นี่เป็นช่วงเวลาที่วงการวิดีโอเกมกำลังอยู่ในช่วงก้าวข้ามจาก generation เก่าไปยัง generation ใหม่ จาก PlayStation 4 และ Xbox One ไปยัง PlayStation 5 และ Xbox Series X|S สิ่งที่เห็นกันได้ชัดเจนมากที่สุดก็เป็นเรื่องของความสามารถในการ ‘สำแดง’ ผลลัพธ์ของเกมออกมาได้อย่างดีกว่าเดิม และด้วยเครื่องคอนโซล gen ใหม่อันทรงพลัง อะไรที่จะทำให้การแสดงผลของเกมฟุตบอลเรือธงภาคใหม่ของ EA อย่าง FIFA 22 บนเครื่องคอนโซลรุ่นใหม่ เข้าใกล้สู่ ‘ความสมจริง’ ไปอีกระดับ?
คำตอบคือเทคโนโลยี HyperMotion
HyperMotion ใน FIFA22 คืออะไร ?
HyperMotion คือชื่อเรียกของเทคโนโลยีโดยรวมของระบบอนิเมชั่นการเคลื่อนไหวของนักเตะใน FIFA 22 ที่ EA Sports ได้มัดรวมเอาเทคโนโลยีหลัก ๆ สองอย่างมาไว้ด้วยกัน ได้แก่ Advanced 11v11 Match Capture ที่เป็นการแคปเจอร์ท่วงท่าการเคลื่อนไหวและโมเมนตั้มการเล่นของนักเตะ 22 คนที่ลงสนามแข่งกันจริง ๆ โดยใช้ชุด motion capture แบบใหม่ที่เรียกว่า Xsens มาผสมผสานกับพลังของ Machine Learning ที่ประมวลผลจากการเคลื่อนไหวกว่า 9 ล้านเฟรมที่ได้มาจากนักเตะจริง ๆ และเมื่อใช้ความสามารถทั้งสองอย่างมารวมกันแล้ว FIFA 22 บนคอนโซล next-gen จะแสดงผลเกมฟุตบอลได้สมจริงมากขึ้นด้วยฟีเจอร์เหล่านี้
Full Team Authentic Motion
ด้วยการจับภาพจากแมทช์การเล่น 11v11 โดยนักเตะมืออาชีพจริง ๆ ทำให้เกิดอนิเมชั่นการเคลื่อนไหวใหม่ ๆ เพิ่มเข้าไปในเกมมากกว่า 4,000 อนิเมชั่น สามเท่าจาก FIFA 21 โดยเราจะได้สัมผัสการการจับบอล การเข้าประกบ การวิ่งสปริ๊นท์แบบใหม่ ๆ ซึ่ง EA บอกว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงด้านอนิเมชั่นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่มีเกม FIFA มาเลยทีเดียว
ML – Flow
เมื่อได้อนิเมชั่นมาใหม่หลายแบบแล้ว การใช้พลัง Machine Learning ก็จะช่วยให้อนิเมชั่นเหล่านั้นลื่นไหลและเข้าใกล้ชีวิตจริงไปอีกระดับ ยกตัวอย่างเช่นผู้เล่นแต่ละคนจะมีการปรับระยะก้าวในการวิ่ง ตามความเหนื่อยล้าในเกม หรือพื้นที่ว่างรอบ ๆ ตัว ถ้ามีฝ่ายตรงข้ามเข้ามาประชิด การวิ่งก็จะใช้ก้าวที่สั้นลงเพื่อครองบอลให้อยู่กับตัว แต่ถ้ามีพื้นที่โล่ง ๆ ที่สามารถโต้กลับได้ด้วยความเร็วสูง นักเตะก็จะเลือกสับด้วยก้าวยาว ๆ เพื่อเร่งสปีดให้สูงที่สุด ซึ่งนั่นหมายถึงโอกาสในการทำบอลลั่นที่สมจริงมากยิ่งขึ้นด้วย
Tactical A.I.
