Nintendo เป็นชื่อที่เหล่าเกมเมอร์ต่างรู้จักและเชื่อมั่นมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นผลงานเกมหรือเครื่องคอนโซลที่ผลิตออกมาก็การันตีได้ถึงยอดขายที่มหาศาลแน่นอน แต่ก็ใช่ว่า Nintendo นั้นจะมีเครื่องคอนโซลที่ขายได้ดีและประสบความสำเร็จไปเสียหมด ซึ่งหนึ่งในเครื่องเกมที่ไปไม่ถึงฝั่งฝันของพวกเขาก็คือเครื่อง GameCube นั่นเอง
ความยากลำบากของยุคที่หกจาก Nintendo
แม้ในยุคแรกเริ่ม Nintendo จะประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เครื่อง NES มาจนถึง SNES ที่ทำยอดขายได้ทั่วโลกมหาศาล มีเกมจากผู้พัฒนามากหน้าหลายตาให้เล่นเพียบและยังน่าจดจำ รวมไปถึงการปฏิวัติวงการด้วย Gameboy เครื่องเกมพกพาที่ชนะทุกคนแบบขาดลอย
ทว่าพอมาถึงยุคที่ห้าที่พวกเขาเปิดตัวด้วยเครื่องเกมสุดล้ำ Nintendo 64 ที่ล้ำทั้งเทคโนโลยี เกมที่ลงให้ และตัวคอนโทรลเลอร์ที่ใช้งานได้ง่าย ทว่าปัญหาที่พวกเขามองข้ามคือการเลือกที่จะไม่ใช้เทคโนโลยีการบันทึกสื่อแบบ CD-ROM เช่นเดียวกับคู่แข่งรายอื่น ยังคงใช้ตลับเกมที่มีราคาสูงกว่าอยู่ แม้จะได้ภาพที่สวยงามโดดเด่นกว่าใครและเปิดตัวมาได้อย่างน่าทึ่ง แต่ก็พ่ายแพ้ต่อคู่แข่งอย่าง PlayStation และ Sega Saturn ขาดลอย โดยเฉพาะในญี่ปุ่นที่ยอดขายไม่สู้ดีนัก
ด้วยความชอกช้ำและต้องการกลับมาเป็นที่หนึ่ง ทำให้พวกเขาเริ่มพัฒนาเครื่องเกมคอนโซลเครื่องใหม่ขึ้นมาเพื่อกอบกู้ชื่อเสียง มีการใช้สื่อบันทึกข้อมูลแบบใหม่ที่จุข้อมูลได้มากกว่าเดิมแต่ก็ไม่ทิ้งเอกลักษณ์ของตัวเอง และจะต้องมีอุปกรณ์เสริมที่สนับสนุนเกมเครื่องอื่นในค่ายด้วย
และ GameCube ก็คือเครื่องเกมที่ว่านี้นั่นเอง
พัฒนาตัวเองเพื่อให้เหนือกว่าคู่แข่ง
การพัฒนาเครื่อง GameCube เริ่มต้นขึ้นในปี 1998 โดย Nintendo ได้ร่วมมือกับทาง ArtX บริษัทผู้ออกแบบกราฟิกฮาร์ดแวร์เจ้าใหญ่ในญี่ปุ่นและเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 1997 ซึ่งเหล่าทีมงานส่วนใหญ่ก็เคยมีส่วนร่วมกับการพัฒนาเครื่อง Nintendo 64 มาแล้ว ทั้งสองบริษัทได้ร่วมกันพัฒนาและออกแบบเครื่องเกมเครื่องใหม่ที่มีชื่อรหัสมากมายอย่าง N2000, Star Cube และ Nintendo Advance แต่ชื่อที่ทุกคนรู้จักกันมากที่สุดในตอนนั้นคือ Project Dolphin
