อย่างที่เกมเมอร์หลายคนทราบกันดี นิยายแฟนตาซี Harry Potter นอกจากจะถูกดัดแปลงกลายเป็นภาพยนตร์ Blockbuster แล้ว ยังได้ดัดแปลงกลายเป็นเกมจำนวนหลายภาค ที่มีทั้งเกม Tie-In จากหนัง และเกมที่อ้างอิงจากนิยายต้นฉบับที่เขียนโดย J. K. Rowling
ถึงแม้เกม Harry Potter ส่วนใหญ่ ไม่ได้มีกระแสตอบรับที่ดีเลิศมากนัก (ยกเว้น Hogwarts Legacy ที่ตอนนี้กำลังมีเสียงวิจารณ์ไปในทางที่ดีมาก) แต่แน่นอน มันไม่ใช่เกมแย่ เป็นเกมที่บางคนเล่นแล้วรู้สึกสนุกสนาน บางคนอาจเล่นแล้วรู้สึกเบื่อ แต่คำพูดดังกล่าวอาจจะใช้ไม่ได้สำหรับเกม Harry Potter and the Deathly Hallows ที่มีการเปลี่ยนแนวทางจากทุกภาค จนแฟน ๆ ที่เป็นมักเกิ้ลไม่ปลื้มกับเกมนี้
รู้จักเกม Harry Potter ฉบับเกมยิงแหลกเหมือน Gears of War
ถ้าหากติดตามนิยาย และภาพยนตร์ Harry Potter มาโดยตลอด คุณจะเข้าใจเป็นอย่างดีว่า Harry Potter and the Deathly Hallows หรือแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ซึ่งเป็นบทสรุปของจักรวาล Harry Potter ทั้งหมด มีการเล่าเรื่อง และโทนที่แตกต่างจากตอนที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด โดยเนื้อหาเน้นฉากแอ็กชัน มีการต่อสู้ระหว่างเวทมนตร์มากขึ้น และบรรยากาศของฉากเต็มไปด้วยโทนดาร์กมืดหม่น ซึ่งขัดจากตอนก่อนหน้านี้ที่ภาพยังมีความสดใสอยู่บ้าง
ด้วยแนวทางที่แตกต่างจากตอนก่อนหน้านี้ ทาง EA Bright Light ทีมพัฒนาเกมที่สร้างเกม Harry Potter มาหลายภาค เชื่อว่านี่โอกาสทองที่จะได้สร้างเกมแนวทางใหม่ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทีมงานจึงตัดสินใจพัฒนาเกม Harry Potter and the Deathly Hallows ทั้ง Part I กับ Part II เป็นเกมแอ็กชันมันแหลก แทนเกมภาคก่อนหน้านี้ที่ส่วนใหญ่เป็นเกมผจญภัย Platformer
“การผจญภัยของ Harry Potter ครั้งสุดท้าย ได้มอบโอกาสให้พวกเราสร้างเกมที่มีเนื้อหาดาร์ก และมีความเป็นแอ็กชันมากกว่าทุกภาคที่ผ่านมา เราเชื่อว่าเราสามารถสร้างเกม Harry Potter ในเกมคอนโซลยุค HD ที่ทำให้แฟน ๆ ชื่นชอบ และสนุกสนานกับการเล่นได้
เราสร้างเทคโนโลยีใหม่สำหรับเกมนี้โดยเฉพาะ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงพลังเวทมนตร์อย่างแท้จริง เพราะเกมนี้ ผู้เล่นต้องใช้ทักษะทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอดให้ได้” – Jonathan Bunney ตำแหน่ง Lead Production ของ EA Bright Light
อ้างอิงจาก Matt Birch ตำแหน่ง Creative Director จาก EA Bright Light เผยว่าเกม Harry Potter and the Deathly Hallows ทั้ง Part I กับ Part II จะพัฒนาโดยใช้เกมเอนจินใหม่ (ไม่มีการระบุว่าใช้เอนจินอะไรในการสร้าง) และใช้เทคโนโลยี Facial Action Coding System (FACS) ที่ทำให้ใบหน้าตัวละครทั้งฉากคัตซีน กับฉากต่อสู้ มีการแสดงอารมณ์สีหน้าที่สมจริงกว่าทุกภาคที่ผ่านมา
ส่วนเกมการเล่นโดยรวม แค่ชม Trailer ก็รู้ทันทีว่าเกม Harry Potter and the Deathly Hallows Part I กับ Part II เป็นแนว Third Person Cover Based Shooter หรือเกมยิงมุมมองบุคคลที่สาม ที่ผู้เล่นสามารถหลบหลังกำแพง เพื่อบังการโจมตีด้วยพลังเวทมนตร์ได้ แม้ทีมงานไม่เคยเผยสาเหตุว่าทำไมตัดสินใจใช้ดีไซน์เกมแบบนี้ แต่เนื่องจากตอนนั้นในปี 2010 เป็นยุคทองของเกมแนว TPS โดยมีอิทธิพลจากเกม Gears of War กับ Grand Theft Auto IV จึงมีความเป็นไปได้ว่าทีมงานต้องการสร้างเกม TPS เพื่อเจาะตลาดเข้าถึงกลุ่มเกมเมอร์ทุกประเภท
