หากใครมีโอกาสได้เล่น Xenoblade Chronicles 3 ก็จะต้องตกหลุมรักกับเสียงดนตรีจาก “ขลุ่ยชิโนบุเอะ” ที่เป็นเอกลักษณ์ของเกมนี้อยู่ไม่มากก็น้อย
และเสียงดนตรีเหล่านี้ ก็เป็นเหมือนท่วงทำนองคอยขับกล่อมความหมายของ “ชีวิต” และ “อิสรภาพ” ซึ่งเป็นสารหลักของเกม ให้ผู้เล่นได้ซึมซับมันเข้ามาโดยไม่จำเป็นต้องอธิบายด้วยคำพูดใด ๆ
แม้ในทีแรก Xenoblade Chronicles 3 จะคล้ายว่าเป็นพล็อตเรื่องแบบ Boy Meets Girl ท่ามกลางสนามรบ แต่เมื่อผู้เล่นสัมผัสกับเหตุการณ์ต่าง ๆ จากคณะเดินทางของ Noah ก็จะทำให้รู้ว่าทีมงาน Monolith Soft ใส่ใจกับตัวละครและโลกสมมติในเกมนี้สูงมาก ซึ่งเป็นโลกที่หล่อหลอมครอบงำคำลวงเรื่อง “ชีวิต” จนสะท้อนออกมาให้เห็นผ่านทัศนคติของแต่ละคนอยู่ตลอดเวลา
ที่ดินแดน Aionios แห่งนี้ เหล่าทหารจะมีชีวิตอยู่ได้แค่เพียง 10 ปี ซึ่งตัวเกมเปรียบเปรยเป็น “เทอม” ให้เหมือนกับชีวิตการศึกษา ทุกคนต่างยินดีที่จะ “จบการศึกษา” ในเทอม 10 เพื่อหวนคืนสู่ความสงบ ในทางกลับกัน ก็ไม่มีใครอยากตายในสนามรบเสียก่อนจะใช้ชีวิตไปจนสุดทาง แต่หากชะตานั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้, ก็จะเป็นหน้าที่ของ Off-seer (นักดนตรี) คอยเล่นบทเพลงเพื่อสวดส่งเหล่าดวงวิญญาณกลับคืนสู่ธรรมชาติ
ดังนั้นในตอนที่กลุ่มตัวเอกทั้ง 6 ค้นพบว่ายังมีชีวิตอันยืนยาวรอพวกเขาอยู่เบื้องหน้า จึงเหมือนเป็นการเบิกเนตรจากความเชื่อเดิม ๆ เมื่อผนวกกับความสงสัยภายในใจ และความสามารถอันแข็งแกร่ง ก็ทำให้มีพลังมากเพียงพอที่จะเลือกต่อสู้เพื่ออิสรภาพของตนและทุกคน
โดยสาเหตุที่ผู้ประพันธ์บทเพลงอย่างคุณ Yasunori Mitsuda เลือกใช้ขลุ่ยชิโนบุเอะ (ขลุ่ยญี่ปุ่น) มาเป็นเครื่องดนตรีหลักของเกม และเป็นเครื่องดนตรีประจำกายของ Noah กับ Mio ก็สะท้อนถึงการกลมกลืนไปกับธรรมชาติ ผ่านตัวขลุ่ยที่ทำจากไม้ไผ่ และสามารถให้โทนเสียงที่แตกต่างกันในแต่ละสภาพอากาศ ไม่ว่าจะเป็นอากาศแห้ง, ชื้น หรือยามฝนตก
ทางทีมงานเปิดเผยว่านี่คือเครื่องดนตรีที่เข้ากับบทบาทของ Off-seer มากที่สุด ด้วยความที่มันนิยมใช้กันในหมู่นักเดินทาง เพื่อบรรเลงตามแม่น้ำป่าเขา จึงเป็นตัวแทนของ “ความอิสระ” ที่เหมาะจะใช้ปลดปล่อยดวงวิญญาณเหล่าทหารผู้วายชนม์ อีกทั้งยังมีขนาดเล็ก สามารถพกพาไปได้ทุกที่ ดูแล้วไม่ผิดแปลกเมื่อเทียบกับเครื่องดนตรีชิ้นอื่น ที่อาจทำให้ผู้เล่นงงได้ว่าตัวละครหยิบมันขึ้นมาจากตรงไหน
