ดำเนินมาถึงปีที่ 3 แล้วสำหรับ “Genshin Impact” ผลงานจาก HoYoverse ที่ประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมถึงทุกวันนี้ ซึ่งนอกจากจะโดดเด่นในด้านเนื้อหา, เกมเพลย์ รวมถึงบรรดาตัวละครต่าง ๆ อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้หลายคนยังติดตามกันอยู่ ก็หนีไม่พ้นส่วนของเนื้อเรื่องนั่นเอง
และสำหรับใครที่เคยเล่นแต่ลืมไปแล้วในบางเหตุการณ์, อาจจะตกหล่นเนื้อหาส่วนใดไป หรือสนใจ Genshin Impact แต่ยังไม่มีเวลาเล่น ในโอกาสนี้เราจึงสรุปเนื้อเรื่องหลัก เฉพาะจากเควสต์เทพเจ้า (Archon Quest) มาให้แล้วตั้งแต่ต้นจนถึงล่าสุด เพื่อที่จะได้เตรียมตัวก่อนเข้าสู่แพทช์ถัด ๆ ไปในอนาคตของเกม
*** อัปเดตล่าสุด : ถึงบท 4 ฉาก 5 “การเต้นรำของคนบาป (Version 4.2) ***
สารบัญ
จุดเริ่มต้นของการเดินทาง
- เรื่องราวของ Genshin Impact เกิดขึ้นใน “Teyvat” โลกแฟนตาซีซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนาน นี่คือดินแดนที่มีเทพเจ้าและสารพัดสิ่งมีชีวิตอันทรงพลัง แต่ ณ ยุคปัจจุบันจะมีเทพ (Archon) อันเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปอยู่ 7 องค์
- เทพเจ้าทั้ง 7 ต่างมีอิทธิพลอยู่เหนือ 7 ประเทศใน Teyvat อันประกอบไปด้วย Mondstadt, Liyue, Inazuma, Sumeru, Fontaine, Natlan และ Snezhnaya
- ผู้เล่นจะได้เลือกรับบทเป็น 1 ใน 2 ฝาแฝด “นักเดินทาง” คือ Aether และ Lumine ผู้ข้ามมิติไปยังโลกต่าง ๆ
- แต่แล้วทั้งคู่ก็มาติดหล่มอยู่ ณ โลกแห่ง Teyvat เพราะถูกขัดขวางไว้โดยเทพที่ไม่ทราบชื่อ (Unknown God) และต้องแยกจากกัน โดยแฝดอีกคนที่เราไม่ได้เลือกเล่น จะหลุดเข้าไปยัง Teyvat ล่วงหน้าก่อนเราประมาณ 500 ปี
- เป้าหมายของนักเดินทาง คือการตามหาแฝดให้พบ และกลับไปยังโลกของตัวเอง โดยหลังจากที่พลัดหลงเข้ามายัง Teyvat สักพัก ก็ได้พบกับเพื่อนตัวจิ๋ว “Paimon” และกลายเป็นคู่หูร่วมเดินทางนับตั้งแต่นั้นมา
ปริศนาที่น่าสนใจ
- Unknown God คือใคร มีบทบาทอะไรใน Teyvat
- Paimon มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่
“Mondstadt” เมืองแห่งสายลมและอิสรภาพ
- นักเดินทางและ Paimon มาถึงประเทศ Mondstadt และได้พบกับเหล่ากองอัศวินผู้พิทักษ์ความสงบของเมือง นำโดย “Jean” รักษาการณ์หัวหน้าอัศวิน
- ทั้งคู่ช่วยกองอัศวินแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในเมือง และรับรู้ถึงการมีตัวตนของ “Abyss Order” ฝ่ายชั่วร้ายที่เป็นภัยคุกคามต่อ Mondstadt
- ระหว่างนี้ นักเดินทางจะได้เรียนรู้ถึงพลังอำนาจของเทพเจ้าต่าง ๆ รวมถึงสิ่งที่เชื่อมโยงกับพวกเขา
- นักเดินทาง ร่วมมือกับคนอื่น ๆ ใน Mondstadt อย่าง “Lisa”, “Kaeya”, “Diluc” และ Jean เพื่อช่วยเหลือเมืองให้รอดพ้นจากภัยคุกคามของ Abyss Order
- เราจะได้รู้จักกับ “Dvalin” มังกรผู้พิทักษ์ของเมือง ซึ่งขณะนี้ถูกบงการจิตใจโดย Abyss Order และคนที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มนี้ ก็คือพี่น้องฝาแฝดของเรา ซึ่งดูเหมือนจะมีพลังอำนาจบางอย่างอยู่กับตัวด้วย
- ด้วยความช่วยเหลือของ “Venti” กวีพเนจรใน Mondstadt, นักเดินทางและเพื่อน ๆ ร่วมมือกันช่วย Dvalin โดยหยุดยั้งความคลั่งเอาไว้ และกอบกู้ Mondstadt จากภัยพิบัติที่ Dvalin สร้างขึ้น อย่างไรก็ตาม ทุกคนรู้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ เพราะยังมี Abyss Order อยู่เบื้องหลัง
- นักเดินทางจะได้รู้ความจริงว่า Venti ก็คือเทพแห่งสายลม Barbatos ที่คอยดูแลคุ้มครอง Mondstadt นั่นเอง
- พายุเพิ่งสงบลงได้ไม่นาน ต่อมานักเดินทาง, Paimon และ Venti ก็ได้เผชิญหน้ากับ “La Signora” หนึ่งในผู้บริหารของ Fatui, องค์กรที่มีอิทธิพลและกำลังกระทำการหลายสิ่งอย่างลับ ๆ อยู่ทั่วทั้ง Teyvat อีกทั้งยังขึ้นตรงต่อเทพแห่งน้ำแข็ง
- Signora เข้าจู่โจม Venti และแย่งชิง “โนซิส” ไปจากตัวเขา
- โนซิส (Gnosis) คืออุปกรณ์ที่เหล่าเทพเจ้าครอบครอง เป็นเสมือนเครื่องบ่งบอกฐานะของเจ็ดเทพเจ้า และทำให้เหล่าเทพสามารถดึงพลังธาตุจากเบื้องบนมาใช้ได้อย่างมหาศาล
- ทั้งนี้แม้ว่าเทพอย่าง Venti จะเสียโนซิสไปแล้ว เขาก็ยังมีพลังส่วนตัวอยู่
- นักเดินทางและ Paimon ตัดสินใจมุ่งหน้าต่อไปยังประเทศ “Liyue” เพื่อหาเบาะแสของฝาแฝดต่อไป
ปริศนาที่น่าสนใจ
- Fatui ต้องการโนซิสไปเพื่อกระทำการใดกันแน่ในอนาคต
- Kaeya เป็นชาว Khaenri’ah, อาณาจักรที่ล่มสลายไปในช่วงสงครามเมื่อ 500 ปีก่อน ดังนั้นเขาน่าจะมีความลับมากมายที่กุมเก็บไว้และรอการเฉลยภายหลัง
- Venti เองก็เป็นหนึ่งในเทพที่ร่วมสงคราม ณ Khaenri’ah และด้วยความที่เจ้าตัวอยู่มายืนยาวมาก ก็น่าจะมีความลับมากมายมหาศาลด้วยเช่นกัน
มุ่งหน้าสู่ Liyue
- เมื่อมาถึง Liyue นักเดินทางก็เจอเรื่องช็อคต้อนรับก่อนแทบจะทันที นั่นคือ “Morax” เทพแห่งหิน/พันธสัญญา ที่คุ้มครองประเทศนี้ เสียชีวิตลงแล้วต่อหน้ามวลหมู่มาก
- ระหว่างนี้ เราจะได้รู้จักกับผู้คนใหม่ ๆ อย่าง “Ningguang” ผู้เป็นนายใหญ่แห่ง Liyue, “Zhongli” ชายลึกลับผู้รอบรู้, เหล่าเซียนที่เป็นสหายของเทพหิน
- รวมถึง “Childe” หนุ่มอารมณ์ดีที่เนื้อแท้แล้วคือหนึ่งในผู้บริหารของ Fatui ซึ่งต้องการจะนำพลังธาตุหินของ Liyue มาใช้เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
- Ningguang เชิญนักเดินทางขึ้นไปพบที่ Jade Chamber (ตำหนักหยกลอยฟ้า) เพื่อพูดคุยหารือเกี่ยวกับภัยร้ายที่แอบแฝงอยู่ใน Liyue
- นักเดินทางนั้นรู้ถึงแผนการที่แท้จริงของ Childe จึงรีบไปหยุดยั้งเขา และได้เผชิญหน้ากันอย่างดุเดือด จนท้ายที่สุด Childe ตัดสินใจอัญเชิญ Osial, เทพอสูรแห่งกระแสน้ำวน ขึ้นมาเพื่อหวังทำลาย Liyue
- ถึงคราวที่เหล่ามนุษย์และเซียนต้องร่วมมือร่วมใจกันต่อสู้ จนสุดท้าย Ningguang ยอมสละ Jade Chamber ของตัวเอง ทุ่มลงทะเลใส่ Osial และเอาชนะมาได้ในที่สุด
- ในฉากสุดท้าย นักเดินทางจะได้พบกับ Zhongli, Childe และ La Signora, ทั้งสามคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งแท้จริงแล้ว Zhongli ก็คือเทพหินที่จัดฉากให้ตัวเองเสียชีวิต เพื่อที่จะวางใจว่าเหล่ามนุษย์สามารถพึ่งพากันเองได้แล้วโดยไม่ต้องมีเขาอีกต่อไป
- Zhongli มีดีลลับกับพวก Fatui มาสักพักแล้ว เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างจบลง เขาก็ส่งมอบโนซิสให้กับ Signora โดยแลกกับอะไรบางอย่างตามที่เคยสัญญากันไว้
ปริศนาที่น่าสนใจ
- Zhongli ทำสัญญาอะไรไว้กับพวก Fatui/เทพน้ำแข็งกันแน่ ถึงสำคัญขนาดที่ว่าต้องยอมส่งโนซิสของตัวเองเป็นค่าแลกเปลี่ยน
สองพี่น้อง สองเส้นทาง
- ก่อนจะเดินทางไปยังดินแดนถัดไป นักเดินทางได้พบกับ “Dainsleif” บุรุษลึกลับที่กำลังสืบหาเบาะแสของพวก Abyss Order อยู่ และก็รู้อะไรหลาย ๆ อย่างจากในอดีตด้วย
- ระหว่างการสืบหาร่วมกับ Dainsleif ก็ทำให้ได้พบกับฝาแฝดของเราอีกครั้ง แต่เขา/เธอ กลับยืนอยู่ฝ่ายเดียวกันกับพวก Abyss
- แฝดของเราบอกว่าจะต้องได้พบกันใหม่แน่นอน และเข้าประตูวาร์ปจากไป ซึ่งระหว่างนี้ Dainsleif ก็ไล่ตามเข้าประตูไปด้วย
ปริศนาที่น่าสนใจ
- เป้าหมายจริง ๆ ของแฝดเราคืออะไรกันแน่
- ก่อนหน้านี้แฝดของเราได้ไปเจอ ไปรู้เห็นความลับอะไรมา ถึงได้กลายมาเป็นผู้นำ Abyss Order อย่างในปัจจุบัน
Inazuma, ดินแดนที่ถูกแช่แข็งไว้ด้วย “ความเป็นนิรันดร์”
- เป้าหมายถัดไปของนักเดินทางคือ Inazuma แต่ด้วยความที่เป็นประเทศปิด และเทพเจ้าสายฟ้าอย่าง “Raiden Shogun” ออก “คำสั่งล่าวิชั่น” ซึ่งห้ามมิให้ผู้ใดครอบครองวิชั่นเอาไว้ได้ ทำให้การไปเยือน Inazuma ตอนนี้เป็นเรื่องลำบาก
- วิชั่นคือสื่อกลางที่จะทำให้ชาว Teyvat สามารถใช้พลังธาตุได้ โดยเงื่อนไขการได้รับคัดเลือกจากสวรรค์เบื้องบน ให้ถือครองวิชั่นได้นั้นแตกต่างกันไปในแต่ละคน
- นักเดินทางมีโอกาสพบกับ “Beidou” และ “Kazuha” ผู้ล่องเรือผจญภัยมาแล้วทั่วน่านน้ำ ซึ่ง Beidou สามารถช่วยเหลือนักเดินทางให้ไปที่ Inazuma ได้ ส่วน Kazuha เป็นชาว Inazuma ที่มีเหตุบางอย่างจนทำให้เขาต้องร่อนเร่พเนจรจากบ้านเกิด