ถึงแม้การเปลี่ยนแนวทางเกม Harry Potter กลายเป็นเกมแอ็กชัน เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลสำหรับภาค The Deathly Hallows และหลายคนเชื่อว่าจะช่วยมอบประสบการณ์การเล่นเกมที่แปลกใหม่ หลังจากเกม Harry Potter หลายภาคที่ผ่านมามีแต่เกมผจญภัย Platformer มาโดยตลอด แต่ดูเหมือนแนวทางดังกล่าว ดูไม่ค่อยเวิร์กสำหรับเกมตระกูล Harry Potter เท่าไหร่นัก
เกม Harry Potter and the Deathly Hallows Part I ออกวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน 2010 และ Part II วางจำหน่ายในเดือนกรกฎาคม 2011 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ภาพยนตร์ Part I กับ Part II ได้ออกฉายผ่านโรงหนัง โดยทั้งสองเกมมีกระแสตอบรับย่ำแย่ทั้งจากผู้เล่น แฟน ๆ และสื่อเกม จนปัจจุบัน สองเกมดังกล่าวขึ้นแท่นเป็นเกม Harry Potter ที่มีคะแนนรีวิวเฉลี่ยต่ำที่สุด
ปัญหาของเกม Harry Potter and the Deathly Hallows มีหลายข้อที่ต้องกล่าวถึง ซึ่งแน่นอนว่าปัญหาหลักของเกมนี้ มีแนวทางเป็นเกมแอ็กชันมากเกินไป จนดูหลุดจากแฟรนไชส์ Harry Potter ทั้งเวอร์ชันนิยายกับภาพยนตร์ไปหลายขุม
นอกจากนี้ ความรู้สึกในการควบคุมตัวละคร และการหลบเข้าที่กำบังขาดความลื่นไหล รวมถึงเกมการเล่น ระบบการยิงนั้น ขาดความล้ำลึก ขาดความท้าทาย ตลอดทั้งเกมจะเป็นการเดินหลบยิง เดินหลบยิงไปเรื่อย ๆ จึงเป็นเกมที่เล่นแล้วไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นเต้น และน่าเบื่อหน่าย
ซ้ำร้าย เนื่องจากเกมอ้างอิงเนื้อหามาจากเวอร์ชันภาพยนตร์เป็นหลัก ส่งผลทำให้ตัวเกมเนื้อหาที่สั้นมาก โหมดเนื้อเรื่องสามารถเล่นจบได้ภายในวันเดียว และภารกิจเสริมไม่มีความน่าสนใจ ส่งผลทำให้เกมนี้มีคอนเทนต์น้อยมาก และไม่น่าดึงดูดให้อยากกลับมาเล่นอีกครั้ง
ถึงแม้เกม Part II จะมีการปรับปรุงตรงส่วนของเกมเพลย์ให้ดีขึ้น มีการควบคุมตัวละครที่ลื่นไหลมากขึ้น แต่โดยรวมแล้ว มันก็ยังเป็นเกมที่มีกระแสตอบรับแย่ เพราะคอนเทนต์ที่น้อย เนื้อเรื่องสั้น และแนวทางสร้างเป็นเกมแนว TPS ที่เน้นแอ็กชันมากเกินไปจนแฟน ๆ ไม่ถูกใจ
แต่อย่างไรก็ตาม ในเกมที่เต็มไปด้วยข้อเสีย ก็ยังมีด้านดี ๆ ให้ชื่นชมอยู่บ้าง โดยข้อดีเกมดังกล่าวก็ไม่มีทางหนีพ้นในเรื่องของการนำเสนอบรรยากาศที่มีโทนดาร์กตามภาพยนตร์ และภาพกราฟิกเองก็ถือว่าดูดีตามมาตรฐานของเกมยุคนั้น แต่ก็อย่างที่หลายคนเคยบอกไว้ “แค่ภาพกราฟิกสวยอย่างเดียว ไม่ได้ช่วยให้กลายเป็นเกมดีได้”
Harry Potter and the Deathly Hallows Part I และ Part II จัดว่าเป็นหนึ่งในตัวอย่างเกม Tie-In จากหนังที่ประสบความล้มเหลว เพราะมีแนวทางการสร้างเกมที่เดินผิดทิศผิดทาง ซึ่งจะบอกว่าทีมงานไม่เข้าใจต้นฉบับหรือภาพยนตร์ Harry Potter ก็ไม่น่าถูกต้องมากนัก เพราะ EA Bright Light มีประสบการณ์สร้างเกมตระกูลดังกล่าวมาแล้วหลายภาค แม้เกม Harry Potter ของ Bright Light ส่วนใหญ่จะมีกระแสตอบรับเป็นเกมธรรมดา ๆ ก็จริง แต่ก็ถือว่ายังห่างไกลที่จะเรียกว่าเป็น “เกมแย่” ได้อย่างเต็มปากยกเว้นแต่สองเกมนี้
