สำหรับทีมผู้พัฒนา Bandai Namco Games เกมเมอร์หลายคนอาจนึกถึงเกมต่อสู้อย่าง TEKKEN, Soul Calibur หรือซีรีส์ Ace Combat แต่รู้หาไม่ว่ามีซีรีส์เกมหนึ่งที่ทางทีมงานสามารถโกยกำไรอย่างมหาศาล กับสร้างอิทธิพลต่อวงการสื่อบันเทิงมิกซ์มีเดีย ซึ่งนั่นคือซีรีส์ The Idolm@ster จากเกมตู้ที่วางกลางร้านเกมเซนเตอร์ มาสู่เกมไอดอลบุกเบิกในญี่ปุ่นจนถึงวันนี้
และล่าสุดนี้ The Idolm@ster กำลังเป็นที่น่าสนใจสำหรับเหล่าเกมเมอร์ หลังการเปิดตัวภาคใหม่อย่าง The Idolm@ster: Starlit Season เมื่อ 20 มกราคม 2020 พร้อมประกาศลงระบบ PS4, PC ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของซีรีส์ที่ประกาศลงแพลตฟอร์ม Steam อย่างเป็นทางการ สำหรับใครที่สงสัยว่า The idolm@ster คืออะไร บทความนี้จะเล่าสู่กันฟังครับ
เริ่มต้นเป็นเพียงแค่เกมตู้
The Idolm@ster เป็นเกมแนว “Raising Simulator” (เกมแนวที่เห็นการเติบโต) เดิมทีเป็นเกมอาร์เคดรุ่น Namco System 246 arcade system board ที่พัฒนาโดยทีมงาน Metro ซึ่งเปิดบริการครั้งแรกช่วงปี 2005 โดยเกมใช้ระบบบันทึกข้อมูลเป็นบัตรแม่เหล็ก และใช้ระบบอินเตอร์เน็ตเรียกว่า “ALL.Net” ในการบันทึก idol ranking สำหรับเกมเมอร์ที่จริงจังกับการปั่นไอดอลที่ตนชื่นชอบ แล้วสะสมแฟนที่ติดตามไอดอลคนนั้นมากที่สุด
เกมดังกล่าวได้รับกระแสวิจารณ์ทางที่ดีและประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งด้านระบบเกมเพลย์เข้าใจง่ายกับมีมินิเกมให้เลือกเล่นหลากหลาย ซึ่งทำให้เกมเมอร์ติดพันได้ง่าย แต่ทว่าเนื่องจากเป็นเกมอาร์เคตที่มีระยะเวลาเล่นที่จำกัด ทางทีมงานจึงตัดสินใจพัฒนาเกมพอร์ตเกมลงเกมคอนโซลเพื่อขยายฐานแฟนเกมให้กว้างยิ่งขึ้น
จนถึงปี 2007 – The Idolm@ster เวอร์ชันเกมคอนโซลได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นเกม Exclusive สำหรับเครื่อง Xbox 360 แต่อย่างไรก็ตาม กระแสตอบรับของเกมดังกล่าวจัดว่า “ไม่ค่อยสวย” ซะเท่าไหร่นัก นิตยสาร Famitsu ให้คะแนนเกม The Idolm@ster เพียง 26/40 โดยกล่าวว่าแม้เกมจะเข้าใจง่าย ชวนติดพันเพราะระดับความยากที่หลากหลายแต่นั่นก็อาจทำให้จากความสนุกกลายเป็นความซ้ำซากสำหรับเกมเมอร์บางคนที่ไม่ได้ผูกพันกับไอดอลเป็นพิเศษ รวมถึงคอนเทนต์น้อยหากเทียบกับเวอร์ชันอาร์เคตอีกด้วย