- นักเดินทางเข้าร่วมการแข่งประลองฝีมือของ Beidou เพื่อแลกกับให้ Beidou ช่วยพาไปยัง Inazuma ซึ่งท้ายสุดก็ชนะการประลองมาได้
- Beidou พานักเดินทางล่องเรือผ่านกระแสพายุมาจนถึง Inazuma และพบว่า ‘คำสั่งล่าวิชั่น’ ทำให้ชาวเมืองที่นี่มีความเป็นอยู่ที่ไม่ดีนัก คนที่ยังถือครองวิชั่นอยู่ก็ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ให้รอดพ้นจากทหารของโชกุน (เทพสายฟ้า)
- นักเดินทางได้พบกับชาว Inazuma คนอื่น ๆ อย่าง “Thoma” และคุณหนูแห่ง 3 ตระกูลใหญ่ของเมืองอย่าง “Kamisato Ayaka” ซึ่งวางแผนที่จะหยุดคำสั่งล่าวิชั่นนี้ลง
- อย่างไรก็ตาม Thoma พลาดท่าถูกทหารของโชกุนจับตัวไป และเมื่อนักเดินทางตามไปช่วยเหลือ ก็ได้พบกับ Raiden Shogun และเข้าปะทะกัน ทว่าเป็นฝ่ายนักเดินทางที่พ่ายแพ้ จน Thoma ต้องรีบพาหลบหนีออกมา
การโต้กลับของฝ่ายกบฏ
- นักเดินทางได้รู้จักกับฝ่ายกบฏต่อโชกุนที่นำโดย “Sangonomiya Kokomi” และร่วมมือกันเพื่อยุติคำสั่งล่าวิชั่นลงให้ได้
- แต่ด้วยกำลังพลและทรัพยากรที่ไม่เพียงพอ ก็กลายเป็นช่องโหว่ให้ฝ่าย Fatui เข้ามาแทรกแซงด้วย “เนตรมาร” ขุมพลังที่มอบความแข็งแกร่ง โดยแลกกับการกัดกร่อนพลังชีวิตเหล่าทหารลงเรื่อย ๆ
- ผู้อยู่เบื้องหลังการผลิตเนตรมารคือ “Scaramouche” หนึ่งในผู้บริหารของ Fatui ซึ่งเมื่อนักเดินทางบุกเข้าไปเพื่อหวังจะยับยั้งการผลิต ก็เสียท่าและถูกช่วยเหลือไว้โดยหญิงลึกลับคนหนึ่ง
- หญิงลึกลับที่ว่าก็คือ “Yae Miko” หัวหน้ามิโกะแห่งศาลเจ้าประจำเมืองหลวง และเป็นคนสนิทของ Raiden
- Raiden ฝากฝังโนซิสของเทพสายฟ้าให้ Yae เก็บไว้ เพราะ Raiden ไม่ได้สนใจจะใช้มันอีกต่อไปแล้ว
- และตอนนี้ Yae ตัดสินใจยกมันให้กับ Scaramouche เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนสำหรับการช่วยเหลือเราออกมา
- นักเดินทางรู้ความจริงว่า Fatui อยู่เบื้องหลังคำสั่งล่าวิชั่น จึงไปพบกับ La Signora ที่ปราสาทของ Raiden Shogun เพื่อจบเรื่องทุกอย่าง
- นักเดินทางเอาชนะ La Signora ลงได้ จากนั้นไม่นาน Shogun ก็ลงดาบสังหารเธอทิ้ง จากการที่เธอแพ้ประลอง
- ฝ่ายกบฎบุกมาถึงปราสาทแล้ว จึงเกิดการต่อสู้อีกครั้ง รวมไปถึงการประดาบระหว่าง Kazuha กับ Shogun ซึ่ง Kazuha ก็มีความฝังใจอยู่เพราะ Shogun เคยสังหารเพื่อนรักของเขาในอดีต
- นักเดินทางถูก Shogun ดึงเข้าสู่มิติส่วนตัว เพื่อไปพบร่างจริงของเทพสายฟ้าคนปัจจุบันอย่าง “Ei”
- แท้จริงแล้ว Shogun คือหุ่นร่างเทียมที่คอยดูแลกิจการบ้านเมืองอยู่ภายนอก ขณะที่ Ei หลบมาขังตัวเองอยู่ในมิตินี้นานแล้ว เพื่อแสวงหา “ความเป็นนิรันดร์” ซึ่งเธอเชื่อว่ามันคือทางออกสำหรับทุกคน
- ดังนั้นแม้ว่า Shogun และ Inazuma จะถูกแทรกแซงโดย Fatui, Ei ก็ไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกนัก และยอมให้ใช้คำสั่งล่าวิชั่นได้ต่อไป
- เกิดการปะทะกันเป็นครั้งสุดท้าย และรอบนี้นักเดินทางสามารถเอาชนะ Ei ได้ จากนั้น Yae เป็นคนเข้ามาเตือนสติ Ei ให้เธอลองปรับเปลี่ยนแนวคิดดูเสียใหม่
- สุดท้ายคำสั่งล่าวิชั่นก็ถูกยกเลิก เรื่องราวใน Inazuma จบลงที่นักเดินทางได้พูดคุยกับ Yae เพื่อถามถึงเบาะแสของฝาแฝด
- แม้ Yae จะไม่รู้ แต่เธอก็แนะนำให้ลองไปหาเทพแห่งพฤกษา/ปัญญา ที่ประเทศ Sumeru ซึ่งน่าจะรู้อะไรหลาย ๆ อย่าง นั่นจึงเป็นเป้าหมายถัดไปของการเดินทาง
ปริศนาที่น่าสนใจ
- “เนตรมาร” ของ Fatui มีพลังแข็งแกร่งเพียงใด และมันถูกแพร่กระจายไปแล้วขนาดไหนทั่วทั้ง Teyvat
แวะพักที่ Liyue
- นักเดินทางกลับมา Liyue และช่วย Ningguang สร้าง Jade Chamber ขึ้นมาใหม่ หลังถูกนำไปใช้ทุ่มใส่ Osial จนหายวับไปแล้ว
- “Shenhe” หญิงลึกลับผู้เป็นศิษย์ของจ้าววังวนเมฆา (เซียนของ Liyue) อาสาช่วยเราตามหาวัสดุก่อสร้าง Jade Chamber พร้อม ๆ กันนี้ เราก็ได้เรียนรู้อดีตของเธอไปด้วย
- Jade Chamber ถูกสร้างจนสำเร็จ ซึ่งก็พอดีกันกับที่ Beisht, คู่รักของ Osial ปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อหวังล้างแค้น ดังนั้นชาว Liyue จึงได้โอกาสร่วมมือต่อสู้อีกครั้งและเอาชนะมาได้ โดยคราวนี้ไม่จำเป็นต้องทุ่ม Jade Chamber ทิ้งไปอีก
เรื่องราวในหลุมยักษ์
- นักเดินทางมีโอกาสได้เข้ามาสำรวจใน The Chasm, หลุมขนาดยักษ์ทางตะวันตกของ Liyue ที่ถูกปล่อยทิ้งร้าง และได้พบกับ Dainsleif อีกรอบ ซึ่งกำลังตรวจสอบความผิดปกติของพวก Hilichurl
- ในระหว่างสำรวจ นักเดินทางได้รับรู้ถึงความทรงจำของฝาแฝด ว่าทางนั้นก็ทำอะไรบางอย่างโดยมีเหตุผลเป็นของตัวเองเช่นกัน และตัวเราก็เหมือนต้องออกเดินทางเพื่อตามรอย/แกะรอย สิ่งที่แฝดเคยทำไว้ในช่วง 500 ปีก่อนหน้านี้
- Dainsleif ได้พบเพื่อนเก่าจากเมือง Khaenri’ah ที่อุทิศตนเองเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อช่วยเหลือเหล่า Hilichurl และ Dainsleif เอาไว้
- นักเดินทางแยกย้ายกับ Dainsleif แต่แล้วก็มีเรื่องให้เราต้องกลับมาสำรวจ The Chasm อีก
- รอบนี้โชคไม่ดีเท่าไร เพราะต้องติดอยู่เบื้องล่างและออกไปจากที่นี่ไม่ได้ พร้อมด้วยเพื่อนร่วมทางจำนวนหนึ่งอย่าง “Yelan”, “Xiao”, “Yanfei” รวมถึงชาว Inazuma อย่าง “Kuki Shinobu” กับ “Arataki Itto”
- นักเดินทางได้ล่วงรู้ถึงอดีตของ Xiao และบรรดายักษาเพื่อนพ้องของเขา ซึ่งในท้ายที่สุด Xiao ใช้พลังของตนเองเพื่อพาทุกคนหนีรอดออกมาจาก Chasm ได้แบบหวุดหวิด
เดินทางสู่ Sumeru
- นักเดินทางมุ่งหน้าต่อสู่ Sumeru ตามความตั้งใจของตนเอง และจับพลัดจับผลูหลุดเข้าไปอยู่ในโลกแห่งความฝัน จนได้พบกับต้นไม้ Irminsul อันเก่าแก่ ซึ่งเป็นเหมือนฮาร์ดดิสก์ เชื่อมโยงข้อมูลของสรรพสิ่งใน Teyvat เอาไว้
- หลังจากที่ตื่นขึ้นมา เราจะได้พบกับ “Collei” และ “Tighnari” เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าของ Sumeru ที่ช่วยเราเอาไว้ และแนะนำให้รู้จักประเทศนี้มากขึ้น รวมถึงสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน ว่าขณะนี้ผืนป่ากำลังจะตายอย่างช้า ๆ เพราะถูกกัดกร่อนโดยอะไรบางอย่าง
- จากนั้นเราจะเดินทางต่อมายังเมืองหลวงของ Sumeru เพื่อหวังเข้าพบเทพแห่งพฤกษา
- เมืองนี้บริหารและปกครองโดยกลุ่ม “สถาบัน Sumeru” และผู้คนจะใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า “Akasha” เพื่อติดต่อสื่อสาร รวมถึงค้นหาข้อมูลจากคลังความรู้ของสถาบันได้โดยตรง
- นักเดินทางได้พบเพื่อนใหม่อย่าง “Dehya”, “Nilou”, “Dori”, “Alhaitham”, “Dunyarzad” รวมถึงเรียนรู้ว่า “Rukkhadevata”, เทพพฤกษาองค์ก่อนของ Sumeru สร้างมรดกและตำนานเล่าขานไว้มากมายก่อนเสียชีวิต
- ส่วน “ท่านหญิงน้อย Kusanali” เทพพฤกษาองค์ใหม่ที่เพิ่งถือกำเนิดนั้น ประชาชนทั่วไปไม่เคยพบเห็นตัวเธอเลย
- ระหว่างตามหาตัว, นักเดินทางมีโอกาสได้เข้าร่วมเทศกาล Sabzeruz ที่จัดเพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดท่านหญิงน้อย Kusanali โดยมีตัวตั้งตัวตีของงานคือ Nilou ผู้เลื่อมใสศรัทธา ขณะที่เหล่านักปราชญ์ของสถาบันไม่ได้ใส่ใจและแสดงท่าทียึดมั่นกับเทพองค์ก่อนมากกว่า
- เทศกาลนี้จบลงไม่สวยอย่างที่คิด เนื่องจากกฎของสถาบันนั้นห้ามไม่ให้มีการแสดงในที่สาธารณะ ทุกคนจึงต้องแยกย้ายกลับบ้านไปแบบน่าเสียดาย
- แต่ในวันต่อมา เรากลับยังอยู่ในเทศกาล Sabzeruz และเริ่มต้นเหตุการณ์ทุกอย่างใหม่อีกครั้งโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็จบวันลงแบบเดิม ๆ วนลูปอยู่แบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
- ตัวนักเดินทางเริ่มรู้สึกเดจาวูว่าเคยเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ มาก่อน จนเราได้พบกับ “Nahida” ผู้ช่วยไขปริศนาว่าจริง ๆ แล้วนี่คือโลกความฝันที่ชาวเมือง Sumeru ฝันร่วมกันทั้งหมด และมาจากฝีมือของพวกสถาบันที่กำลังเก็บรวบรวมพลังงานจากชาวเมืองเพื่อกระทำการใหญ่ในอนาคต
