BY Zreast
24 Dec 22 12:06 pm

GD The Best 2022 – Elden Ring ประสบการณ์ที่ครบถ้วน สมบูรณ์ที่สุดจาก FromSoftware

52 Views

“เกมยาก” แทบจะกลายเป็นเครื่องหมายการค้าสำหรับทีมงาน FromSoftware ไปแล้ว เพราะนับตั้งแต่ Demon’s Souls มาจนถึงความสำเร็จของ Dark Souls, พวกเขาก็เดินหน้าสานต่อเกมตระกูลนี้มาเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น Bloodborne, Sekiro: Shadows Die Twice และล่าสุดอย่าง Elden Ring

ทว่าจังหวะเปลี่ยนผ่านแต่ละครั้ง ก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่การคายตะขาบรับไม้ต่อสูตรสำเร็จจากเกมเดิม เพราะเรายังคงได้เห็นการทดลองทำอะไรใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของระบบต่อสู้, งานศิลป์ รวมไปถึงการออกแบบฉากบอสไฟต์ที่ดุเดือด และตราตรึงใจผู้เล่นได้ทุกเกมไป

และถ้าจะบอกว่า Elden Ring เป็นจุดสูงสุดเท่าที่ FromSoftware เคยทำมาแล้ว ณ ขณะนี้ก็คงไม่ผิดนัก เพราะนี่คือเกมที่รวมเอาข้อดีของทุกเกมตระกูล Souls อย่างละนิดละหน่อยมาไว้ด้วยกัน ทั้งบรรยากาศเหมืองหินและปราสาทจาก Demon’s Souls, กลไกการต่อสู้แบบ Dark Souls ที่ผู้เล่นแทบไม่ต้องปรับตัวใด ๆ , ความเป็น Cosmic Horror จาก Bloodborne รวมไปถึงการออกแบบฉากที่มีมิติสูง-ต่ำแบบเต็มสูบ เพื่อให้รองรับกับที่ตัวละครผู้เล่นสามารถกระโดดได้แล้วเช่นเดียวกับที่ Sekiro ทำได้

Elden Ring Versus Cavalry

เท่านั้นไม่พอ เพราะใน Elden Ring ยังมีองค์ประกอบหลายอย่างที่เป็นเหมือน Easter Egg มาจากเกมก่อน ๆ ครบถ้วน ที่น่าพูดถึงที่สุดก็เห็นจะหนีไม่พ้นดาบแห่งแสงจันทร์ Moonlight Sword ซึ่งเป็นเหมือนเอกลักษณ์ของทีมงาน FromSoftware ไปแล้ว และคราวนี้พวกเขาก็เลือกที่จะซ่อนมันไว้ให้เป็นอาวุธ Late Game ที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคแสนโหดมากมายกว่าจะได้มาครอง

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Moonlight Sword

และอีกหนึ่งองค์ประกอบที่แสดงให้เห็นว่า FromSoftware ไม่ทอดทิ้งกลุ่มผู้เล่นที่พิชิตเกมไปแล้ว นั่นก็คือระบบ PvP ที่คราวนี้มันกลายเป็นความสนุกขั้นสุด เพราะเมื่อ Elden Ring มีทั้งอาวุธ, เวท และสกิลที่หลากหลายยิ่งกว่าที่ทุกเกมเคยมีมา จึงทำให้ผู้เล่นมีอิสระในการต่อสู้มากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน 

ซึ่งถ้าใครได้เล่นเกมนี้ในช่วงปีที่ผ่านมา ก็จะสังเกตเห็น “โคลอสเซียม” ขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่ในแผนที่ Limgrave, Caelid รวมถึงนครหลวง Leyndell อยู่ก่อนแล้ว พร้อมความสงสัยว่ามันมีไว้ทำอะไรกันแน่ เพราะบอสก็ไม่มี, ไอเท็มสำคัญ ๆ ก็ไม่ถูกวางเอาไว้ ซึ่งในที่สุดทีมงานก็เฉลยในอีก 10 เดือนต่อมา ว่านี่คือโหมด PvP โฉมใหม่ ที่สนุกจนแทบวางจอยไม่ลง

โดยโหมดนี้ ผู้เล่นสามารถสู้ได้ทั้งแบบตัวต่อตัว (ใช้ / ไม่ใช้วิญญาณอัญเชิญ), แบบแบ่งทีม และแบบตะลุมบอน Free-for-all ซึ่งใครชื่นชอบแบบใดก็เลือกจับคู่หาห้องได้ตามถนัด แต่เราก็แนะนำให้ได้ลองโหมด Free-for-all เป็นพิเศษ เพราะนี่คือประสบการณ์ PvP ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้วของ FromSoftware, เรียกว่าทั้งมั่วทั้งนัว ด้วยสกิลสุดอลังการของแต่ละผู้เล่นที่สาดใส่เข้าหากันแบบไม่มีไว้หน้า

ขณะเดียวกัน “ฉากสู้บอส” ที่มีอยู่กว่าร้อยตัวของเกมนี้ ก็คืออีกจุดขายที่ใครหลายคนคาดหวังและไม่ผิดหวัง เพราะแม้ว่าจะมีบอสหน้าตาซ้ำ ๆ ให้สู้อยู่จำนวนหนึ่ง แต่กับบอสตัวสำคัญ ๆ พวกเขาก็สามารถถ่ายทอดความระทึกและความอลังการออกมาได้อย่างไม่มีที่ติ

ซึ่งถ้าคุณยังคงตราตรึงในการเผชิญหน้ากับ

  • Gehrman, Soul of Cinder, Ashina Isshin ท่ามกลางทุ่งดอกไม้
  • ยอดมังกร Midir ที่พ่นไฟแบบดุดันไม่เกรงใจใคร
  • ถูก Nameless King กระทืบเล่นนับครั้งไม่ถ้วนในสังเวียนแห่งวายุ
  • ปะทะ Looking Glass Knight บนปราสาทท่ามกลางสายฝน
  • และอีกมากมาย

บรรยากาศบอสไฟต์อันยอดเยี่ยมเหล่านี้ ก็ยังคงถูกสานต่อใน Elden Ring ไม่ว่าจะเป็นฉากสู้กับยอดขุนพลผู้พิฆาตดาวอย่าง Radahn, ความโอ่อ่าอลังการของห้องบอส Astel, งานศิลป์แห่งความตายสุดวิจิตรในฉากสู้บอส Fortissax หรือความกดดันจนถึงขีดสุดเมื่อสู้กับ Malenia สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องยืนยันว่า Elden Ring มีฉากสู้บอสที่ยอดเยี่ยม และเป็นจดหมายรักสำหรับแฟนเกมตระกูล Souls โดยแท้

ทั้งความอัดแน่นของเนื้อหา, ระบบ PvP ที่ได้รับการปรับปรุง และฉากสู้บอสอันน่าประทับใจ ล้วนเป็นสาเหตุที่เกินพอให้ Elden Ring เป็น “ประสบการณ์ที่สมบูรณ์ที่สุด” เท่าที่ FromSoftware จะมอบให้ได้แล้วในตอนนี้ ซึ่งก็ต้องจับตามองต่อไปว่าทีมงานจะเพิ่ม DLC เนื้อเรื่องใด ๆ เข้ามาให้แฟน ๆ ได้ตื่นเต้นกันอีกบ้างในอนาคต

Elden Ring Moonlight Altar

SHARE

Satthathan Chanchartree

ฟ่าง - Content Writer

Back to top