นอกจากนี้ เกม The Idolm@ster สำหรับ Xbox 360 สามารถขายได้ 25,000 ชุดในสัปดาห์แรก ขึ้นแท่นเป็นเกมขายที่ดีที่สุดอันดับ 15 ประจำสัปดาห์ แม้ยอดขายอาจไม่เป็นที่พอใจเท่าไหร่ แต่ต้องขอบคุณเกมเวอร์ชันอาร์เคดที่ยังคงเปิดบริการ ทำให้ซีรีส์ The idolm@ster ยังคงดำเนินการต่อไปได้ จนกำเนิดภาคต่อในชื่อว่า Live For You! ในปี 2008 ซึ่งตัวเกมมีการปรับปรุงจากภาคก่อนด้วยการเสริมมินิเกมดนตรีระหว่างแสดงบนเวทีและภาพกราฟิกมีความละเอียดยิ่งขึ้น โดยตัวเกมสามารถขายได้ 44,000 ชุดในสัปดาห์แรก ขึ้นแท่นเป็นเกมขายที่ดีที่สุดอันดับ 5 ประจำสัปดาห์ ก็ต้องบอกเลยว่าไม่ธรรมดามาก ๆ สำหรับเกม Exclusive สำหรับ Xbox ที่วางจำหน่ายในญี่ปุ่นเท่านั้น
ต่อมาปี 2009 ทางทีมงาน Namco ได้ประกาศว่าเกม The Idolm@ster จะเข้าสู่ช่วง “2nd Vision” หรือเกมเจเนอเรชันต่อไป ซึ่งมีนโยบายต้องการขยายชื่อซีรีส์ให้กว้างยิ่งขึ้น โดยเกมแรกที่พัฒนาภายใต้โปรเจกต์ 2nd Vision คือภาค Dearly Stars สำหรับเครื่อง Nintendo DS แต่เกมที่สร้างจุดเปลี่ยนให้ซีรีส์นี้มากที่สุดคือ The Idolm@ster 2
จุดเริ่มต้นของยุค 2nd Vision
The Idolm@ster 2 คือเกมที่เปรียบเสมือนเป็นการเริ่มต้นยุคสมัยใหม่ของซีรีส์ ทั้งมีเปลี่ยนแปลงการออกแบบตัวละครใหม่เป็นบางคน, ปรับปรุงฟีเจอร์ให้ตัวเกมมีความเป็นต้นฉบับเหมือนเกมตู้ และมีภาพกราฟิกสวยงามตามทันสมัย แต่สิ่งที่ทำให้ซีรีส์เกมนี้บูมยิ่งกว่าเดิม เพราะ The Idolm@ster 2 ได้พอร์ตลงเครื่อง PlayStation 3 อย่างเป็นทางการ หลังจากเกมเวอร์ชัน Xbox 360 วางจำหน่ายผ่านไป 8 เดือน ทำให้ชาว PlayStation สามารถเข้าถึงเกมดังกล่าว รวมถึงสามารถทำยอดขายเกมถึง 65,512 ชุดในหนึ่งสัปดาห์ พร้อมขึ้นแท่นติดอันดับสามเกมขายดีที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ขณะที่เกมเวอร์ชัน Xbox 360 ทำยอดขายเพียง 34,621 ชุดในสัปดาห์แรกเท่านั้น
เนื่องจากเกม The Idolm@ster 2 เวอร์ชัน PlayStation 3 ขายดีกว่า Xbox 360 เป็นสองเท่า ทางทีมงาน Bandai Namco Games ตัดสินใจวางจำหน่ายเป็นเกม Exclusive สำหรับ PlayStation แทน แล้วพัฒนาเกมภาคใหม่อย่างต่อเนื่องจนมีภาค Shiny Festa สำหรับ PSP ในปี 2013 และ One for All สำหรับ PS3 ในปี 2014
เกม The idolm@ster ยังคงมีคอมมูนิตี้เกมแข็งแกร่งและรุ่งเรืองอย่างมากจนมีงานจัดคอนเสริ์ตเป็นของตัวเอง มีสินค้าสะสมมากมาย และมีเกมสำหรับเครื่อง PS4 โดยใช้ชื่อภาค Platinum Stars ในปี 2016 กับภาค Stella Stage ในปี 2017
โดยทั้งสองภาคมีการขยายฐานแฟนนอกประเทศญี่ปุ่น โดยการแปลเป็นภาษาจีนกลางและเกาหลี รวมถึงยังคงใช้ทีมงานนักพากย์คนเดิมที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมานานกว่าทศวรรษ (ยกเว้นตัวละคร Yukiho ที่มีอดีตพากย์เสียงโดย Hase Yurina ซึ่งอำลาวงการกะทันหัน แล้วเปลี่ยนให้เสียงพากย์โดย Asakura Azumi แทน)
