ปกติแล้วถ้าเราพูดถึงเกมคลาสสิกที่เป็นตำนานของค่าย Capcom หลายคนมักจะพูดถึงเกมอย่าง Rockman (Megaman), Street Fighter หรือ Resident Evil กันเสียเป็นส่วนมาก แต่เกมหนึ่งที่เชื่อว่าติดตรึงอยู่ความทรงจำอันแสนประทับใจ (และเลวร้าย) มากที่สุดเกมหนึ่งก็คงหนีไม่พ้นเกมแอคชั่นมหาโหดอย่าง Ghosts ‘n Goblins กันอย่างแน่นอน
เกริ่นกันก่อนสำหรับเกมเมอร์ชาวไทยที่น่าจะงง ๆ กับชื่อนี้ ว่านี่คือเกมอะไร (วะ) ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อน
แต่ถ้าหากผู้เขียนเรียกเกมนี้ว่า Makaimura เชื่อว่าหลายคนน่าจะร้องอ๋อกันแน่นอน
เพราะเกมเวอร์ชั่นที่เข้ามาในประเทศไทยยุคนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นเกมภาษาญี่ปุ่นเสียเป็นส่วนมาก แต่โดยเนื้อแท้แล้วมันก็คือเกมเดียวกันนี่แหละ ดังนั้นเพื่อให้ไม่สับสน ในบทความนี้จะเรียกเกมนี้ว่า Ghosts ‘N Goblins นะครับ
ย้อนเวลากลับไปในช่วงปี 1985 สมัยที่เกมเมอร์ในยุคนี้หลายคนน่าจะยังไม่ลืมตาขึ้นมาดูโลก Capcom ถือเป็นหนึ่งในค่ายเกมที่พัฒนาเกมในทุก ๆ แพลตฟอร์มออกวางจำหน่ายทั้งในระบบตามบ้านหรือตู้เกมอาร์เคด และเกมที่ได้รับความนิยมมากก็คือเกมแอคชั่นแบบเดินด้านข้างที่ผู้เล่นมักเรียกกันติดปากว่า Run and Gun ที่เราจะต้องฝ่าฟันอุปสรรคด้วยการยิงปืนปราบศัตรูไปตามทางเรื่อย ๆ และเจอกับบอสในท้ายฉาก ปราบได้หมดก็จะพบกับฉากจบที่สวยงาม
ซึ่งเกมแนว Run and Gun ที่ได้รับความนิยมและเรารู้จักกันดีก็คือ Contra หรือ Rockman ที่ต่างคนต่างก็มีเอกลักษณ์น่าจดจำเหมือนกัน แต่ Capcom ก็ไม่ได้มีแค่ Rockman เท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายเกมที่ถูกพัฒนาออกมา และ Ghost N’ Goblins ก็เป็นหนึ่งในเกมเหล่านั้นด้วย
เนื้อเรื่องของ Ghosts ‘N Goblins นั้นไม่มีอะไรซับซ้อน ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Arthur อัศวินผู้พิทักษ์หนวดเฟิ้มที่คนรักถูกเหล่าปีศาจลักพาตัวไป และเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องพาตัวเธอกลับมาจากเหล่ากองทัพปีศาจให้ได้ เท่านี้เราก็มีเหตุผลให้ออกไปผจญภัยกันแล้ว ง่าย ๆ แบบนี้แหละ
แน่นอนว่าแม้เนื้อเรื่องจะไม่ค่อยมีอะไรมาก แต่ระบบการเล่นของเกมนั้นก็เรียบง่ายและสนุกไม่เลว
เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเกมคือระบบพลังชีวิตของเกม ที่ถ้าหากถูกโจมตี เกราะก็จะแตกออกจนเหลือแต่กางเกงในตัวเดียว และถ้าโดนตีอีกครั้งก่อนที่จะได้เกราะมาสวมก็จะตายทันที และเพราะการที่ตัวเกมมัน 2 Hit Dead แบบนี้ทำให้มันยากเอาเรื่องอยู่ ยิ่งโดยเฉพาะในฉากหลัง ๆ ที่มีศัตรูตัวโหดอย่าง Red Armor หรือ Firebrand คอยบินก่อกวนตลอดทางก็เป็นอะไรที่ปวดประสาทเอาเรื่องอยู่
เรื่องปวดประสาทต่อมาคือเรื่องของอาวุธ ในเกมนี้มีอาวุธให้ผู้เล่นใช้อยู่มากมาย แต่ในภาคแรกนั้นที่ดีที่สุดคือมีดบินที่โจมตีได้เร็วกว่าหอกปกติหลายเท่า แต่ถ้าหากพลาดท่าไปเก็บลูกไฟมา อันนี้ก็นรกเอาเรื่องอยู่ เพราะเราจะโจมตีใครแทบไม่โดนเพราะวิถีโค้งของมัน แม้จะโจมตีได้แรงก็ตาม