Nintendo ตั้งเป้าให้ Project Dolphin เป็นผู้สืบทอดความยอดเยี่ยมของ Nintendo 64 อย่างแท้จริง ซึ่งนอกจาก ArtX แล้ว พวกเขายังเชิญ Rare และ Retro Studios รวมไปถึง IBM มาร่วมวางแผนการตลาดไปด้วยกัน และสร้าง CPU ที่เป็นหัวใจสำคัญของเครื่องที่มีชื่อว่า Gecko ขึ้นมา และแม้ทีม ArtX จะถูกทาง ATI ผู้พัฒนาชิปกราฟิกเจ้าใหญ่ซื้อตัวไปในปี 2000 แต่ก็ไม่ได้กระทบกับการพัฒนาเครื่องเกมที่ใกล้แล้วเสร็จในตอนนั้นแต่อย่างใด
สำหรับแผ่นเกม ทาง Nintedo ได้เลือกใช้แผ่น miniDVD ที่ออกแบบโดย Matsushita ของญี่ปุ่นในการเก็บข้อมูล โดยมีความจุอยู่ที่แผ่นละ 1.5 GB มีระบบป้องกันการคัดลอกที่แตกต่างจาก Content Scramble System หรือ CSS ที่อยู่ในแผ่น DVD ทั่วไป แต่ปลอดภัยมากกว่า และทำการคัดลอกได้ยาก แถมแผ่นแบบ MiniDVD เองก็หาซื้อได้ยากและมีราคาแพง ทำให้เราไม่ค่อยได้เห็นแผ่นก๊อปปี้ของเครื่อง GameCube มากนัก
อีกจุดเด่นหนึ่งที่มีการปรับปรุงมากมายก็คือคอนโทรลเลอร์หรือจอยเกม จากเดิมที่ตัวจอยของ Nintendo 64 จะเป็นแบบมีที่จับสามด้าน ก็ถูกตัดออกเหลือแค่สองด้านซ้ายขวา และวางตำแหน่งปุ่มทิศทาง Analog แบบซ้ายและขวาให้เหมาะกับการใช้งานมากขึ้น กลายเป็นหนึ่งในจอยคอนโทลเลอร์ที่ดีที่สุดในโลกไปโดยปริยาย
GameCube เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 สิงหาคม ปี 2000 ที่งานแถลงข่าวในประเทศญี่ปุ่นที่ทาง Nintendo จัดขึ้นเอง มีเกมเปิดตัววางขายพร้อมเครื่องทั้งหมด 15 เกม ซึ่งโชว์ตัวในงาน E3 2001 โดยมีเกมเด่นคือ Luigi’s Mansion และ Star Wars Squadron II: Rouge Leader แม้จะน่าแปลกเล็กน้อยที่ตัวเครื่องเปิดมาโดยที่ไม่มีเกมอย่าง Super Mario เป็นตัวชูโรง แต่ก็สร้างความสนใจให้กับแฟน ๆ ของ Nintendo ได้ไม่น้อย
และในช่วงที่ GameCube วางจำหน่ายก็มีเกมในตำนานหลายเกมวางจำหน่ายออกมาบนเครื่องนี้ และมีกราฟิกที่เหนือกว่าเครื่องอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Resident Evil ฉบับ Remake และ Resident Evil 4 ที่เคยถูกวางแผนว่าจะลงให้กับเครื่อง GameCube เครื่องเดียว พร้อมภาพที่สวยงามจัดเต็มชนิดที่เครื่อง PS2 หรือ Dreamcast เทียบไม่ติดเลยแม้แต่น้อย และเกมของ Nintendo เองอย่าง Pikmin, Super Smash Bros. และ Metroid Prime ที่ออกมาเป็นเกมชูโรงในภายหลังเองก็ยอดเยี่ยมมากด้วยเช่นกัน
ความล้มเหลวที่ถาโถม