และมาถึงภาคล่าสุดอย่าง Starlit Season ที่เป็นการรวมตัวไอดอลจากเกม Spin-Off ทุกภาค (ยกเว้น Side-M ณ ตอนนี้) มารวมอยู่ในเกมเดียวกัน รวมถึงเป็นเกมแรกที่หลุด Exclusive วางจำหน่ายบนระบบ PC (Steam), PlayStation 4 ในปี 2020 สำหรับญี่ปุ่น และพัฒนาโดย Unreal Engine 4 ซึ่งใช้เอนจินเดียวกับ TEKKEN 7 และ Ace Combat 7 Skies Unknown
เกมสะดุดตาตั้งแต่ตัวละคร, เพลง และคอมมูนิตี้ที่มีสีสัน แต่เล่นง่าย
เนื่องจากผู้เขียนไม่ได้สัมผัสเกมนี้ทุกภาค จึงจะอธิบายภาพรวมของเกมเพลย์เกมซีรีส์นี้ละกัน
ฟีเจอร์ของเกม The Idolm@ster มีจุดเด่นที่ตัวละครแต่ละคนมีลักษณะนิสัย งานอดิเรกส่วนตัว และบทสนทนาเกมที่เพลิดเพลินและมีการแสดงออกเป็นคาแรกเตอร์ตนเอง
คุณได้รับบทเป็นโปรดิวเซอร์ (หรือเรียกกันว่า “พี”) ในสังกัดกลุ่มไอดอลโนเนมที่ตั้งในตึกสำนักงานเล็กในชื่อว่า 765 Production โดยจุดประสงค์ของเกม คือผู้เล่นต้องปลูกปั้นไอดอลที่ตนเองชื่นชอบ, เอาชนะเวทีไอดอล Stardom และโค่นล้มไอดอลคู่แข่งจากเวที Live Stage โดยระหว่างความคืบหน้าของเนื้อหา ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับไอดอลจะเพิ่มขึ้น
โดยสมาชิกไอดอล 765 Production จะมีสมาชิกทั้งหมด 13 คน ประกอบไปด้วย Amami Haruka (ตัวเอกประจำซีรีส์) , Kisaragi Chihaya, Yukiho Hagiwara, Makoto Kikuchi, Ami และ Mami Futami, Takatsuki Yayoi, Minase Iori, Miura Azusa, Akizuki Ritsuko, Hoshii Miki, Ganaha Hibiki และ Shijou Takane
ตอนแรกผู้เล่นจะต้องเลือกไอดอลคนโปรดคนใดคนหนึ่ง แล้วเลือกว่าแต่ละวันให้ไอดอลทำกิจกรรมอะไร เช่นอาจให้ฝึกซ้อมร้องเพลง, ฝึกเต้น, หรือถ่ายภาพนางแบบ โดยทั้งสามกิจกรรมจะเสริมทักษะ เพื่อเตรียมตัวขึ้นเวที Live ในอนาคต หรือให้ไอดอลของคุณได้พักผ่อนหรือทำกิจกรรมที่เธอชื่นชอบ เพื่อเสริมกำลังพลังงานและกำลังใจ
โดยรวมแล้วเกมเพลย์ทั้งหมดมีความเข้าใจง่าย เพราะหน้าที่ของเกมเมอร์จะเน้นออกคำสั่งซะส่วนมาก แต่ผู้เล่นต้องอาศัยการจัดการเวลากับไอดอลให้ดี เพราะถ้าพักผ่อนเยอะเกินไปอาจทำให้สู้คู่แข่งไม่ได้ หรือถ้าฝึกหักโหมหรือกำลังใจต่ำจนเกินไป อาจเกิด Accident ทำให้เกมนี้ค่อนข้างเป็นเกมที่จัดการไอดอลที่ซีเรียสระดับหนึ่ง และจำเป็นต้องล้มเหลวหลายครั้ง เพื่อลองผิดลองถูก (Trail and