ถ้าหากเราจะพูดถึงเกมสยองขวัญที่มาจากเกาะญี่ปุ่นและใช้ธีมเกมในแบบหนังสยองขวัญที่เราคุ้นกันดีแบบ The Ring, Ju-on มีวิญญาณหลอน ๆ จังหวะปรากฏตัวที่น่ากลัว และ Jump Scare แบบกระชาก ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเกมที่มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้เขียนกล่าวมานั้นและได้รับการกล่าวถึงอย่างมากก็คงหนีไม่พ้นเกมอย่าง Fatal Frame นั่นเองครับ
สำหรับชาวเกมคอนโซลปี 2001 ในยุคนั้นถือเป็นยุครุ่งเรืองของ Playstation 2 ที่สร้างปรากฏการณ์กลายเป็นเครื่องเกมคอนโซลที่ขายดีที่สุดตลอดกาล มีเกมระดับสุดยอดออกมาให้เราเล่นกันมากมายเช่น Final Fantasy X ที่มีเสียงพากย์เต็มรูปแบบเป็นภาคแรก หรือ Silent Hill 2 ที่เสริมความน่ากลัวของเกมแนวนี้ให้มากขึ้นไปอีกขั้น ซึ่งความสำเร็จของเกมแนวสยองขวัญที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ และไอเดียสุดบรรเจิดในการพัฒนาเกมสยองขวัญในแบบที่ยังไม่มีคนทำมาก่อน และเจ้าของไอเดียก็คือคุณ Makoto Shibata ที่เคยมีผลงานสุดบรรเจิดอย่าง Deception: Invitation of Darkness เกมวางกับดักปราบผู้รุกรานสุดมันส์ กับการสร้างโปรเจคสยองขวัญแบบใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน ในชื่อว่า Project Zero
ซึ่ง Project Zero นี้เป็นไอเดียที่เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจของเกม Deception ที่เขาพัฒนาอยู่ และอ้างอิงถึงประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่เขาเคยประสบมา รวมไปถึงเห็นว่าเกมอย่าง Silent Hill นั้นประสบความสำเร็จพอตัว จึงอยากจะสร้างเกมแนวสยองขวัญขึ้นมาบ้าง ดังนั้นเขาจึงไปร่วมปรึกษากับ Keisuke Kikuchi เพื่อพัฒนาระบบเกมเบื้องต้น โดยมีคุณ Shibata วางเนื้อเรื่อง ส่วนคุณ Kikuchi ดูภาพรวมของเกม ซึ่งพวกเขาจะใช้ธีมในแบบของภาพยนตร์สยองขวัญของญี่ปุ่นทั้งแบบทุนสูงและทุนต่ำมาผสมรวมกัน เพื่อที่จะสร้างเกมที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ และพวกเขาก็ทำออกมาได้สำเร็จ
Project Zero หรือ Fatal Frame ภาคแรกวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นวันที่ 13 ธันวาคม 2001 โดยเป็นเรื่องราวในปี 1986 ของพี่น้องตระกูล Hinasaki Miku และ Mafuyu ที่มีพลังในการรับรู้สิ่งเหนือธรรมชาติ วันหนึ่ง Mafuyu ได้หายตัวไปในคฤหาสน์ Himuro ที่เป็นคฤหาสน์ผีสิงที่เต็มไปด้วยวิญญาณร้ายมากมาย และ Miku จะต้องออกตามหาพี่ชายของเธอในคฤหาสน์แห่งนี้ให้เจอให้ได้
ขึ้นชื่อว่าเกมผีแล้ว Fatal Frame เป็นอีกหนึ่งเกมที่จัดเต็มมากในการสร้างบรรยากาศน่ากลัวในสไตล์หนังผีญี่ปุ่นได้อย่างยอดเยี่ยม โดยการควบคุมนั้นจะสลับกันระหว่างการควบคุมแบบมุมกล้องตายตัวที่จะเปลี่ยนตามจุดที่ผู้เล่นเดินไป โดยตัวเกมจะเน้นไปที่การสำรวจแบบเจาะลึกในห้องมืด ๆ รวมกับบรรยากาศหลอน ๆ ทำให้หลายคนแทบไม่กล้าเดินเข้าไปหาไอเท็มเพื่อไปต่อกันเลย แถมผีในเกมนี้ก็ไม่ได้โผล่มาแบบ Jump Scare บ่อย ๆ แต่จะเน้นไปที่การสร้างความกดดันให้กับผู้เล่นเรื่อย ๆ ก่อนที่จะทำให้ตกใจจนถึงขีดสุดในที่สุด ซึ่งถ้าใครจิตไม่แข็งพอได้มีจอยบินหรือโกยออกจากหน้าจอทีวีกันแน่ ๆ