ส่วนการออกแบบฉากนี่ก็เรียกได้ว่าโหดหินแบบสุด ๆ จริงอยู่ที่รูปแบบการโจมตีและปรากฏตัวของศัตรูไม่นรกเท่า Ninja Gaiden แต่ตัวเกมก็พร้อมส่งเหล่าศัตรูสุดโหดมาทรมานเราอย่างต่อเนื่อง รวมกับการออกแบบฉากที่กวนโอ๊ยแบบสุด ๆ ยิ่งในภาค Super Ghosts ‘N Goblins นี่ยิ่งนรกกว่าเดิมหลายเท่า เพราะรูปแบบการโจมตีของทั้งบอสและศัตรูจะมีหลากหลายแบบมากขึ้นด้วย และแค่ฉากแรกก็น่าจะทำให้หลายคนร้องไห้เพราะความยากระดับมหากาฬของมัน แถมฉากยังมีการเปลี่ยนพื้นที่แบบกะทันหันหลายรอบมาก เรียกว่าใครสติไม่ดีนี่ได้โยนจอยกันเป็นว่าเล่นแน่นอน
และสุดท้ายที่แสบที่สุดคือฉากจบที่แท้จริงของเกมที่สร้างความชอกช้ำให้คนเล่นในยุคนั้นมาจนทุกวันนี้
เพราะหลังจากที่ผู้เล่นปราบบอสใหญ่ไปได้แล้ว เจ้าหญิงจะปรากฏตัวมาบอกกับผู้เล่นด้วยข้อความสุดชอกช้ำ ว่าห้องที่เราพบนั้นเป็นห้องลวงตา และเจ้าหญิงไม่อยู่ในห้องนี้ และเกมจะส่งผู้เล่นกลับไปยังฉากแรกทันที เท่ากับว่าเราต้องเล่นเกมนี้สองรอบเพื่อฉากจบที่แท้จริง ใครที่เล่นรอบแรกในยุคนั้นนี่นอกจากจะต้องน้ำตาตกกับความยากระดับด่าบุพการีแล้ว ยังต้องมาชอกช้ำใจรอบสองจากการต้องเล่นสองรอบเพื่อจบเกมจริง ๆ อีกด้วย
และแน่นอนว่าสิ่งนี้กลายเป็นมุกประจำซีรีส์ไปเลยที่ผู้เล่นจะต้องจบเกมนี้อย่างน้อยสองรอบเพื่อชมฉากจบที่แท้จริง
หรือไม่ก็ต้องหาไอเท็มพิเศษเพื่อปลดล็อกเงื่อนไขในการจบเกมอีกแบบ ซึ่งมุกนี้ก็ถูกนำไปใช้ในเกมคลาสสิกหลาย ๆ เกมในเวลาต่อมา อย่างเช่น Castlevania เป็นต้น และนอกจากนั้นมันก็ยังได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในเกมที่ยากที่สุดเท่าที่เคยวางจำหน่ายมาทั้งในระบบ Famicom และ Super Famicom เลยทีเดียว
ปัจจุบันนี้ Capcom เองก็ไม่ได้สานต่อตำนานเกมมหาโหดเกมนี้มานานแล้ว
อาจจะเพราะยอดขายของเกมที่ไม่ได้มากมายเท่าเกมอื่น ๆ ในเครือ(ยอดขายรวมทั้งซีรีส์อยู่ที่เพียง 4.4 ล้านชุดเท่านั้น) และภาคสุดท้ายที่ออกมาก็คือ Ghosts ‘N Goblins: Gold Knght II บน iOS ที่เป็นเกมมือถือ แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมมากเท่าใดนัก แต่ตัวละครในเกมอย่าง Arthur และ Firebrand ก็ยังกลับมาแจมในซีรีส์รวมดาวของ Capcom อยู่เรื่อย ๆ จนถึงทุกวันนี้
แม้จะจางหายไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่ Ghosts ‘N Goblins ทิ้งเอาไว้ก็เป็นรากฐานให้กับการพัฒนาเกมแนวอื่น ๆ ของ Capcom ในเวลาต่อมา และยังเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของ Capcom ในยุครุ่งเรืองอีกด้วย และยังเป็นเกมที่ผู้เล่นสาย Speedrun นำกลับมาท้าทายฝีมือในการเล่นจบให้เร็วที่สุดอยู่อย่างมากมายจนถึงทุกวันนี้อีกด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งตำนานที่ผู้เล่นยุคเก่าหลายคนจดจำกันได้ไม่ลืมจริง ๆ ครับ