Error) แล้วหาผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ขณะที่ไอดอลกำลังขึ้นแสดงบนเวที ตัวเกมมีระบบเกมดนตรีเข้าผสมเล็กน้อย ผู้เล่นต้องกดให้ถูกจังหวะเพื่อรักษาหลอดเลือดไอดอลของตนเองไว้ แต่ไม่ใช่ว่าผู้เล่นจะมีทักษะเกมดนตรีแล้วสามารถเอาชนะได้ทุกเวที เพราะระบบนี้จะช่วยถ่วงหลอดเลือดให้ได้มากที่สุดเท่านั้น และสุดท้ายแล้ว ผลลัพธ์ก็ยังวัดกันที่ทักษะของไอดอลที่ได้มาจากการฝึกฝนอยู่ดี
แต่สิ่งที่ทำให้เกม The Idolm@ster ทำให้ผู้เล่นติดงอมแงมมากที่สุด คือ บทสนทนาภายในเกมที่ไม่มีความซ้ำซากเลย บางวันจะมีอีเวนท์พิเศษที่ไอดอลของเรามาปรึกษาคำแนะนำ โดยยิ่งผ่านประสบการณ์ Live! มามากเท่าใด ไอดอลของคุณจะยิ่งเปิดใจ และไว้ใจตัวเรามากยิ่งขึ้นเท่านั้น ทำให้ตัวละครเกมนี้มีความเป็นธรรมชาติ มีสีสันกว่าที่คาดไว้
ขยายฐานแฟนด้วย เกมภาค Spin-Off มากมาย
หลังจาก The Idolm@ster ภาคหลักประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามในประเทศญี่ปุ่น ทางทีมงาน Bandai Nambo จึงขยายซีรีส์ The Idolm@ster ให้กว้างมากขึ้นด้วยการปล่อยภาค Spin-Off ออกมามากมาย ซึ่งเกือบทุกเกมล้วนแต่เป็นเกมมือถือ มีภาคดังนี้
The Idolm@ster Cinderella Girls (356 Pro)
เป็นเกมภาค Spin-Off พัฒนาโดย Cygames หรือทีมผู้สร้างเกม Granblue Fantasy กับ Shingeki no Bahamut ซึ่งนับว่าเป็นเกม Spin-Off ที่โด่งดังไม่แพ้กับบ้านหลักเลย เพราะตัวไอดอลของเกมนี้มีให้เลือกเยอะมากกว่า 200 คน และมีการแยกออกเป็นสามสายคือ Cool, Cute, Passion โดยทุกประเภทจะมีลักษณะนิสัยหรือคาแรกเตอร์อย่างเห็นได้ชัด
และในทุก ๆ ปีทางทีมงาน Bandai Namco กับ Cygames จะมีการเปิดเลือกตั้งไอดอลหญิง โดยคนไหนที่ได้รับผลโหวตเยอะที่สุด คนนั้นจะได้รับคัดเลือกให้เป็น Cinderella ประจำปี จึงนับเป็นอีกหนึ่งภาคที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั้งในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศ
ซีรีส์เกมนี้มีอยู่สองภาคคือ The Idolm@ster Cinderella Girls เป็นเกมมือถือ Mobage และภาค Starlight Stage เป็นเกมดนตรีที่มีลูกเล่นของ Mobage เข้ามาผสมด้วย
The Idolm@ster Milion Live!
แม้เป็นเกมที่อยู่ในจักรวาลเดียวกับภาคหลัก แต่ภาคนี้จะมุ่งเน้นนำเสนอตัวละครใหม่ 37 คน แต่สิ่งที่แตกต่างจาก Cinderella Girls ก็คือตัวละครไอดอลทุกคนจะมีเสียงพากย์ตั้งแต่ต้น ไม่มีคนไหนเป็นใบ้ และเพลงในเกมนี้จะเน้นทางแนว Musical ซะส่วนมาก (แต่ก็ไม่ทิ้งเพลงไอดอลดั้งเดิมไปนะ!)