- ทางสถาบันเลือกใช้ Nilou เป็นศูนย์กลางของโลกความฝันแห่งนี้ ดังนั้นความฝันจึงจบลงเมื่อนักเดินทางออกอุบายผลักดันให้เทศกาล Sabzeruz สำเร็จไปอย่างราบรื่น ด้วยการแสดงอันงดงามของ Nilou
อดีตแห่งผืนทะเลทราย
- แท้จริงแล้ว Nahida ที่เราพบในฝันก็คือท่านหญิงน้อย Kusanali นั่นเอง และยังได้รู้ความจริงเกี่ยวกับ “อาการป่วยของต้นไม้ Irminsul” ซึ่งทำให้ผืนป่าของ Sumeru ค่อย ๆ แห้งตายเหมือนที่เกิดกับโซนทะเลทราย รวมถึงเป็นสาเหตุของโรค Eleazar ที่ชาว Sumeru หลายคนทุกข์ทรมานอยู่
- ร่างจริงของ Nahida ถูกกักขังเอาไว้โดยเหล่านักปราชญ์ที่สถาบันมาเนิ่นนานแล้ว นักเดินทางและ Nahida จึงวางแผนจะไปช่วยร่างจริงออกมา
- แต่ความพยายามก็ล้มไม่เป็นท่า เพราะถูกขัดขวางไว้โดย “Il Dottore” หนึ่งในผู้บริหารสุดแกร่งของ Fatui ที่เข้ามาแทรกแซงสถาบันอยู่สักพักแล้ว
- แม้นักเดินทางจะหนีออกมาได้ แต่ Nahida ก็ถูกขังไว้อย่างแน่นหนากว่าเดิมจนไม่สามารถติดต่อเราได้อีก
- นักเดินทางที่เหลือทางเลือกไม่มาก จึงออกไปหาความช่วยเหลือใหม่ ๆ จากฝั่งทะเลทรายของ Sumeru ร่วมกับ Alhaitham, Dehya และเพื่อนใหม่อย่าง “Cyno” กับ “Candace”
- ทั้งหมดร่วมวางแผนและเตรียมสิ่งที่จำเป็นเพื่อโต้กลับพวกสถาบัน ในระหว่างนี้เราจะเข้าไปพัวพันกับปัญหาของพวก Eremite (ชาวทะเลทราย) แต่ก็ทำให้ได้พลัดหลงเข้าไปยังโบราณสถาน และพบความจริงในครั้งอดีตกาล
- เมื่อก่อน Rukkadevata และราชา Deshret แห่งทะเลทรายเป็นพันธมิตรกัน อาณาจักรทะเลทรายเคยรุ่งเรืองจากการได้รับ “ความรู้ต้องห้าม” แต่เนื้อแท้ของมันก็คือเชื้อร้ายที่กลืนกินอาณาจักรจนล่มสลาย พร้อมพรากชีวิตไปจากผู้คนและผืนดิน
- Rukkadevata เข้ามาช่วยยับยั้งไว้ก่อนที่ Sumeru จะถูกกลืนกินจนหมด แต่ก็สายเกินจะช่วยเหลืออาณาจักรทะเลทรายและราชา Deshret ไว้ได้ทัน
- สาเหตุที่ Irminsul มีอาการป่วย เป็นเพราะถูกปนเปื้อนด้วยความรู้ต้องห้ามนี้นั่นเอง
- หัวหน้าของกลุ่ม Eremite ล่วงรู้ความจริงไปพร้อมกับเราว่า Rukkadevata ไม่ได้คิดร้ายต่อราชา Deshret กลับกันจะมีแต่ความเมตตาอันยิ่งใหญ่ที่มอบให้ ดังนั้นความขัดแย้งระหว่างผู้ศรัทธาเทพพฤกษา กับราชาแห่งทะเลทรายก็จะค่อย ๆ คลี่คลายลงหลังจากนี้ไป
- กลุ่ม Eremite จะช่วยลุกขึ้นสู้กับสถาบันด้วยอีกแรง เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ทุกคนจึงเริ่มดำเนินแผนการโต้กลับ
ปริศนาที่น่าสนใจ
- “ความรู้ต้องห้าม” ที่ไม่ได้มาจากโลกใบนี้ คืออะไรกันแน่ เกี่ยวข้องอะไรกับสวรรค์หรือไม่ และมีต้นตอมาจากอะไร
บทสรุปความวุ่นวายใน Sumeru
- เป้าหมายที่แท้จริงของพวกนักปราชญ์แห่งสถาบัน คือการสร้างเทพเจ้าองค์ใหม่ขึ้นมา ซึ่งคนที่ได้รับเลือกนั้นก็คือ Scaramouche, สมาชิก Fatui ผู้เป็นต้นแบบหุ่น Shogun ของเทพสายฟ้า โดยพลังงานที่นักปราชญ์เคยรวบรวมไว้ จะถูกนำมาใช้เป็นพลังให้เขา
- และ Scaramouche ก็ยังไม่ได้ส่งมอบโนซิสของเทพสายฟ้าให้กับ Fatui เขาจึงมีพลังแข็งแกร่งมาก ณ ตอนนี้
- ระหว่างที่ Nilou ดึงความสนใจพวกสถาบันอยู่ คนอื่น ๆ ก็บุกเข้าไปถึงตัวนักปราชญ์ ขณะที่นักเดินทางก็สามารถช่วยเหลือ Nahida มาได้ และร่วมมือกับเธอเพื่อปราบ Scaramouche ลงสำเร็จ
- ปัญหาที่เหลือ ก็คือการรักษาอาการป่วยของ Irminsul ซึ่ง Nahida ใช้พลังของโนซิสสายฟ้า (ที่แย่งมาจาก Scaramouche) กับโนซิสของตัวเอง พาเรากลับเข้าไปเจอ Irminsul เหมือนอย่างครั้งแรกที่เรามาเยือน Sumeru
- ทั้งหมดได้พบกับเศษเสี้ยวตัวตนของ Rukkadevata ที่หลงเหลือในนี้ ซึ่งเธอเฉลยว่าแท้จริงแล้วทั้ง Rukkadevata และ Nahida ต่างก็เป็นกิ่งก้านของ Irminsul ที่แตกหน่อออกมามีชีวิตและความคิดของตัวเอง
- วิธีเดียวที่จะรักษาอาการปนเปื้อนของ Irminsul อันเป็นความทรงจำของโลก ก็คือต้องลบความรู้ต้องห้ามออกไป ซึ่งด้วยความที่ Rukkadevata เองนั้นปนเปื้อนอยู่ด้วย การมีตัวตนอยู่ของเธอก็จะหายไปจากโลกนี้เช่นกัน
- Irminsul ถูกรักษาสำเร็จ หลังจากนี้ประวัติศาสตร์ของ Sumeru จึงเปลี่ยนไป วีรกรรมต่าง ๆ ของ Rukkadevata ถูกแทนที่ใหม่ด้วย Nahida เหมือนกับว่า Nahida เป็นเทพองค์เดียวของ Sumeru ตั้งแต่ต้น
- มีแค่นักเดินทางเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ยังจดจำ Rukkadevata ได้อยู่โดยไม่ทราบสาเหตุ
- ทว่าหลังจบเรื่องราวทุกอย่าง, Dottore ก็ปรากฏตัว และทำให้นักเดินทางกับ Paimon สลบไป
- Dottore เป็นผู้บริหาร Fatui อันดับสูงที่มีพลังเทียบเท่าเทพเจ้า และแข็งแกร่งกว่า Nahida ในตอนนี้, Nahida จึงต่อรองด้วยการมอบโนซิสสายฟ้าให้ Fatui แลกกับการให้ Dottore ทำลายร่างโคลนของตัวเองทิ้งไปทั้งหมด จะได้ไม่มาระราน Sumeru อีก
- Nahida ยังมีโนซิสของตัวเองอีกหนึ่งอัน ด้วยความที่เธอไม่จำเป็นต้องใช้อีก เพราะตั้งใจจะปิดระบบ Akasha ทิ้งอยู่แล้ว (ซึ่งใช้โนซิสขับเคลื่อน) เธอจึงมอบโนซิสนี้ให้ Dottore แลกกับ ‘ความรู้’ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือความรู้ที่ว่าท้องฟ้าของ Teyvat “เป็นของปลอม”
- ในเวลาต่อมา Nahida นัดเจอนักเดินทางและเล่าทุกอย่างให้ฟัง รวมถึงเบาะแสเกี่ยวกับแฝดของเราด้วย ว่าเคยไปปรากฏตัวที่สงครามใน Khaenri’ah มาแล้วเมื่อ 500 ปีก่อน
- และนักเดินทางนั้นไม่ใช่ผู้มาเยือนโลกนี้ครั้งแรก แต่เป็นครั้งที่ 4 แล้ว
- Nahida แนะนำให้เราเลือก Fontaine เป็นประเทศถัดไป ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของ Focalors เทพแห่งน้ำและความยุติธรรม
ปริศนาที่น่าสนใจ
- ทำไมนักเดินทางถึงยังจดจำ Rukkadevata ได้อยู่ เกี่ยวข้องกับที่ตัวเรานั้นมาจากต่างโลกหรือไม่
- ผู้มาเยือน Teyvat จากต่างโลก 3 ครั้งก่อนหน้านี้มีใครบ้าง
- ท้องฟ้า Teyvat ที่เป็นของปลอมนั้นหมายความว่าอย่างไรกันแน่
การถือกำเนิดใหม่ของ Scaramouche
- Nahida ขอให้เราช่วยตรวจสอบต้นไม้ Irminsul ร่วมกันกับ Scaramouche, ซึ่งถูก Nahida ช่วยไว้และกำลังอยู่ในระหว่างคุมประพฤติ
- Scaramouche รู้ความจริงจากข้อมูลภายใน Irminsul ว่าเรื่องร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นกับเขา ส่วนหนึ่งก็มาจากฝีมือของ Dottore
- Scaramouche ใช้โอกาสทีเผลอ ลบตัวเองออกจากฐานข้อมูลของ Irminsul เพื่อไม่ให้โลกนี้จดจำเขาได้อีก (ยกเว้นนักเดินทางที่จะยังจำได้อยู่)
- ประวัติศาสตร์ของ Scaramouche จึงถูกเปลี่ยนใหม่ ขณะนี้เขากลายเป็น “ผู้พเนจร” ที่ร่อนเร่ไปตามดินแดนต่าง ๆ
- แต่ Nahida นั้นมีข้อมูลแบ็คอัปความทรงจำของเขาอยู่ เมื่อได้พบกับนักเดินทาง และเจอเหตุไม่คาดฝันต่าง ๆ ก็ทำให้ความทรงจำของ Scaramouche กลับมาอีกครั้ง และเมื่อเขายอมรับในอดีตของตนเองแล้ว เขาก็ได้รับวิชั่นธาตุลมมาไว้ในครอบครอง
เบื้องหลังของ Abyss Order
- นักเดินทางได้พบกับ Dainsleif อีกครั้ง โดยรอบนี้เขาพาไปสำรวจบริเวณป่าของ Sumeru และพบกับบ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
- นักเดินทางหลุดเข้าไปยังความทรงจำในอดีตของแฝด และพบ “Eide” ที่กำลังหาทางรักษา Calibert, ลูกชายเขาซึ่งกลายร่างเป็น Hilichurl ไปแล้ว
- ความจริงเปิดเผยว่า Eide นั้นคือ “Chlothar Alberich” ผู้ก่อตั้งกลุ่ม Abyss Order
- ในระหว่างนี้ นักเดินทางก็รู้ตัวว่าอยู่ในอดีต ผ่านการมองเห็นแฝดในกระจกที่แตกร้าว ราวกับว่าทั้งสองเชื่อมโยงกันข้ามกาลเวลาได้
- นักเดินทางถูกปลุกให้ตื่นโดย Dainsleif และ Paimon ในโลกปัจจุบัน
ปริศนาที่น่าสนใจ
- Chlothar Alberich ใช้นามสกุลเดียวกันกับ Kaeya (Alberich) เป็นไปได้ว่าทั้งสองอาจจะเป็นญาติกันในราชวงศ์ของ Khaenri’ah
- หรือไม่แน่ว่า Kaeya ก็อาจจะเป็นคนเดียวกันกับ Calibert เลย
“Fontaine” ประเทศที่กำลังจะถูกสายน้ำกลืนกิน
- นักเดินทางอำลา Sumeru และมุ่งหน้าสู่ Fontaine ด้วยความตั้งใจจะสอบถามเทพแห่งน้ำ ถึงเบาะแสของฝาแฝด และความจริงของโลกนี้
- ที่ท่าเรือของเมือง เราได้เรียนรู้ว่าชาว Fontaine นิยมชมละครมาก และการพิจารณาคดีของที่นี่ ก็เหมือนการแสดงอย่างหนึ่ง ซึ่งต้อง “จองตั๋วชมการพิพากษา”