นอกจากนี้ ดนตรีของขลุ่ยชิโนบุเอะก็ยังนำเสนอความเป็นญี่ปุ่นที่สอดแทรกเข้ามาเล็กน้อยภายในเกมอย่างไม่เกินงาม ซึ่ง Monolith Soft ก็ให้ความใส่ใจถึงขนาดที่สั่งทำขลุ่ยขึ้นมาใหม่และจำลองหน้าตาให้เหมือนที่ Noah กับ Mio ใช้ จากนั้นก็นำมันไปบันทึกเสียงเป็นเพลงประกอบจริง ๆ อย่างที่ได้ฟังกันในเกม
ด้วยองค์ประกอบด้านดนตรีด้านเดียว ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หลายคนตกหลุมรักใน Xenoblade Chronicles 3 ซึ่งอาจเปรียบได้ว่าเกมนี้เป็นลำนำบทใหญ่ที่ถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบ JRPG อย่างงดงาม และในตอนที่ Noah แสดงเจตจำนงค์ว่าอยากจะแต่งเพลงขึ้นมาเองนั้น ก็สื่อถึงความพยายามว่าเขาอยากเป็นอิสระจากบทเพลงเดิม ๆ ที่เคยถูกพร่ำสอน, เป็นอิสระจากหน้าที่ Off-seer ที่ถูกครอบไว้ด้วยมายาคติแบบผิด ๆ และเลือกที่จะเดินหน้าใช้ชีวิตต่อไปในแบบของตนเอง
Xenoblade Chronicles 3 ยังมีความโดดเด่นในฐานะเกม JRPG ที่ออกแบบตัวละครมาได้น่าสนใจยิ่ง, หากเทียบกับ Xenoblade ภาคก่อน ๆ เราจะเห็นชัดเจนว่าภาคนี้ลดความฉูดฉาดของตัวละครลงมา เพื่อให้ผู้เล่นสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันจริงจัง แต่ก็มีเสน่ห์น่าจดจำอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังให้ความใส่ใจกับการแสดงสีหน้าท่าทางของตัวละคร ที่ทำได้ละเอียดลออ ดูไม่ขัดหูขัดตาและโอเวอร์แอ็กติ้งจนเกินไปนัก เมื่อเทียบกับเกมสไตล์อนิเมะเกมอื่น ๆ
นอกจากนี้ ตัวเกมก็ยังวางโครงเรื่องไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม ค่อย ๆ เผยองค์ประกอบที่มีอยู่มหาศาลออกมาทีละนิดอย่างมีชั้นเชิง ซึ่งแม้ว่าจะเป็นเกมภาค 3 ที่มีส่วนเชื่อมโยงกับภาค 1 และ 2 อยู่เล็กน้อย แต่ก็สามารถถ่ายทอดเนื้อเรื่องให้ผู้เล่นหน้าใหม่เข้าใจได้แบบจบในตัว ไม่จำเป็นต้องกลับไปเล่นเกม 2 ภาคแรกก่อน
นี่จึงไม่ใช่แค่ผลงานที่แฟนเกม JRPG จะต้องชื่นชอบเพียงอย่างเดียว เพราะแม้แต่คนที่ไม่คุ้นเคยกับแนวนี้ ก็ยังสามารถเข้าถึง Xenoblade Chronicles 3 ได้โดยไม่ลำบากใจมากนัก และนับเป็นอีกหนึ่งรากฐานใหม่ของเกม JRPG ที่ให้ความสมดุลระหว่างเนื้อเรื่องกับเกมเพลย์ได้อย่างดีเยี่ยม เป็นปึกแผ่น สมกับที่หลายคนยกย่องให้นี่คือผลงานระดับมาสเตอร์พีซจาก Monolith Soft โดยแท้จริง