ด้วยความสามารถของ Machine Learning ทำให้ FIFA 22 เพิ่มความฉลาดของ AI ทั้งฝ่ายเราและฝ่ายตรงข้ามได้มากกว่าเดิมซึ่งโดยปกติแล้วเกมในแต่ละนัด ตัว AI จะมีความคิดเกิดขึ้นเพียง 2-3 อย่างเท่านั้น แต่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ ทำให้ AI มีความสามารถในการอ่านเกมได้มากขึ้นถึง 6 เท่า ทำให้ AI วิ่งทำทางได้ดีขึ้น วิ่งฉีกแผงหลังได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงการปรับตำแหน่งยืนในระหว่างป้องกันหรือทำเกมบุกได้อย่างสมจริงมากขึ้นไปอีกระดับ
Kinetic Air Battles
ใครที่เล่น FIFA มาหลายๆ ภาคก็อาจจะหงุดหงิด (จนลืมไปเลยว่าเคยหงุดหงิด) กับจังหวะการดวลโหม่งของสองผู้เล่น หลายครั้งที่เราคาดเดาไม่ได้ว่านักเตะคนไหนจะได้โหม่งลูกกลางอากาศ นักเตะที่มีรูปร่างเล็กอย่างลอเรนโซ่ อินซิเย่ บางทีก็โหม่งชนะกองหลังอย่างเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ เฉยเลยก็มี มาคราวนี้ด้วยเทคโนโลยีแบบ next-gen ก็ทำให้ FIFA 22 ได้พัฒนาฟีสิกส์ของการดวลโหม่งกลางอากาศได้สมจริงมากขึ้น เราจะได้เห็นนักเตะฉุดกระชาก ดึงรั้ง หรือกระโดดลอยตัวกดทับอีกฝั่งเพื่อแย่งโหม่ง และผลลัพธ์คือจังหวะการฟาวล์ที่ดูจะสมจริงมากกว่าเดิม ไม่มีอีกแล้วจังหวะโดนกระโดดทับตัวจนหลังหักแต่กรรมการยังนิ่งเฉย
Composed Ball Control
พัฒนาระบบการครองบอลไปอีกระดับ เมื่อมีอนิเมชั่นที่เพิ่มมากขึ้น การครองบอลก็จะดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจังหวะการดึงบอลลงด้วยอก เข่า เท้าด้านใน หรือการบังบอลที่แข็งแกร่งมากขึ้นถ้าเป็นผู้เล่นที่มีค่า strength สูง แฟนฟีฟ่าหลายคนที่ชื่นชอบโรเมโล ลูกากู อาจถูกใจสิ่งนี้ เพราะที่ผ่านมาการบังบอลแทบไม่มีประโยชน์เลยแม้คุณจะมีค่าพลังความแข็งแกร่งที่ 99 ก็ตาม
Player Humanization
ในระหว่างเกมคุณจะเห็นความเป็น ‘มนุษย์’ มากขึ้นกว่าเดิม ผู้เล่นที่มี mentality สูงๆ จะมีการชี้นิ้วสั่งการ มีการพูดคุยในตอนเตะฟรีคิก หรืออื่น ๆ ที่ทำให้เกมฟุตบอลมีชีวิตชีวาไปอีกระดับ แฟนแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจะได้เห็นบรูโน่ แฟร์นันด์ส ชี้นิ้วตำหนิอันโตนี่ มาร์กซิยัล ที่ไม่ยอมวิ่งทะลุช่องจนพลาดโอกาสทำประตู ก็เป็นได้
ฟีเจอร์ทั้ง 6 ข้อที่เรียกรวม ๆ กันว่า HyperMotion นี้ คือสิ่งที่จะปรับปรุงและพัฒนาการแสดงผลของเกมการเล่นใน FIFA 22 ให้เข้าใกล้ความสมจริงและความเป็นนักฟุตบอลไปอีกระดับ ด้วยขุมพลังของคอนโซล next-gen ซึ่งแฟน ๆ ฟีฟ่าต้องมารอสัมผัสด้วยมือและตาตัวเองว่าการเทคโนโลยีเหล่านี้จะยกระดับพาให้เกมเพลย์สมจริงมากขึ้น และชวนหงุดหงิดน้อยลงหรือไม่ พิสูจน์กันได้ใน FIFA 22 บน PlayStation 5 และ Xbox Series X|S