- ส่วนเทพแห่งน้ำอย่าง “Furina” เป็นเหมือนมาสค็อตของเมือง และได้รับความนิยมในหมู่มวลชน ดังนั้นจึงค่อนข้างยากถ้าอยากพบเธอแบบตัวต่อตัว
- นักเดินทางได้เจอกับ “Lyney” และ “Lynette” พี่น้องฝาแฝดนักแสดงมายากล ซึ่งยินดีช่วยพาเราทัวร์ Fontaine ในระหว่างที่รอหาโอกาสเข้าพบ Furina
- แต่ยังไม่ทันไร Furina ก็ออกมาต้อนรับเราเองถึงท่าเรือ เปิดตัวแบบเล่นใหญ่ เพราะได้ข้อมูลจากสายข่าวก่อนแล้วว่าเราจะมาที่นี่
- Furina ท้าให้นักเดินทางไปประลองในชั้นศาล เพราะเราทำผิดกฎหมายของเมือง แต่ Lyney ก็ช่วยแก้สถานการณ์จนรอดพ้นความผิดมาได้ จากนั้น Furina จึงขอตัวกลับไปก่อน
- Lyney เชิญเราไปดูมายากลของเขาและน้องสาวที่โรงอุปรากร ซึ่งเป็นที่แสดงละครต่าง ๆ และใช้พิจารณาคดีด้วยในตัว
- ระหว่างนี้ เราจะได้รู้ถึง “คำพยากรณ์” ว่าชาว Fontaine ทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมบาปที่ลบล้างไม่ได้ และน้ำทะเลของ Fontaine จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนท้ายสุดทุกคนจะละลายหายไปกับน้ำ เหลือเพียงแค่เทพอย่าง Furina ร่ำไห้อยู่บนบัลลังก์ เมื่อนั้นเอง บาปถึงจะได้รับการชำระ
- ปัญหาในตอนนี้คือระดับน้ำทะเลของ Fontaine มันก็กำลังสูงขึ้นจริง ๆ ดังนั้นแฝด Lyney & Lynette จึงอยากช่วยเหลือเท่าที่พอทำได้ ด้วยการสร้าง “กระเป๋ามายากล” สำหรับใส่สิ่งของต่าง ๆ ไว้แจกให้ชาวเมืองใช้อพยพหนีน้ำในอนาคต
- เวลาต่อมา เราจะได้พบ “Charlotte” นักข่าวของ Fontaine (เคยเจอกันแล้วรอบหนึ่งจากงานแข่งดวลการ์ด) ซึ่งเธอบอกเล่าให้ฟังเกี่ยวกับคดี “การหายตัวไปอย่างต่อเนื่องของหญิงสาว” ที่ยังหาคนร้ายไม่ได้ แม้ผ่านมาแล้วหลายปี
- ทั้งหมดเดินทางเข้ามายังตัวเมือง Fontaine จากนั้นแฝดนักมายากลก็พาเราไปที่บ้าน และทำความรู้จักกับ “Freminet” น้องเล็กของบ้านนี้ ผู้เก่งกาจเรื่องการดำน้ำ
- และโชคชะตา (หรือเวรกรรม) ก็ทำให้เราเจอ Childe อีกครั้งในเมืองนี้ด้วย โดยขณะที่กำลังมีเรื่องกับแก๊งทวงหนี้ วิชั่นธาตุน้ำของเขาก็เสียการควบคุม ต่อมาเขาเลยขอฝากมันไว้กับเรา และระหว่างนี้จะใช้เนตรมารของ Fatui แทนไปก่อน
จากโชว์เด็ด สู่คดีเดือด
- นักเดินทางเข้าชมการแสดงมายากลของ Lyney & Lynette ที่โรงอุปรากร ซึ่งตลอดโชว์จะไม่มีการใช้วิชั่นเลย
- ทุกอย่างเป็นไปได้สวย จนกระทั่งถึงกลสับเปลี่ยนตัว ซึ่ง Lyney จะโชว์การวาร์ปเปลี่ยนตำแหน่งกับ “Halsey” หญิงสาวผู้เข้าชม
- ตอนนี้เองที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน ตู้น้ำมายากลหล่นลงมาทับผู้ช่วยคนหนึ่งจนเสียชีวิต ส่วน Halsey ก็หายตัวไปอย่างลึกลับ
- เทพ Furina ที่รับชมอยู่ กล่าวหา Lyney ทันทีว่าเป็นผู้ต้องสงสัย และโดนโยงว่าอาจจะเป็นคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังคดีการหายตัวไปฯ ด้วย
- นักเดินทางจึงต้องรับบทเป็นทนายแก้ต่างให้ Lyney สู้คดีกับ Furina ในโรงอุปรากร
- Lyney & Lynette เฉลยเบื้องหลังของมายากลเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการไขคดี ในระหว่างนี้เราจะได้พบกับ “Navia” ประธานของ ‘องค์กรกุหลาบหนาม’ ผู้ยื่นมือเข้ามาช่วยเราด้วยอีกแรงหนึ่ง
- องค์กรกุหลาบหนาม มีขึ้นเพื่อช่วยไกล่เกลี่ยและแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้ผู้คน โดยมีจุดยืนที่ไม่ค่อยเห็นด้วยและตั้งแง่กับวัฒนธรรม “การพิพากษาเยี่ยงละคร” ของ Fontaine เพราะว่าระบบนี้ เคยนำพาให้พ่อ Navia ถึงแก่ความตายมาแล้ว
- ในการพิจารณาคดี เราจะได้เห็นระบบพิพากษา อันมี “Neuvillette” ผู้พิพากษาสูงสุดของประเทศนี้ ตัดสินร่วมกันกับ “ประกาศิตเที่ยงธรรม” เครื่องจักรลึกลับ สร้างขึ้นโดยเทพแห่งน้ำ ซึ่งทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา Neuvillette และประกาศิตฯ จะตัดสินตรงกันเสมอ
- ระหว่างสู้คดี, Furina ขุดข้อมูลมาแฉว่า Lyney & Lynette นั้นเติบโตมาจากบ้านเด็กกำพร้าของพวก Fatui และด้วยความที่ Fatui มีชื่อเสียงไม่ดีเป็นทุนเดิม ทำให้ฝ่าย Lyney กับนักเดินทางเสียเปรียบมากขึ้น
- สองแฝดและนักเดินทางออกมาคุยกันนอกรอบ เพื่อยืนยันว่าทั้งคู่ไม่ใช่คนร้ายจริง ๆ และระหว่างแสดงมายากล เรื่องพิรุธของ Lyney นั้นทำไปก็เพื่อหาโอกาสเข้าไปตรวจสอบเครื่องประกาศิตฯ ว่าแท้จริงแล้วมันทำงานอย่างไรกันแน่
- Navia ช่วยพาตัว Halsey (หญิงที่หายตัวไป) กลับมายังชั้นศาล และเฉลยความจริงต่าง ๆ จนท้ายสุดแล้ว Lyney ก็รอดพ้นจากความผิด
- ในคดีนี้เอง ทุกคนได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของ “น้ำทะเลบรรพกาล” เป็นครั้งแรก มันคือน้ำที่ให้กำเนิดทุกชีวิตใน Teyvat แต่หากสัมผัสเข้ากับตัวของชาว Fontaine บุคคลนั้น ๆ ก็จะละลายหายไปกับน้ำทันที (เหมือนในคำพยากรณ์)
- และก็ทำให้รู้ว่ามีผู้ไม่หวังดีนำน้ำทะเลบรรพกาลมาใช้ เพื่อใส่ความ Lyney ให้เป็นคนร้ายของคดีการหายตัวไปฯ
อดีตของพ่อ Navia ที่นำพาสู่การไขปริศนา
- Navia ชวนนักเดินทางไปกินเลี้ยงฉลองที่โรงแรมในตัวเมือง พร้อมพูดคุยเกี่ยวกับคดีใหญ่ (การหายตัวไปของหญิงสาวฯ) ที่ยังไม่รู้ตัวคนร้าย
- หลังจากนั้น นักเดินทางมาที่ลานน้ำพุหน้าโรงอุปรากร และด้วยสัมผัสของธาตุน้ำที่แข็งกล้า ก็ทำให้หลุดเข้าไปพบกับ Oceanid (สิ่งมีชีวิตธาตุน้ำ) ตัวหนึ่งในฝัน
- Oceanid บอกว่าตนเคยเป็นมนุษย์มาก่อน และเป็นเหยื่อของคดีการหายตัวไปฯ ด้วย
- สาเหตุที่เธอกลายเป็นเช่นนี้ เพราะถูกละลายโดยน้ำทะเลบรรพกาล และน้ำพุตรงนี้เป็นจุดรวมของสายน้ำต่าง ๆ ใน Fontaine เธอจึงมาอยู่ที่นี่
- ในตอนนั้น เธอถูกละลายต่อหน้าต่อตาคนรัก ที่มีนามว่า “Vacher”
- เมื่อนักเดินทางตื่นขึ้น ก็พบว่ากำลังถูกกองทัพหุ่นรักษาการณ์เข้าโจมตีอย่างหนัก โดยมี Navia และลูกน้องช่วยปกป้องเราอยู่
- “Clorinde” ทหารองครักษ์ของ Furina เข้ามาช่วยด้วยอีกแรง และจัดการหุ่นทั้งหมดลงสำเร็จ
- หุ่นเหล่านี้ถูกส่งมาโดยผู้อยู่เบื้องหลังคดีการหายตัวไปฯ เพื่อจัดการกับเราที่แกว่งเท้าหาเสี้ยน
- และก่อนหน้านี้ก็มีคนแอบผสมน้ำทะเลบรรพกาลไว้ในแก้ว ระหว่างเลี้ยงฉลองกับ Navia ด้วย ซึ่ง Navia รอดจากการละลายมาหวุดหวิดเพราะความตะกละของ Paimon ที่หยิบแก้วไปกินเองก่อน (เราและ Paimon ไม่ละลาย เพราะไม่ใช่คน Fontaine)
- นักเดินทางและ Navia จึงร่วมมือกันอีกครั้งเพื่อหาคนร้ายตัวจริง โดยเริ่มจากการสืบหาคนชื่อ “Vacher” ที่เราได้ยินมาในฝัน
- ระหว่างนี้ เราจะได้รู้อดีตของ Navia ว่าเธอขึ้นมาเป็นผู้นำองค์กรกุหลาบหนาม ต่อจาก “Callas” พ่อของเธอที่เสียชีวิตไป โดยถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ร้ายมาถึงทุกวันนี้
- Callas เข้าไปยุ่งกับคดีการหายตัวไปฯ จนถูกคนร้ายตัวจริงส่งคนมาฆ่าปิดปาก โดยแม้ว่า Callas จะรอดมาได้ เขาก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมแทน
- และระบบของ Fontaine นั้นเปิดโอกาสให้ผู้ต้องสงสัย “ปกป้องเกียรติ” ของตัวเองได้ ด้วยการเลือกต่อสู้ในสนามประลอง หากชนะก็จะหลุดพ้นการถูกพิจารณาคดี
- ปกติจะไม่มีใครเลือกสู้เพราะโอกาสรอดต่ำมาก แต่ Callas ก็เลือกด้วยความตั้งใจที่จะตายตั้งแต่แรก และตายคาสนามประลองจริง ๆ โดยมีคู่ต่อสู้คือ Clorinde
- ก่อนหน้านั้น เขาสั่งเสียกับ Clorinde ให้ฝากดูแลลูกสาวด้วย (Navia) นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ Clorinde แอบตาม Navia มา และช่วยสู้กับกองทัพหุ่นได้ทันการ ซึ่งในใจเธอก็ยังรู้สึกผิดที่เป็นคนสังหาร Callas เองกับมือ
- ขณะเดียวกัน Navia ก็ยังรู้สึกขุ่นเคืองและน้อยใจ Neuvillette (ผู้พิพากษา) มาถึงทุกวันนี้ เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าคดีนั้นมีอะไรแปลก ๆ แต่ก็ไม่ได้ห้าม Callas ให้เข้าสู่สนามประลอง
- ทั้งหมดตัดสินใจรื้อคดีฆาตกรรมที่ Callas เป็นแพะ มาสืบหาเบาะแสใหม่ เพราะมันเชื่อมกับคดีใหญ่อย่างการหายตัวไปฯ ด้วยเช่นกัน
- ระหว่างสืบข้อมูล อยู่ดี ๆ ก็มีข่าวว่า Childe ตกเป็นผู้ต้องสงสัยคนใหม่ของคดีการหายตัวไปฯ Navia จึงขอตัวไปช่วยแก้ต่างให้ก่อนในศาล เพื่อซื้อเวลาให้เราหาหลักฐานมัดตัวคนผิด