เดิมที The Idolm@ster Milion Live! เป็นเกม Mobage คล้าย Cinderella Girls แต่เกมดังกล่าวได้ปิดบริการไปแล้วในปี 2018 และนำเนื้อหาทั้งหมดไปอัปเดตลงในเกมภาค Theater Day หรือเกมมือถือดนตรีผสมกับ Mobage แทน
The Idolm@ster Side M (315 Pro)
ใครบอกว่าซีรีส์ The Idolm@ster ขายแต่กลุ่มผู้ชายอย่างเดียว? ซีรีส์ Side M จะโฟกัสถึงไอดอลชายเป็นหลัก โดยเกมจะเน้นการขายเป็นกลุ่มกลุ่มยูนิตมากกว่าฉายโซโล่เดียว เหมือนกับเกม Spin-Off หลายภาค Side M เป็นเกม Mobage และมีภาค Live On Stage! ซึ่งเป็นเกมดนตรีผสมกับลูกเล่น Mobage (อีกแล้ว)
แม้การเปิดตัวช่วงแรกของ Side-M ในเกม The idolm@ster 2 จะไม่เป็นที่ยอมรับจากแฟนเกมจนมีประเด็นถกเถียงตามบอร์ด 2ch แต่ปัจจุบัน Side-M เป็นที่ยอมรับมากขึ้นแตกต่างจากอดีตอย่างเห็นได้ชัด
The Idolm@ster Shiny Colors (283 Pro)
The Idolm@ster Shiny Colors คือเกม Spin-Off ภาคล่าสุด เป็นเกมเล่นบนเว็บ HTML5 ที่เปิดบริการผ่านเว็บไซต์ enza เกมนี้จะมีการการนำเสนอที่ร่วมสมัยมากขึ้น นักพากย์ของเกมล้วนเป็นงานเดบิวต์หน้าใหม่ครั้งแรกเกือบทั้งหมด โดยเกมเพลย์กลับจะกลับคืนสู่วิถีของ The Idolm@ster ดั้งเดิมอีกครั้ง ที่ผู้เล่นต้องจัดการบริหารไอดอลประจำวันให้ดีที่สุด เพื่อให้ไปถึงสุดยอดเวทีไอดอล “Fes” ให้จงได้ ถ้าหากเกมเมอร์อยากลองสัมผัสเกมไอดอล เพื่อเตรียมพร้อมกับเกมภาคใหม่ละก็ เกมนี้จัดว่ามีความใกล้เคียงที่สุด
The Idolm@ster จุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมสื่อบันเทิงของญี่ปุ่น
สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับ The Idolm@ster ก็คือ “เพลง” ที่ไม่ว่าจะเป็นเกมภาค Spin-Off หรือเกมภาคหลัก ไอดอลทุกคนเกือบทุกคนมากกว่า 90% ล้วนมีผลงานเพลงเป็นของตัวเอง ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นไอดอลบนโลกชีวิตจริง ไม่ว่าจะเป็นเพลงโซโล่เดี่ยว หรือ เพลงยูนิตกลุ่มก็ตาม
เพลงใน The Idolm@ster ให้มีอารมณ์ก้ำกึ่งระหว่างเพลงประกอบเกมและเพลงไอดอล ทำให้เพลง The Idolm@ster มีหลากหลายประเภท ต่างเพลงไอดอลทั่วไป ทำให้เพลง The Idolm@ster สามารถเข้าถึงได้ค่อนข้างง่ายทั้งคนชอบเพลงญี่ปุ่นและเพลงไอดอล จึงไม่ยากเลยที่ซีรีส์เกมนี้จะสามารถสร้างแรงสะเทือนต่อวงการอุตสาหกรรมเพลงกับสื่อบันเทิงของประเทศญี่ปุ่น จนเกมดังกล่าวถูกดัดแปลงทำเป็นซีรีส์อนิเมะ, หนังอนิเมะ, ดราม่าซีดี, ไกด์บุ๊ค, สินค้าสะสมอีกมากมาย และมีงานคอนเสิร์ตระดับยิ่งใหญ่เป็นของตัวเอง
ซีรีส์ The idolm@ster ณ ตอนนี้ก็ยังคงมีคอมมูนิตี้ที่แข็งแกร่งอย่างมากทั้งในประเทศญี่ปุ่นกับเอเชีย และแน่นอนว่าเกมภาคใหม่อย่างภาค Starlit Season จะลงให้กับ PC (Steam), PlayStation 4 นั้น ก็อาจมีโอกาสถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษมากกว่าภาคก่อนอีกด้วย ก็หวังว่าบทความนี้จะทำให้ท่านเข้าใจซีรีส์ The Idolm@ster มากขึ้นครับ