบบนี้นั้น “ไม่สมควร” แม้แผนที่ของเกมจะไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่การเดินทางด้วยเท้าในหลายคราก็สร้างความหงุดหงิดและรำคาญใจว่า “ทำไมตูถึงต้องเดินด้วยฟะ” อะไรแบบนั้นแหละครับ
แม้ระบบ Fast travel นั้นจะยังคงมีอยู่แค่ในเกม แต่ในโลกจริงของเราก็มีนักวิจัยหลายคนที่พยายามหาทางและพัฒนาระบบขนส่งให้ก้าวหน้า ถึงที่หมายเร็วขึ้นด้วยเวลาที่ลดลง รวมไปถึงประหยัดพลังงานเพื่อลดมลพิษ โดยเฉพาะในแง่การขนส่งที่ถ้าหากใครสามารถการันตีได้ว่าสามารถส่งของปริมาณมากในเวลาอันรวดเร็วได้ก็จะได้เปรียบคนอื่นมหาศาล โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้คนต่างต้องกักตัวอยู่แต่ในบ้านแบบนี้
แต่ถ้าหากวันใดวันหนึ่งผู้คนสามารถ Fast Travel ได้แบบในเกมจริง ๆ โลกของเราน่าจะก้าวหน้ามากกว่าที่เป็นอยู่อย่างมากแน่นอนครับ
บทความอ้างอิง: Fast Travel? No Thanks, I’d Rather Walk: GameSpew