GameCube วางจำหน่ายครั้งแรกในวันที่ 14 กันยายน 2001 ในประเทศญี่ปุ่น ยอดขายในวันเปิดตัวนั้นอยู่ที่ 280,000 – 300,000 ชุดในสามวันแรก และข้ามฝั่งไปขายในอเมริกาวันที่ 18 พฤศจิกายนในปีเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับยอดขายของเครื่องคู่แข่งอันดับหนึ่งอย่าง PlayStation 2 แล้วเรียกว่าเทียบไม่ติดเลยแม้แต่น้อย
แม้ตัวเครื่องจะมีประสิทธิภาพที่ล้ำยุค กราฟิกสวยงาม แต่ปัญหาที่เป็นเหมือนหนามยอกอกทิ่มแทงพวกเขาก็คือข้อจำกัดของแผ่นเกมที่เก็บข้อมูลได้น้อยเกินไป อย่างที่บอกไปว่าตัว MiniDVD นั้นเก็บข้อมูลได้เพียงแค่ 1.5 GB แต่แผ่น DVD ทั่วไปเก็บได้ประมาณ 4.5 GB และถ้าเป็นแบบ Double Layer ก็จะเก็บได้มากกว่ากันสองเท่า ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่ทำให้หลายเกมของ GameCube มีราคาสูงเพราะต้องใช้หลายแผ่นในการเล่น แม้จะมีกราฟิกที่สวยกว่าเครื่องอื่นก็ตาม
GameCube ถือเป็นความล้มเหลวซ้ำสองของ Nintendo ที่ไม่สามารถดึงส่วนแบ่งทางการตลาดของเครื่องคอนโซลให้กลับมาอยู่ทางฝั่งของตนเองได้ แถมยังไม่ได้รับความสนใจจากค่ายผู้พัฒนาเกมแบบ Third-Party มากเท่ากับคู่แข่ง และการตลาดของเครื่องเกมเองก็เน้นเจาะไปที่กลุ่มผู้เล่นวัยเด็กและวัยรุ่นที่มีกำลังซื้อต่ำ และเกมที่ได้รับความนิยมในยุคนั้นส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มาลงให้กับเครื่อง GameCube ด้วย
เดือนมิถุนายนปี 2003 GameCube ได้รับส่วนแบ่งทางการตลาดไปเพียงแค่ 13% เท่านั้น ห่างจากคู่แข่งตลอดกาลอย่าง Sony ที่ทิ้งไปแบบไม่เห็นฝุ่นถึง 60%
บทเรียนสำคัญ
แม้การทำตลาดเครื่องคอนโซลของ Nintendo จะล้มเหลวซ้ำ ๆ ถึงสองครั้ง แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็ดึงตัวกลับมาได้จาก Wii ที่ได้รับความนิยมล้นหลามจากนวัตกรรมในการเล่นเกมแบบใหม่ รวมไปถึงยอดขายของเครื่องเกมมือถือรุ่นใหม่อย่าง Gameboy Advance และ Nintendo DS ก็ยังขายได้ดีแบบถล่มทลาย ทำให้พวกเขายังไม่หายไปจากตลาดและสงครามเกมคอนโซลไปง่าย ๆ และตอนนี้ความนิยมของ Nintendo Switch เองก็พุ่งแรงไม่เปลี่ยนเช่นกัน อนาคตของพวกเขายังคงสดใสในวงการอยู่เช่นเดิม
อย่างไรก็ตาม GameCube เองก็เป็นบทเรียนสำคัญที่ทาง Nintendo นำกลับมาเรียนรู้และพัฒนาจนสามารถกลับมาได้อย่างสมศักดิ์ศรี รวมไปถึงเป็นเครื่องเตือนใจว่าไม่ควรทำอะไรล้ำหน้าเกินตัวจนกลายเป็นบ่วงรัดคอตัวเองอีกในอนาคต
เพราะการพยายามที่แตกต่างเกินไป จนเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาไปไม่ถึงฝั่งฝันได้นั่นเอง