และวิธีการต่อกรกับผีในเกมนี้ก็เหนือล้ำมาก เพราะเราจะต้องใช้กล้องถ่ายรูปโบราณที่มีพลังในการจับวิญญาณร้าย แล้วตัวเกมจะเน้นให้เราต้องถ่ายตัวผีแบบชัด ๆ ซึ่งผู้เล่นจะต้องใช้ความสามารถ Sixth Sense ในการตามถ่ายผีให้เจอ และในระหว่างหาผีให้เจอก็ต้องแลกกับพลังชีวิตที่จะลดลงไปเรื่อย ๆ ด้วย ความแรงขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถถ่ายผีได้ใกล้แค่ไหน ได้เป็นแต้มเอาไว้อัพเกรดกล้องให้ถ่ายผีได้แรงขึ้นหรือใส่ฟิล์มม้วนใหม่ได้เร็วขึ้น จัดเป็นระบบการเล่นที่เหมือนทำมาแกล้งคนขวัญอ่อนอย่างมาก เพราะถ้าจะรีบปราบผีให้ได้ เราก็รอจังหวะถ่ายพวกมันตอนอยู่ใกล้ ๆ ตัว เรียกว่าถ้าใครเล่นเกมนี้ไม่ตายด้านกับเหล่าผี ๆ ในเกมก็เลิกเล่นตั้งแต่เจอผีตัวแรกไปเลย
แม้ภาคแรกจะทำยอดขายไปได้ไม่ดีนัก แต่มันก็กลายเป็นเกมที่ได้รับความสนใจจากผู้เล่นที่ชอบเกมสยองขวัญในแบบเกมที่เกมอื่นไม่สามารถให้ได้ โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบในธีมผี ๆ สไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งภาคต่อ ๆ มาก็ยังคงบอกเล่าเรื่องราวของภูติผีปีศาจในญี่ปุ่นได้อย่างน่าติดตาม แม้จะน่าเสียดายที่หลายภาคนั้นไม่ได้ถูกแปลมาเป็นภาษาอังกฤษ แต่ก็มีเหล่าเกมเมอร์หลายคนที่ยังคงติดตามซีรีส์นี้อยู่อย่างเหนียวแน่นรวมถึงในประเทศไทยเองก็เช่นกัน เพราะธีมแบบเอเชียนั้นเป็นอะไรที่พวกเราคุ้นเคย ทำให้มันมีความน่ากลัวในแบบที่เกมผีจากตะวันตกไม่สามารถให้ได้
น่าเสียดายที่ยอดขายของเกมนั้นไม่ได้สูงมากเมื่อเทียบกับเกมสยองชื่อดังเหมือนเกมอื่น ๆ Fatal Frame มียอดขายรวมของซีรีส์อยู่ที่ประมาณ 1.3 ล้านชุด โดยในภาคแรกขายไปเพียงแค่ 42,000 ชุดเท่านั้น นับเป็นภาคที่ขายได้น้อยที่สุดในช่วงเปิดตัว แต่ก็มียอดขายที่ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ ในภาคต่อ ๆ มา โดยเฉพาะในภาค 4 ที่ทำยอดขายไปได้มากที่สุดที่ 70,000 ชุดบนเครื่อง Nintendo Wii รวม ๆ แล้ว Fatal Frame ทำยอดขายตลอดทั้งซีรีส์ไปได้ที่ 1.3 ล้านชุด แม้จะไม่มากมายแต่ก็ถือเป็นเกมสยองขวัญระดับ Cult Classic อีกหนึ่งเกมที่เกมเมอร์ที่ชอบความหลอนต่างยกย่องอย่างสุดใจ
ปัจจุบันนี้ซีรีส์ Fatal Frame นั้นก็ไม่ได้มีภาคต่อมาร่วมห้าปีแล้ว หลังจากที่วางจำหน่ายภาคสุดท้ายคือ Fatal Frame: Maiden of Black Water ในปี 2014 แต่แฟน ๆ หลายคนก็กำลังคาดหวังให้ทาง Tecmo สร้างภาคต่อของเกมนี้ออกมาเสียที แต่ก็อาจจะหวังกันยากเสียหน่อยเพราะด้วยธีมของญี่ปุ่นเองที่ตีตลาดโลกได้ค่อนข้างยาก รวมไปถึงทาง Tecmo Koei ที่ตอนนี้ก็มีซีรีส์ที่ทำเงินได้มากกว่าอย่างเกมตระกูล Mousou ทั้งหลายหรือ Dead or Alive ที่ขายดีทั้งภาคแยกภาคหลัก แต่ไม่แน่ว่าในอนาคตเราอาจจะได้เห็นภาคต่อของ Project Zero หรือ Fatal Frame อีกครั้งในแบบที่น่ากลัวและทันสมัยขึ้นก็เป็นได้ครับ