- Navia เข้าไปกล่าวหาว่า “Marcel” คนในองค์กรของเธอ เป็นคนร้ายตัวจริงของคดีนี้
- ในอีกด้านหนึ่ง นักเดินทางก็หาหลักฐานจนพบ ว่าแท้จริง Oceanid ที่เจอในฝันนั้นไม่ใช่เหยื่อของคดี แต่เป็นคนรักของ Vacher ที่ออกผจญภัยด้วยกันเมื่อนานมาแล้ว และถูกน้ำทะเลบรรพกาลละลายเข้าโดยบังเอิญ
- ด้วยความเศร้าโศก, นับตั้งแต่นั้นมา Vacher จึงหาวิธีที่จะคืนร่างเธอกลับ ด้วยการจับตัวหญิงสาวมาทดลองละลายกับน้ำทะเลเรื่อย ๆ สรุปแล้วก็คือ Vacher นั่นเองที่เป็นคนร้ายตัวจริง
- นักเดินทางนำหลักฐานทั้งหมด มาปะติดปะต่อกับการกล่าวหาของ Navia และได้ข้อสรุปว่า Marcel ก็คือ Vacher ที่เปลี่ยนชื่อมา
- Vacher/Marcel ค้นพบน้ำทะเลบรรพกาลที่ Fontaine เป็นคนแรก และก่อคดีเพื่อทดลองให้คนรักของเขาฟื้นกลับมา แต่ก็ยังไม่สำเร็จ
- ในช่วงหนึ่ง Callas (พ่อ Navia) เข้ามาเป็นเสี้ยนหนามของเขา เขาจึงหาวิธีกำจัดออกไปจนสำเร็จ รวมถึงล่าสุดก็อยากจะใส่ร้ายแฝดนักมายากลด้วย เพื่อให้คดีปิดลงโดยไม่ต้องมีการสืบสวนอีก แต่ก็ผิดแผน แถมความลับเรื่องน้ำทะเลบรรพกาลก็ถูกเปิดโปง
- ระหว่างพิจารณาคดี, Neuvillette ทำหน้าที่ได้ดีไม่มีบกพร่อง ขณะที่เทพอย่าง Furina ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก และเน้นพูดตามน้ำคนอื่น โดยระวังไม่ให้ตัวเองเสียภาพลักษณ์ อันเป็นการตอกย้ำว่าตัวเธอดูเป็น “มาสค็อต” ในสายตาประชาชน มากกว่าจะเป็นที่พึ่งพาได้
- Vacher ถูกตัดสินให้มีความผิด ปิดฉากคดีอันยาวนานของ Fontaine
- รวมถึงเป็นการทวงคืนเกียรติของ Callas กลับมาด้วย โดยสาเหตุที่เขาเลือก ‘ความตาย’ แทนการเปิดโปง Vacher ก็เพื่อปกป้องคนรอบข้าง และเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่ง Navia จะมีหลักฐานที่เพียบพร้อม และคลี่คลายคดีลงได้
- ก่อนจบการพิพากษา จะต้องมีการตัดสินให้ Childe พ้นผิดด้วยตามขั้นตอน (เพราะจับคนร้ายตัวจริงได้แล้ว)
- อย่างไรก็ตาม เป็นครั้งแรกที่ Neuvillette และเครื่องประกาศิตฯ ตัดสินไม่ตรงกัน โดยเครื่องประกาศิตฯ ดันบอกว่า Childe “มีความผิด” และด้วยธรรมเนียมแล้ว Neuvillette ต้องยึดผลลัพธ์ตามนี้
- เกิดความสับสนไปทั่ว และคนที่ดูเกี่ยวข้องกับเครื่องประกาศิตฯ ที่สุดอย่าง Furina เองก็ยังไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
- Childe ขัดขืนการจับกุมสุดตัว โดยระหว่างที่เขากำลังระเบิดพลังเพื่อเตรียมเอาจริง ก็ถูก Neuvillette กำราบลงก่อน
- Neuvillette รับปากจะตรวจสอบให้ภายหลังว่าเครื่องประกาศิตฯ ทำงานพลาด หรือ Childe ผิดจริงกันแน่ โดยระหว่างนี้ Childe ก็ต้องโดนขังรอไปก่อน
- Vacher ถามนักเดินทางว่ารู้ชื่อเก่าของเขามาจากไหน เพราะเขามั่นใจว่าลบร่องรอยทุกอย่างไปหมดแล้ว เราจึงเฉลยเรื่อง Oceanid ที่น้ำพุ และ Neuvillette อนุญาตให้ Vacher ไปหาคนรักเป็นครั้งสุดท้าย
- เมื่อ Vacher ได้คุยกับ Oceanid จริง ๆ ก็พบว่า Oceanid นั้นไม่ใช่คนรักของเขา แต่เป็นจิตสำนึกของบรรดาเหยื่อทั้งหมดที่หลอมรวมเข้าด้วยกัน ส่วนคนรักตัวจริงนั้นเกลียด Vacher เข้ากระดูกดำตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มลงมือก่อคดีแล้ว และไม่ยอมออกมาพบอีก
- Oceanid (เหยื่อทุกคน) ลงโทษ Vacher ทางวิญญาณ จนทำให้เขาช็อคตายคาที่
- หลังทุกอย่างคลี่คลาย, นักเดินทางและ Navia นัดไปเยี่ยมหลุมศพของ Callas ด้วยกัน
- ที่นี่ เราจะได้พบ Neuvillette ที่มาเคารพหลุมศพ Callas อยู่ก่อนแล้ว ทำให้ Navia และ Neuvillette ได้ปรับความเข้าใจกันในที่สุด
- Navia คิดว่าอยากหาโอกาสชวน Clorinde ไปกินข้าวเพื่อพูดคุยเปิดใจกันด้วย เพราะในระหว่างสู้คดี เธอเองก็เป็นพยานสำคัญที่ทำให้ Callas พ้นผิด
- หลังแยกย้ายกับ Navia, นักเดินทางได้พูดคุยกับ Neuvillette เพื่อสอบถามถึงปริศนาต่าง ๆ ของเมืองนี้
- Neuvillette เองก็ตระหนักได้ถึงคำพยากรณ์ เพราะขณะนี้มันเกิดไปแล้ว 2 อย่าง (น้ำทะเลสูงขึ้น และมนุษย์ละลายไปกับน้ำได้) จึงดูเป็นปัญหาขึ้นมาแล้วจริง ๆ ที่เทพแห่งน้ำองค์ก่อนฝากไว้ให้ Furina
- ส่วนเบาะแสของฝาแฝดเรานั้น Neuvillette ไม่ทราบเลย
รับบทคนคุก
- หลังจบคดีใหญ่ของเมืองได้สักพัก Neuvillette ก็ขอพบนักเดินทาง เพราะมีเรื่องอยากปรึกษา
- เรื่องมีอยู่ว่า ก่อนหน้านี้ Furina ได้เจอกับ “The Knave” หรือก็คือ “Arlecchino” ผู้บริหารขององค์กร Fatui และเป็นเจ้าของบ้านเด็กกำพร้าที่อุปถัมภ์เหล่าสองแฝดนักมายากล
- เธอมาเข้าพบ Furina เพื่อพูดคุยทางการทูต และส่วนหนึ่งก็มาเพราะเรื่อง Childe ด้วย
- ในทีแรก Arlecchino อยากขอให้ส่งตัว Childe มาให้ประเทศ Snezhnaya จัดการต่อ แต่ Neuvillette ปฏิเสธ และต่อรองจนเหลือแค่ว่าทาง Fontaine จะส่งคนไปยืนยันสถานการณ์ของ Childe ในคุก และกลับมารายงานให้
- Neuvillette สังเกตเห็นว่า Furina มีท่าทีเกรงกลัว Arlecchino ตลอดเวลาที่พูดคุย เลยสงสัยว่า Arlecchino อาจกุมจุดอ่อนอะไรไว้อยู่
- กลับมาที่ปัจจุบัน, Neuvillette กะว่าคนที่จะไปยืนยันสถานการณ์ของ Childe ในคุก ก็คือตัวนักเดินทางนั่นเอง
- จริง ๆ แล้วที่นั่นไม่เชิงว่าเป็นคุก แต่ถูกเรียกว่า “ป้อมปราการ Meropide” เขตปกครองตัวเองที่ตั้งอยู่ใต้ทะเล และอยู่นอกอำนาจทางการ Fontaine ดังนั้นการส่งตัวนักโทษไปที่นั่น จึงเป็นเหมือนการเนรเทศมากกว่า
- มีเรื่องยุ่งยากหนึ่งอย่าง คือตอนนี้ Childe หายตัวไปในนั้นอย่างเป็นปริศนา
- Neuvillette จึงไหว้วานให้นักเดินทางเข้าไปสืบจากข้างใน โดยตั้งข้อหาปลอมให้เราไปเป็นนักโทษอยู่ที่นั่นสักพัก
- เมื่อเราถูกคุมตัวมายังป้อมปราการ, ก็พบว่าที่นี่มีระบบเศรษฐกิจของตัวเอง และมีอาชีพ มีสังคม จึงเป็นเหมือนโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ในนี้
- นักเดินทางได้พบกับ “Wriothesley” ผู้มีอำนาจสูงสุดแห่งป้อม Meropide ซึ่งเขาอาสาพาทัวร์ให้เอง เพราะถือว่าเราเป็นคนรู้จักของ Neuvillette
- ระหว่างทัวร์ เราได้รู้คร่าว ๆ ว่าตั้งแต่ Wriothesley เข้ามารับตำแหน่ง เขาก็มีส่วนช่วยให้คุณภาพชีวิตที่นี่ดีขึ้นหลายอย่าง
- ที่ห้องพยาบาล นักเดินทางได้พบกับ “Sigewinne” ซึ่งเป็นหัวหน้าพยาบาลของที่นี่
- และก็ได้รู้ว่าสองแฝด Lyney, Lynette รวมถึงน้องเล็กอย่าง Freminet ก็แทรกซึมเข้ามาเป็นนักโทษอยู่ที่นี่ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นคำสั่งของ Arlecchino
- แต่ทั้ง 3 ไม่ได้ลงมาเพื่อสืบเรื่อง Childe อย่างเดียว เพราะหลัก ๆ แล้วคือมาสืบหา ‘โนซิสของเทพแห่งน้ำ’ ซึ่ง Arlecchino รู้ด้วยวิธีการบางอย่าง ว่ามันไม่ได้อยู่กับตัว Furina และอาจถูกซ่อนอยู่ในเขตหวงห้ามของที่นี่
- นักเดินทางและ 3 พี่น้องจึงร่วมมือกันสืบเรื่องต่าง ๆ เพื่อหาความลับในป้อมแห่งนี้ เพราะเป็นไปได้ว่าเขตหวงห้าม ก็คือที่ ๆ Childe หายตัวไป
- ระหว่างใช้ชีวิตในป้อม เราจะได้เรียนรู้กฎแปลก ๆ หลายอย่าง ซึ่งนักเดินทางก็ลองฝ่าฝืนดูทั้งหมด เพราะอาจทำให้รู้เบาะแสของ Childe
- และในบางคืน ก็ฝันเห็นภาพอดีตของ Childe ระหว่างที่เขาใช้ชีวิตในนี้ด้วย ซึ่งเชื่อมโยงกันผ่านวิชันธาตุน้ำที่เขาเคยฝากไว้กับเรา
- จากภาพในฝัน และการลองฝ่าฝืนกฎต่าง ๆ ทำให้รู้ว่า Childe หลบหนีไปทางท่อระบายน้ำแล้ว ซึ่ง Childe ทำตัวเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเรียกหาเขาอยู่
- นักเดินทางอยากไล่ตาม Childe ไป แต่เส้นทางตรงนี้โดนน้ำท่วมหมดแล้ว จึงไปขอให้ Freminet ผู้เชี่ยวชาญการดำน้ำ มาช่วยเราเรื่องนี้
- Freminet ดำน้ำไปสำรวจเส้นทางของ Childe ล่วงหน้าให้ก่อน แต่เมื่อถึงเวลานัด เขาก็ยังไม่กลับมา
- และ Lynette ที่แยกตัวไปสืบเรื่องเขตหวงห้ามที่ห้องพยาบาล ก็หายตัวไปด้วยอย่างลึกลับ
- ความจริงปรากฏว่า Wriothesley อยู่เบื้องหลัง เขารู้ตั้งแต่แรกว่าทั้งเราและ 3 พี่น้อง Fatui ลงมายังที่นี่ด้วยเป้าหมายแอบแฝง
- Lyney มุ่งตรงไปเผชิญหน้ากับ Wriothesley ทันที เพราะเชื่อว่าน้องทั้ง 2 ตกอยู่ในอันตราย
- Lynette ถูกพวก Wriothesley และ Sigewinne คุมตัวเอาไว้จริง ๆ แต่สำหรับ Freminet นั้นโชคร้าย เพราะดันไปสัมผัสเข้ากับน้ำทะเลบรรพกาลที่เจือจางอยู่ในทะเลปกติ ระหว่างดำน้ำ
- คนที่ช่วยเขากลับขึ้นมาคือ Clorinde และรีบนำตัว Freminet มาให้ Sigewinne รักษา
- ส่วนทางด้าน Lynette ก็ปรากฏตัวกลับมา เธอแค่โดนยาชาของ Sigewinne จัดการไปชั่วคราวเท่านั้น
- Wriothesley เป็นคนจ้าง Clorinde ให้มาช่วยในสถานการณ์นี้ ขณะเดียวกัน ทั้งหมดก็ได้รู้ข่าวจาก Freminet ว่าตอนนี้น้ำทะเลข้างนอกเริ่มเปลี่ยนสภาพแล้ว ความเข้มข้นของน้ำทะเลบรรพกาลกำลังสูงขึ้นเรื่อย ๆ
- ส่วน Childe นั้น, Freminet ยังหาตัวไม่พบ
- Wriothesley เฉลยเรื่องต่าง ๆ ให้นักเดินทางฟัง ทั้งเบื้องหลังของกฎแปลก ๆ ซึ่งที่จริงแล้วเป็นแค่ความเข้าใจผิด ส่วนแผนต่าง ๆ ของ Wriothesley ก็ทำไปเพราะต้องการปกป้อง “ความลับ” ให้พ้นจากมือพวก Fatui และมีเจตนาดีที่จะลดความเสียหายให้น้อยที่สุด ทั้งฝั่งเขาเองหรือกระทั่งฝั่ง 3 พี่น้องก็ตาม
คำทำนายที่กลายเป็นจริง
- Wriothesley พาเรามาดู “ความลับ” ที่เขตหวงห้ามด้วยตนเอง สรุปแล้วที่นี่ไม่ได้มีโนซิสซ่อนอยู่ แต่มีประตูแน่นหนา คอยกั้นไม่ให้น้ำทะเลบรรพกาลไหลทะลักขึ้นมา
- แท้จริงแล้ว ป้อมปราการ Meropide ถูกสร้างขึ้นเหนือทะเลบรรพกาล ซึ่งเมื่อก่อนประตูสามารถกั้นไว้ได้ไม่มีปัญหา แต่ในช่วงหลัง ๆ มานี้มาตรวัดก็พุ่งสูงจนใกล้ขีดจำกัดแล้ว
- แถม Freminet ก็เพิ่งค้นพบมาว่ามันเริ่มรั่วซึมออกสู่ทะเลภายนอกแล้วด้วย
- หากประตูนี้กั้นไว้ไม่อยู่, Fontaine อาจถึงจุดจบจริง ๆ ตามคำทำนาย
- ส่วนสาเหตุที่ป้อมปราการต้องมาสร้างอยู่ตรงนี้ เป็นเพราะเทพแห่งน้ำรุ่นก่อน อยากให้คนที่ทำผิด ลงมาปกป้องความลับ ณ ก้นทะเลนี้เอาไว้ ซึ่งผู้คนก็เต็มใจทำ เพราะมองว่านี่คือโอกาสไถ่บาปหลังถูกเนรเทศ แต่นานวันเข้าความลับดังกล่าวก็ถูกหลงลืม
- ตลอดเวลาที่ผ่านมา Wriothesley ก็กำลังซุ่มทำโปรเจกต์ลับ ๆ กับเหล่านักวิจัยอยู่ นั่นคือการสร้างเรือลำยักษ์ เพื่อเตรียมอพยพชาว Fontaine หนีจากภัยพิบัติ
- ส่วนตัวแล้ว Wriothesley ก็อยากพบ Arlecchino เพื่อหารือเรื่องการรับมือวิกฤตินี้เหมือนกัน นักเดินทางจึงตัดสินใจเล่าความลับนี้ให้ 3 พี่น้องฟังด้วย และ Lyney รับปากว่าจะนำข่าวไปแจ้ง Arlecchino ให้
- สถานการณ์ผ่อนคลายลงได้ไม่ทันไร ก็มีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น นั่นคือประตูในเขตหวงห้าม กั้นน้ำทะเลบรรพกาลไว้ไม่อยู่แล้ว
- Wriothesley และ Clorinde เข้ามาต้านน้ำไว้ชั่วคราว ยื้อเวลาให้นักเดินทางรีบขึ้นไปแจ้งข่าวนี้กับ Neuvillette โดยด่วน
- นักเดินทางรุดหน้ามาพบ Neuvillette และเขารับปากว่าจะลงไปช่วย แต่เขาก็ขอร้องให้เราไปสมทบ Furina และช่วยปกป้องเธอแทนด้วย เพราะ Furina กำลังจะนัดพูดคุยกับ Arlecchino
- นักเดินทาง, Furina และ Arlecchino เข้ามาพบกันที่โรงอุปรากรเพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ
- สถานการณ์ค่อนข้างตึงเครียด เพราะฝ่ายเรายังไม่มีคำตอบให้ว่า Childe หายตัวไปไหนกันแน่
- และ Arlecchino ก็รู้เรื่องแล้วว่าคำพยากรณ์ใกล้จะเป็นจริงขึ้นทุกที แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่เห็นว่า Furina จะช่วยทำอะไรเลยสักอย่าง ได้แต่ทำตัวเอ้อระเหยไปวัน ๆ
- Furina ค้านด้วยท่าทีจริงจัง ว่าเธอกำลังพยายามแก้ปัญหาอยู่จริง ๆ แต่ยังบอกอะไรไม่ได้ตอนนี้
- การพูดคุยจบลง, ด้าน Arlecchino ขอเจอกับนักเดินทางอีกรอบเป็นการส่วนตัว
- เธอเล่าความลับให้ฟังว่าก่อนหน้านี้เคยลอบโจมตี Furina ในยามดึกมาแล้ว และแปลกใจมากที่ Furina ไม่ได้มีโนซิสอยู่กับตัว, เข้าถึงตัวได้ง่าย ที่สำคัญคือเธอไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟังด้วยซ้ำ แต่เก็บไปร้องไห้อยู่เงียบ ๆ คนเดียว ซึ่งดูรวม ๆ แล้วไม่สมกับเป็นเทพแห่งน้ำเลย
- แผนการต่าง ๆ ของ Arlecchino ในช่วงนี้ ทำไปเพื่อหยั่งเชิง, ตรวจสอบ และกดดันเบื้องบนของ Fontaine
- จากการพูดคุยครั้งนี้ ทำให้เราเห็นความมุ่งมั่นว่า Arlecchino ก็อยากช่วยประเทศบ้านเกิดด้วยวิธีของตัวเอง เพราะเชื่อว่าเบื้องบนหรือเทพอย่าง Furina นั้นหวังพึ่งไม่ได้
- Arlecchino จากไปโดยทิ้งท้ายว่าถ้ามีโอกาส อาจได้ร่วมมือกับนักเดินทางอีก
- ทางฝั่ง Neuvillette ยับยั้งน้ำทะเลบรรพกาลได้สำเร็จ แต่ก็ยังเป็นเพียงการปิดผนึกไว้ชั่วคราว
- เขากลับขึ้นมาพบนักเดินทางอีกครั้ง ทั้งสองฝ่ายต่างเล่าถึงสิ่งที่เจอมา ก่อนที่นักเดินทางจะได้รู้ความจริงว่า Neuvillette ก็คือ ‘ราชามังกรวารีแห่ง Fontaine’ ที่อยู่เคียงข้างเทพแห่งน้ำมานานหลายร้อยปี
- นั่นเป็นเหตุผลที่เขามีพลังต้านน้ำไว้ได้ แต่ก็ยังไม่มากพอจะจัดการกับภัยพิบัติทั้งหมดได้เด็ดขาด
- นักเดินทางกลับมาที่ป้อมเพื่อเช็คว่าทุกคนยังปลอดภัยดี และเมื่อมีโอกาสได้นอนพักผ่อน คืนนั้นก็ฝันเห็น Childe ที่กำลังจมทะเลอยู่ และพบกับวาฬปริศนาขนาดยักษ์อยู่ตรงหน้า
หายนะที่เมือง Poisson
- เวลาผ่านไป ในที่สุดนักเดินทางก็ได้รับการปล่อยตัวจากป้อมปราการ Meropide
- แต่ระหว่างที่กำลังจะออก ก็มีแรงสั่นสะเทือนบางอย่างเกิดขึ้น เมื่อกลับไปถาม Neuvillette ที่นครว่าการ Fontaine เขาก็บอกมาว่ามันเกิดแถว ๆ เมือง Poisson ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ขององค์กรกุหลาบหนามด้วย และผลของมันทำให้ระดับน้ำแถวนั้นสูงขึ้นชั่วคราว
- Neuvillette ก็หวั่นวิตกว่าจะมีน้ำทะเลบรรพกาลรั่วซึมมาแถวนั้นหรือไม่ แต่ด้วยความที่เจ้าตัวยังงานยุ่ง นักเดินทางจึงอาสาลงพื้นที่ไปตรวจสอบเอง
- เมื่อมาถึงเมือง Poisson และได้พบกับ Navia, เธอก็เล่าให้ฟังว่าที่นี่มีน้ำทะเลบรรพกาลปนเปื้อนอยู่จริง ๆ
- พอเกิดแรงสั่นสะเทือนแล้วระดับน้ำสูงขึ้น คนที่หนีไม่ทันก็ละลายไปกับน้ำเลย ส่วนใครที่ไหวตัวทันก็อพยพขึ้นที่สูง ซึ่งระหว่างหนีก็บาดเจ็บเพราะเหยียบกันบ้าง หรือพลัดตกลงมาจากที่สูงบ้าง
- Arlecchino ปรากฏตัวมาพูดคุยกับนักเดินทาง และทำให้ทราบว่าองค์กรกุหลาบหนามกับ Fatui (บ้านแสนอบอุ่น) ร่วมมือกันเพื่อช่วยเหลือผู้คน โดย Fatui นั้นเตรียมพร้อมกับเหตุการณ์แบบนี้มานานแล้ว ทั้งคอยสังเกตระดับน้ำ และเตรียมเสบียงฉุกเฉินไว้
- Arlecchino บอกว่านี่คือเวลาที่นักเดินทางจะต้องร่วมมือกับ Fatui แล้วจริง ๆ เพราะภัยพิบัติใกล้เข้ามาแล้ว จากสัญญาณเตือนทั้ง 2 รอบ (ประตูกั้นน้ำ และที่เมือง Poisson) เธอจึงแชร์ข้อมูลให้ว่าคนของเธอพบโบราณสถานแห่งหนึ่ง และเสนอให้นักเดินทางเข้าไปสำรวจดู เผื่อจะได้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับคำพยากรณ์และภัยพิบัติ
- Navia ก็ขอไปกับเราด้วย เพราะอยากเบี่ยงเบนจากความเศร้าที่ต้องเสียผู้ติดตามคนสนิทไปหมาด ๆ ทั้ง 3 (นักเดินทาง, Paimon, Navia) จึงลงมาสำรวจที่โบราณสถานใกล้ ๆ กับเมือง Poisson
- Navia เกือบพลาดตกไปในน้ำที่ปนเปื้อน โชคยังดีที่ Neuvillete เองก็ตามนักเดินทางมาที่นี่ด้วย (รู้จาก Arlecchino มาอีกที) เขาจึงช่วย Navia ไว้ได้ทัน
- ทั้ง 4 ออกสำรวจจนได้พบแผ่นหินที่สลักคำพยากรณ์ไว้ 4 แผ่น แต่มีแผ่นหนึ่งที่ขาดหายไป
- ด้วยความที่ยังแปลอะไรไม่ค่อยได้ ทุกคนจึงแยกย้ายกันเท่านี้ก่อน โดยทางด้าน Neuvillete จะนำเรื่องนี้ไปถามกับ Furina เอง ว่าเธอรู้ความลับอะไรเกี่ยวกับคำพยากรณ์กันแน่
- เมื่อนักเดินทางกลับมาพักผ่อนที่โรงแรม ก็ได้พบ Mona โดยบังเอิญ จึงมีโอกาสถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ และรู้ว่าเธอมาที่ Fontaine ก็เพราะสนใจเรื่องคำพยากรณ์เหมือนกัน
- นักเดินทางขอร้องให้ Mona ติดต่ออาจารย์ของเธอ เพื่อถามเรื่องคำพยากรณ์ว่ามีโอกาสเป็นจริงแค่ไหน ซึ่งเธอก็รับปากว่าจะลองคุยให้
- วันต่อมา, Neuvillete มีปากเสียงกับ Furina โดยเขากดดันให้บอกความลับทุกอย่างที่รู้มาให้หมด พร้อมชี้ว่าตอนนี้เริ่มมีความสูญเสียเกิดขึ้นแล้ว แต่จนแล้วจนรอด Furina ก็ไม่ยอมบอกอะไร พร้อมตัดบทว่าขอให้เชื่อใจในตัวเธอต่อไป แล้วสุดท้ายทุกอย่างจะออกมาดีเอง
- ในเมื่อ Furina ไม่ยอมบอกอะไร ดังนั้นนักเดินทาง, Neuvillete, สามพี่น้อง Fatui, Navia และ Clorinde จึงมาประชุมวางแผนสำหรับการ “พิพากษาเทพเจ้า” เพื่อบังคับให้ Furina เปิดปากคายความลับออกมาให้ได้
- เมื่อวางแผนกันเสร็จ นักเดินทางและ Paimon ก็กลับมาพักผ่อน ในระหว่างนี้เอง ทั้งสองก็ได้รับการติดต่อจาก “แม่มด N” ผ่านทางจิตใต้สำนึก
- เธอคือหนึ่งในสมาชิก ‘สมาคมแม่มด’ ผู้ทรงอำนาจใน Teyvat, มีงานอดิเรกในการชี้นำผู้คน และเป็นเพื่อนกับอาจารย์ของ Mona ด้วย
- แม่มด N บอกว่าคำพยากรณ์จะเกิดขึ้นจริงแน่นอน เพียงแต่ว่าภาพที่เห็น กับเหตุการณ์จริงนั้นอาจไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ หรือก็คือคำพยากรณ์อาจมี “จุดบอด” อยู่
- นักเดินทางและ Paimon ทำใจยอมรับได้ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด จากนั้นก็ใช้ชีวิตใน Fontaine แต่ละวันไปเรื่อย ๆ พร้อมเตรียมแผนการ “พิพากษาเทพเจ้า” ร่วมกับเพื่อน ๆ ไปด้วย
ความลับตลอด 500 ปีของ Furina
- เมื่อเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว Navia จึงเริ่มก่อเหตุวุ่นวายที่โรงอุปรากร โดยให้ลูกน้องของเธอแฝงตัวเข้าไปปลุกปั่นจนเกิดการประท้วง ว่า Furina นั้นเพิกเฉยต่อวิกฤติคำพยากรณ์ที่เกิดขึ้น
- Furina เห็นท่าไม่ดีจึงหนีออกมาซ่อนตัวที่เมือง Poisson และยืนร่ำไห้ด้วยความอาลัยต่อผู้สูญเสีย
- แต่นี่ก็อยู่ในการคาดเดาอยู่แล้ว นักเดินทางจึงทำทีเป็นว่ามาหา Furina และบังเอิญเจอกับกลุ่มผู้ประท้วงที่ไล่ตามมา จึงพาเธอไปหลบอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ แถวนั้น
- นักเดินทางให้โอกาสสุดท้ายกับ Furina โดยรอจังหวะให้เธอบอกความลับ แต่เธอก็ใช้เวลานานเกินไป จนเพื่อน ๆ ที่เหลือเริ่มดำเนินแผนต่อ และเปิดฉากการพิพากษาเทพเจ้า
- แท้จริงแล้ว บ้านที่นักเดินทางและ Furina เข้ามาหลบ คือ “กล่องมายากล” ขนาดใหญ่ที่เหล่าแฝด Fatui ทำไว้ มันถูกเคลื่อนย้ายผ่านอุโมงค์ใต้ดินและส่งตรงมายังใจกลางโรงอุปรากร
- Furina ยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าประชาชนผู้รับชม เธอจำใจต้องเข้ารับการพิพากษา โดยนักเดินทางจะเป็นผู้กล่าวหาด้วยตนเอง
- ข้อกล่าวหาของนักเดินทาง คือ “Furina ไม่ใช่เทพเจ้า” พร้อมยกหลักฐานและเหตุผลต่าง ๆ มาสร้างความได้เปรียบ
- Navia ท้าให้ Furina สัมผัสกับน้ำทะเลบรรพกาลเพื่อพิสูจน์ความเป็นเทพ ซึ่งสุดท้ายแล้วเธอก็ยอมทำจริง ๆ
- Furina ไม่รู้ว่าน้ำทะเลฯ นั้นเป็นแบบเจือจางมาก ๆ เพราะ Navia ไม่อยากให้เกิดการสูญเสีย ผลลัพธ์คือ Furina มีอาการเหมือนมนุษย์ปกติที่สัมผัสกับน้ำทะเลฯ แบบเจือจาง ทุกฝ่ายจึงตกใจมากที่เธอกล้าสัมผัส โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะละลายจริง ๆ หรือไม่
- Furina จนมุมต่อข้อกล่าวหา ในที่สุดสภาพจิตใจของเธอก็มาถึงขีดจำกัด และเริ่มนั่งร้องไห้เงียบ ๆ ไม่ทำอะไรต่อไปอีก
- Neuvillete ตัดสินให้ Furina มีความผิดฐานหลอกลวงผู้คนว่าเป็นเทพเจ้า แต่ก็เกิดเหตุไม่คาดฝัน เมื่อเครื่องประกาศิตฯ กลับบอกว่าคนที่มีความผิดคือ “เทพแห่งน้ำ” และโทษนั้นคือ “ประหารชีวิต” ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนใน Fontaine
- ระหว่างที่ทุกคนสับสนว่าเครื่องประกาศิตฯ ต้องการบอกอะไรกันแน่, Freminet ก็ปรากฏตัวเข้ามา เขาได้รับคำสั่งจาก Arlecchino ให้ไปดำน้ำหาแผ่นหินสลักคำพยากรณ์ที่หายไป และนำกลับมาโชว์ในชั้นศาล
- เมื่อได้เห็นภาพครบทั้ง 4 แผ่นแล้ว Neuvillete และนักเดินทางจึงร่วมกันถอดความหมายที่แท้จริงของคำพยากรณ์นี้
- ความจริงปรากฏออกมาว่า เมื่อครั้งอดีต เหล่า Oceanid ซึ่งเป็นผู้ศรัทธาของเทพแห่งน้ำ อยากขึ้นไปใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์บนผืนดิน เทพแห่งน้ำรุ่นก่อนจึงขโมยพลังจากทะเลบรรพกาลมาใช้ เพื่อเปลี่ยนร่าง Oceanid ให้เป็นมนุษย์ โดยมนุษย์สายพันธุ์นี้จะมีน้ำทะเลบรรพกาลไหลเวียนทั่วร่างกาย ห่อหุ้มไว้ด้วยเส้นเลือด
- บาปของเทพแห่งน้ำรุ่นก่อน คือการสร้างมนุษย์ชาว Fontaine ขึ้นมาโดยพลการ และทำให้ Celestia (สวรรค์) ขุ่นเคือง ดังนั้นชาว Fontaine จึงต้องแบกรับบาปร่วมกัน ที่ขโมยพลังของทะเลบรรพกาลมาใช้
- จากการเชื่อมโยงหลักฐานและปากคำของนักเดินทาง, Neuvillete จึงสรุปว่าแท้จริงแล้วภัยพิบัตินี้มี “ต้นตอ” อยู่ด้วย ต้นตอที่ว่าก็คือวาฬยักษ์ในทะเลบรรพกาล ซึ่งนักเดินทางเคยเห็นในฝันผ่านตัว Childe นั่นเอง
- พูดไม่ทันขาดคำ วาฬตัวนั้นก็โผล่มาโจมตีผู้คนในโรงอุปรากร แต่ก็มาพร้อม Childe ด้วย ซึ่งเขาต่อสู้ฟัดเหวี่ยงกับมันมาโดยตลอด และสักพักหนึ่ง มันก็หนีกลับไปทะเลบรรพกาลพร้อม Childe อีกครั้ง
- วาฬตัวนี้คือสัตว์ประหลาดที่แหวกว่ายข้ามดวงดาว และเข้ามากลืนกินพลังของทะเลบรรพกาลใต้ Teyvat มานานแล้ว จนตัวใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นสาเหตุที่ทำให้ระดับน้ำทะเล Fontaine สูงขึ้น
- แต่ตอนนี้มันกินทะเลบรรพกาลจนหมดแล้ว เป้าหมายต่อไปจึงเป็นการขึ้นมากินชาว Fontaine บนบก เพราะชาว Fontaine มีน้ำทะเลบรรพกาลไหลเวียนอยู่ในตัว
- ก่อนจะทันได้คิดอะไรต่อ ก็ถึงเวลาที่กลไกของเครื่องประกาศิตฯ เริ่ม “ลงโทษประหาร” เทพแห่งน้ำ นักเดินทางจึงโผตัวเข้าไปหา Furina เพื่อหวังช่วยเธอ
- ในวินาทีนั้นเอง นักเดินทางหลุดเข้ามายังโลกใต้จิตสำนึกของ Furina และทำให้ได้รู้ความลับสุดยอดที่ Furina เก็บซ่อนมากว่า 500 ปี
- แท้จริงแล้ว Furina คือร่างมนุษย์ที่แยกออกมาจาก “Focalors” เทพแห่งน้ำคนปัจจุบัน ซึ่งทั้ง Furina และ Focalors ต่างก็มีความคิดแยกกันเป็นของตัวเอง
- Furina เป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีพลังอะไรทั้งสิ้น มีเพียงคำสาปติดตัวซึ่ง Focalors ร่ายไว้เพื่อให้เธอไม่มีวันตาย แต่ก็จะไม่มีโอกาสสัมผัสความสุขเหมือนอย่างมนุษย์ทั่วไปได้
- สาเหตุที่ Focalors ทำแบบนั้น เพราะเธอต้องการจะหลอก “กฎแห่งสวรรค์” เพื่อช่วยเหลือชาว Fontaine ให้รอดพ้นจากฉากสุดท้ายของคำพยากรณ์
- เพื่อการนั้น Focalors จึงต้องจัดฉากให้ Furina เข้ามารับบทบาทเป็นเทพแห่งน้ำ และแสดงบทนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่ให้ใครจับได้เด็ดขาด เพราะถ้าความแตกขึ้นมา แผนในการหลอกกฎแห่งสวรรค์จะพังทันที
- ในช่วงแรกเริ่มที่ Furina ถือกำเนิดได้ไม่นาน, Focalors มาพบเธอโดยไม่ได้เล่าแผนอะไรให้ฟัง แต่บอกแค่ให้เธอแสดงเป็นเทพแห่งน้ำไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้กำหนด ส่วน Focalors จะคอยจัดการที่เหลือให้เอง โดยสัญญาว่าการแสดงนี้จะสิ้นสุดลงใน “การพิพากษาครั้งสุดท้าย” ซึ่งเมื่อวันนั้นมาถึง ประชาชน Fontaine ทุกคนจะปลอดภัย
- Furina ยอมเล่นบทนี้ด้วยความเต็มใจ แม้ว่าเธอจะแทบไม่รู้เรื่องอะไรเลย ได้แต่คอยบอกให้ทุกคนเชื่อมั่น แล้วทุกอย่างจะออกมาโอเคในท้ายที่สุด
- Furina จึงเป็นสุดยอดนักแสดงที่อยู่ในบทบาทมาต่อเนื่องกว่า 500 ปี โดยมีฉากละครเป็น Fontaine ทั้งประเทศ เธอต้องเก็บความลับไว้เพียงลำพัง ได้แต่เฝ้ารอให้การพิพากษาครั้งสุดท้ายนั้นมาถึง และคอยตรวจสอบระดับน้ำทะเลไปด้วยพลาง ๆ
- แต่เพราะ Furina เป็นมนุษย์ สภาพจิตใจของเธอก็เหมือนมนุษย์ทั่วไป นี่จึงเป็นการรอคอยที่ทั้งเหงาและทรมาน ได้แต่เชื่อมั่นว่า Focalors จะทำสำเร็จ
- ทางด้าน Neuvillete ก็หลุดเข้ามาอยู่ในอีกมิติหนึ่ง และได้พูดคุยกับ Focalors เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย
- Focalors เล่าแผนการทั้งหมดให้ Neuvillete ฟัง และบอกว่าสาเหตุที่ Furina ต้องไม่รู้เรื่องพวกนี้ เพราะถ้าจะหลอกกฎแห่งสวรรค์ ก็จำเป็นต้องหลอกตัวเองให้ได้ก่อน
- ที่จริงแล้ว โนซิสของเทพแห่งน้ำอยู่ในเครื่องประกาศิตฯ และงานของ Focalors ตลอด 500 ปีที่ผ่านมา คือการสะสมพลังงานไว้ในเครื่องประกาศิตฯ เพื่อเตรียมใช้ “ประหารชีวิต” เทพแห่งน้ำในวันนี้
- ด้วยพลังมหาศาลที่สะสมมาตลอด 500 ปี จึงทำให้ตัวเครื่องสามารถทำลายบัลลังก์เทพแห่งน้ำลงได้
- ตามประวัติศาสตร์ของ Teyvat, พลังของเทพอสูรทั้ง 7 นั้นถูกช่วงชิงมาจากเหล่ามังกรโบราณ ดังนั้นถ้าเครื่องประกาศิตฯ สังหาร Focalors สำเร็จ พลังมังกรโบราณธาตุน้ำก็จะหวนคืนสู่เจ้าของเดิม หรือก็คือ Neuvillete นั่นเอง
- สรุปแล้ว ความพยายามของ Focalors คือการสังหาร “เทพแห่งน้ำ” (ตัวเธอเอง) โดยนำ Furina มาแสดงละครบังตาไม่ให้สวรรค์เบื้องบนได้ทันรู้ตัว ทั้งหมดก็เพื่อให้ Neuvillete ได้พลังคืนมาเต็มที่ และใช้มันช่วยเหลือประชาชนให้รอดจากภัยพิบัติ
- Neuvillete จึงเป็นส่วนสำคัญในแผน Focalors ด้วย เธอทำให้เขาเข้ามาเป็นผู้พิพากษาสูงสุด คลุกคลีและเข้าถึงหัวจิตหัวใจของมนุษย์มากขึ้นตลอด 500 ปีที่ผ่านมา
- การประหารเสร็จสิ้น, Focalors จากไปอย่างไม่มีวันกลับ พร้อมกับคำสาปของ Furina ที่ถูกยกเลิก และคำอวยพรสุดท้ายจาก Focalors ที่ขอให้ Furina ใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข
- Neuvillete ใช้พลังที่ได้รับมา “ให้อภัย” ชาว Fontaine ทุกคน และทำให้ทุกคนกลายเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ไม่ละลายกับน้ำทะเลบรรพกาลอีกต่อไป
- ปัญหาสุดท้ายจึงเหลือแค่ต้องจัดการกับวาฬยักษ์ตัวนั้น ซึ่งด้วยความที่ Neuvillete มีพลังเพียงพอจะต่อกรกับมันแล้ว เขาจึงขอให้นักเดินทางไปร่วมต่อสู้ด้วยกัน
- นักเดินทางและ Neuvillete ปราบวาฬยักษ์ในทะเลบรรพกาลสำเร็จ ทันใดนั้นเองก็มีหญิงลึกลับปรากฏตัวขึ้นมา, ส่ง Childe ในสภาพร่อแร่กลับออกไปยังโลกเบื้องบน และเข้ามาพูดคุยกับนักเดินทาง
- เธอคือ “Skirk” อาจารย์ที่สอนการต่อสู้ให้ Childe ในวัยเด็ก เธอเล่าว่าวาฬตัวนั้นคือ ‘สัตว์เลี้ยง’ ที่เธอและ Childe เฝ้าจับตาดูมานานแล้ว
- Skirk เตือนนักเดินทางว่าจากการต่อสู้อันดุเดือดเมื่อสักครู่ ส่งผลให้ทะเลบรรพกาลรับไม่ไหว จนน้ำเริ่มท่วม Fontaine เป็นที่เรียบร้อย แต่นักเดินทางก็ไม่ได้ตกใจอะไร เพราะทำใจยอมรับได้แล้วว่ายังไงเรื่องนี้ก็ต้องเกิดขึ้น
- สุดท้ายแล้ว น้ำก็ท่วมมิดทั้งประเทศ Fontaine จนเหลือเพียง Furina นั่งร้องไห้อยู่บนบังลังก์จริง ๆ ตามคำพยากรณ์ เพียงแต่ว่าตอนนี้ชาวเมืองทุกคนกลายเป็นมนุษย์ที่แท้จริง และไม่ละลายหายไปกับน้ำแล้ว
- Navia เอาเรือออกมาช่วยผู้คนที่ลอยน้ำอยู่, Wriothesley นำเรือบินลำยักษ์มาใช้จริงเป็นครั้งแรก รวมถึงคนอื่น ๆ ต่างก็ร่วมมือช่วยเหลือกันให้ขึ้นไปรออยู่ที่สูง
- ไม่นาน ระดับน้ำก็ลดลงจนกลับเป็นปกติ เป็นอันว่าสิ้นสุดคำพยากรณ์ลงแต่เพียงเท่านี้ บาปของทุกคนได้รับการชำระแล้ว
- เวลาผ่านไป, Fontaine เข้าสู่ช่วงของการฟื้นตัวจากภัยพิบัติ นักเดินทางและ Paimon มีโอกาสได้แวะไปเยี่ยมเหล่ามิตรสหาย เพื่ออัปเดตความเป็นอยู่ในแต่ละมุมของ Fontaine (ร่วมกับ Charlotte ที่ไปทำข่าวให้ด้วย)
- ฝ่าย Navia กำลังยุ่ง ๆ กับการสร้างเมือง Poisson ขึ้นมาใหม่, Wriothesley บอกว่าที่ป้อมปราการยังคงเหมือนเดิม ต่างไปตรงที่นักวิจัยของพวกเขามีชื่อเสียงขึ้นเพราะสร้างเรือยักษ์ ส่วน 3 พี่น้อง Fatui ก็ช่วยเหลือผู้คนด้วยการแจกกระเป๋ามายากล ให้นำไปเก็บข้าวของที่ยังลอยน้ำกระจัดกระจาย
- ในระหว่างพูดคุยกับ 3 พี่น้อง, Arlecchino ก็ปรากฏตัวมา เธอขอบคุณนักเดินทางที่ช่วยเหลือ Fontaine ไว้ ถือเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายนักเดินทางร่วมมือกับ Fatui แต่ก็อย่าได้เข้าใจผิด เพราะนี่คือจุดยืน ณ ปัจจุบันของเธอ ซึ่งในอนาคตอาจจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนก็ได้
- ตอนนี้ Childe กลับไปรักษาตัวที่ Snezhnaya แล้วเพราะสู้กับวาฬมาอย่างหนักและต่อเนื่อง นักเดินทางจึงฝากวิชั่นธาตุน้ำของ Childe ให้ Arlecchino นำไปคืนเจ้าตัว
- Arlecchino เล่าว่าเธอทำตามหน้าที่ของ Fatui ด้วยการไปเจรจากับ Neuvillete และได้โนซิสเทพแห่งน้ำมาอยู่ในมือแล้ว เท่ากับว่าตอนนี้พวก Fatui ขาดแค่โนซิสเทพแห่งไฟเพียงอันเดียว ก็จะรวบรวมครบทั้ง 7 ชิ้น
- Neuvillete ยกโนซิสให้ Fatui เพราะเขาอยากขอโทษที่ทำให้ Childe ลำบาก, ขอบคุณที่ Childe ช่วยถ่วงเวลาวาฬยักษ์ไว้, ขอบคุณ Arlecchino ที่มีส่วนสำคัญในการช่วยเมือง และตอนนี้ตำแหน่ง “เทพแห่งน้ำ” ก็ไม่มีอีกต่อไปแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่ได้ต้องการพลังของโนซิส จึงยกให้ Fatui ไปเลยเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น
- นักเดินทางเข้ามาพูดคุยกับ Neuvillete และแลกกันเล่าสิ่งที่ตัวเองรู้ให้ฟัง (แผนของ Focalors และความทุกข์ของ Furina ตลอด 500 ปี)
- Neuvillete มองว่าที่ Childe โดนลากเข้ามาเกี่ยวในเรื่องนี้ อาจเป็นเพราะเขานั้น “มีความผิด” จริง ๆ เพราะในอดีต Childe คือคนที่ตกไปในเหวลึกและปลุกวาฬตัวนั้นให้ตื่นขึ้นมา ส่วนในอีกมุมหนึ่ง เขาก็อาจจะแค่ถูกใช้เป็นหมากในแผนการของ Focalors ก็ได้
- ปัจจุบัน Furina สละตำแหน่งเทพของ Fontaine, ส่งมอบงานทุกอย่างให้ Neuvillete และเก็บข้าวของออกไปใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ธรรมดา เพราะตัวเธอนั้นเหนื่อยมากพอแล้ว จึงอยากพักผ่อน
- ตอนนี้ Neuvillete ถือเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดใน Fontaine แล้วก็ว่าได้ แต่เพราะเครื่องประกาศิตฯ หยุดทำงานไปแล้ว มันจึงไม่ผลิตพลังงานใด ๆ ให้ชาวเมืองใช้อีก ตัว Neuvillete จึงขออาศัยอยู่ใน Fontaine ไปตราบนานเท่านาน เพื่อคอยแบ่งพลังมังกรมาให้ชาวเมืองใช้กันไปเรื่อย ๆ
- จุดหมายต่อไปของนักเดินทาง คือประเทศ “Natlan” ของเทพแห่งไฟ
- ที่นั่นคืออาณาจักรแห่งมังกร (ที่ไม่ใช่มังกรธาตุอย่าง Neuvillete) ซึ่งอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ ขณะเดียวกัน Natlan ก็มีไฟสงครามลุกโชนอยู่ตลอด โดยหนึ่งในผู้บริหารของ Fatui อย่าง “The Captain” ก็เข้าร่วมสงครามนั้นด้วยแล้ว
- Neuvillete จึงแนะนำให้นักเดินทางพักอยู่ที่ Fontaine ก่อน เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมจริง ๆ ก่อนไป Natlan
- Neuvillete เล่าว่าเขามีโอกาสได้คุยกับ Skirk ต่ออีกเล็กน้อยหลังสู้วาฬเสร็จ ทำให้รู้ข้อมูลที่น่าสนใจมาด้วย
- Skirk เรียกโนซิสว่าเป็น “ซากกระดูกของผู้มาเยือนคนที่สาม” ซึ่ง Skirk ก็ไม่รู้แน่ชัดว่าผู้มาเยือนคนนั้นคือใคร ถ้ามีเวลาแล้วเธอจะลองถามอาจารย์ของเธอให้
- Skirk บอกว่าโนซิสคือ “สิ่งอัปมงคล” และแนะนำให้ Neuvillete ทิ้งมันไปเร็ว ๆ จะได้ไม่เกิดหายนะขึ้น จึงเป็นอีกเหตุผลที่ Neuvillete ยกมันให้ Fatui
- ถ้า Childe หายดีเมื่อไร นักเดินทางจะลองฝากให้เขาไปทวงข้อมูลเรื่องผู้มาเยือนคนที่ 3 กับทาง Skirk อีกที
ปริศนาที่น่าสนใจ
- โนซิสนั้นมีความสามารถใดซ่อนอยู่อีก ทำไมมันจึงเป็น “สิ่งอัปมงคล” ในสายตาของ Skirk
- “ผู้มาเยือนคนที่ 3” (ที่ดูเหมือนจะตายไปแล้ว) คือใคร เกี่ยวข้องกับการมีอยู่ของโนซิสอย่างไร ตัวนักเดินทางคือผู้มาเยือน Teyvat ลำดับที่ 4 จึงน่าสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับโนซิสด้วยหรือไม่ จากการที่สามารถใช้พลังธาตุได้หลากหลายโดยไม่ต้องมีวิชั่น
- Celestia จะเริ่มเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่ หลังตำแหน่ง “เทพแห่งน้ำ” ไม่มีอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป
- หลังจบเหตุการณ์นี้ไปสักพัก Furina ก็ได้วิชั่นธาตุน้ำมาด้วย เหตุใดเธอจึงได้รับมัน ทั้งที่ Celestia น่าจะไม่พอใจกับสิ่งที่ Focalors & Furina ทำ, เป็นไปได้แค่ไหนว่า Neuvillette คือคนที่แอบมอบวิชั่นนี้ให้กับเธอเอง
- ตัวตนของแม่มด N เป็นอย่างไร เธอจะเข้ามาช่วยนักเดินทางในอนาคตอีกหรือไม่
- Skirk มีประวัติความเป็นมาอย่างไร และมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ใน Teyvat
- เหตุใด Natlan จึงเกิดสงคราม และเทพแห่งไฟมีบทบาทอย่างไรกับสถานการณ์นั้น
การเดินทางนี้ยังไม่จบ
เรื่องราวของ Genshin Impact และประเทศถัดไปอย่าง Natlan จะเป็นอย่างไรต่อ จะมีปริศนาอะไรที่ถูกเฉลยอีกบ้างนั้น เราก็จะมาสรุปในนี้เพิ่มเติมอีกเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน