“Lies of P” คืออีกหนึ่งเกม Soulslike ของปี 2023 ที่ควรค่าแก่การได้ลอง เพราะนอกจากจะมีธีมน่าสนใจ เป็นพินอคคิโอท่ามกลางโลกอันมืดหม่น ในด้านเกมเพลย์เองก็ถือว่าหนักแน่น เร้าใจ และชวนให้ติดพันได้จนวางจอยไม่ลงเลยทีเดียว
แต่เกม Soulslike ก็คือเกม Soulslike, มันยังคงมีความยากอยู่หลายจุด ดังนั้นวันนี้เราจะพาไปแนะนำ 10 วิธีที่จะช่วยคุณปรับตัวเข้ากับเกมง่ายขึ้น เพื่อเอาตัวรอดจากนรกแห่งจักรกลในเมือง Krat และตามหาความจริงที่ซ่อนอยู่ได้ในเร็ววัน
1. Perfect Guard คือเพื่อนแท้
- เกมนี้ไม่มี Build ระยะไกลแบบจริงจัง หรือ Build ที่โกงจนเปลี่ยนเป็นเกมง่าย ทางรอดทางเดียวของคุณจึงต้องกดป้องกันให้แม่น ทำ Perfect Guard (Parry) ให้ได้บ่อย ๆ ยิ่งดี เพราะนอกจากจะลดความเสียหายแล้ว ยังทำให้ศัตรูติด Stagger ได้ไวขึ้นด้วย แต่สำหรับเกมนี้จะไม่มีเกจบอกว่าเมื่อไหร่ที่บอสจะติด Stagger ได้ (หลอดเลือดเป็นกรอบสีขาว)
- แทบไม่มีท่าไหนที่รับมือด้วย Perfect Guard ไม่ได้ (ยกเว้นพวกท่าพ่นพิษ, ไฟจากปืนไฟ) ดังนั้นฝึกไว้ย่อมเป็นการดีแน่นอน
- ในช่วงแรก ๆ ที่ยัง Perfect Guard ไม่แม่น และกลายเป็นป้องกันธรรมดาแทน เลือดของเราจะลดไปเล็กน้อย แต่ในช่วงนี้สามารถโจมตีศัตรูเพื่อชิงเลือดกลับมาได้ (คล้าย Bloodborne) ดังนั้นในหลาย ๆ สถานการณ์ การกดป้องกันจึงดีกว่ากลิ้งหลบเพื่อวัดดวงว่าจะไม่โดน หรือโดนเต็ม ๆ 100%
2. อย่าเก็บ Ergo ไว้กับตัวเยอะเกินไป
- เช่นเดียวกับเกม Souls-like เกมอื่น ๆ , กฎเหล็กของ Lies of P คืออย่าพยายามพกสิ่งสำคัญอย่าง Ergo ติดตัวไปในปริมาณเยอะ ๆ เพราะเราไม่รู้เลยว่าเมื่อใดที่จะพลาดท่าตายขึ้นมา จนเสียโอกาสอัปเลเวลไป
- ดังนั้นเมื่อเราเห็นว่าตัวเลขของ Ergo ตรงมุมขวาบนของจอกลายเป็นสีฟ้า นั่นแปลว่าเราสามารถใช้มันอัปเลเวลได้แล้ว ให้มองหาจุดปลอดภัย แล้วกดใช้ไอเท็ม “Moonphase Pocket Watch” เพื่อวาร์ปกลับไปอัปเลเวลใน Hotel Krat
- กรณีที่เราเห็นว่าขาด Ergo อยู่อีกแค่นิดเดียวก็จะถึงเกณฑ์อัปเลเวลได้แล้ว ให้กดใช้ไอเท็มประเภท Ergo Fragment ได้เลย เพื่อเพิ่ม Ergo จนกว่าจะเพียงพอต่อการอัปเลเวล
3. ติดตั้งไอเท็มใน Belt แค่เท่าที่จำเป็น
- ให้เหลือไว้เฉพาะไอเท็มที่มักใช้บ่อย ๆ ในระหว่างต่อสู้เท่านั้น เช่น Pulse Cell, Fable Catalyst, Grinder เพื่อป้องกันการกดพลาดในจังหวะคับขัน ขณะกำลังสู้บอสอยู่
- ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใส่ไอเท็มใน Upper Belt / Lower Belt ไว้จนเต็มสล็อตที่มีอยู่ เพื่อที่จะได้กดเปลี่ยนมาเป็นไอเท็มที่เราต้องการไวขึ้น
- พวกไอเท็มจิปาถะอื่น ๆ เช่น Moonphase Pocket Watch หรือน้ำยาลบสถานะผิดปกติ สามารถใส่ไว้ใน Extra bag ได้ (กด A / X ค้าง เพื่อโชว์เมนู Extra Bag ขึ้นมา)
4. ทดลอง Build ให้เต็มที่ก่อนได้เลย
- (มีสปอยล์เล็กน้อย) เมื่อเล่นไปถึงจุดหนึ่ง เราจะสามารถ Reset ค่า Status, P-Organ และ Legion Arm ได้ ดังนั้นในช่วงต้นเกม ไม่ต้องกลัวที่จะลองเล่นใน Build ที่ตัวเองสนใจ เพราะยังมีโอกาสแก้ตัวภายหลัง
- แต่กว่าจะ Reset ได้ก็ต้องเล่นไปไกลพอสมควร ดังนั้นก็ไม่ควรอัปค่า Status สะเปะสะปะเกินไป โดยค่าที่เราแนะนำให้อัปไว้ก่อนเลยเยอะ ๆ คือ Vitality (เพิ่มเลือด) และ Vigor (เพิ่ม Stamina)
- จุดที่เราจะเริ่ม Reset ได้แล้ว คือหลังจากชนะบอสตัวหนึ่ง และได้รับกุญแจชื่อ “Saintess of Mercy Statue Gallery Key”
- ให้หันหลังเดินย้อนกลับมาทางเดิม ขึ้นบันไดแล้วเลี้ยวขวาเพื่อกลับมาในห้องที่มีต้นไม้เยอะ ๆ
- บริเวณนี้ จะมีประตูหนึ่งที่สามารถใช้กุญแจเปิดออกได้ เพื่อเข้าไปปลดล็อคฟีเจอร์การ Reset
5. อัปสกิลหลบก่อนเป็นอันดับแรก
- ถึงแม้ว่า Perfect Guard จะเป็นเพื่อนแท้ของเรา แต่ก็ใช่ว่าเราจะกดแม่นไปเสียทุกรอบ ดังนั้นบางครั้ง การหลบก็ยังจำเป็นอยู่
- ในตอนแรกเริ่ม ตัวละครของเราจะแค่กระโดดหลบมาเท่านั้นในขณะต่อสู้ แต่เราสามารถอัปเกรด P-Organ ให้กลายเป็นการกลิ้งหลบได้ด้วย (ชื่อ “Link Dodge” ซึ่งเป็นการกด B / O ย้ำสองครั้งเพื่อกลิ้งหลบ)
- การอัปสกิลนี้จะช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นมากกับการสู้บอส โดยเฉพาะการหลบท่าโจมตีสีแดงต่าง ๆ (ท่าที่ป้องกันเฉย ๆ ไม่ได้)
6. ลับอาวุธให้พร้อมเสมอ
- แม้เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย แต่หลายคนก็ยังลืมได้ในจังหวะเร่งด่วนขณะสู้บอส ดังนั้นเมื่อมีโอกาส มีเวลาพักหายใจอยู่เยอะ อย่าลืมใช้ไอเท็ม Grinder ให้ติดเป็นนิสัย เพื่อลับอาวุธของคุณให้พร้อมสู้อยู่เสมอ
- และเมื่อเล่นไปถึงจุด ๆ หนึ่ง เราจะปลดล็อคฟังก์ชัน “Grindstone” มาด้วย นี่คือตัวช่วยที่ทำให้สู้บอสได้ง่ายขึ้นมาก เพราะมันสามารถบัฟอาวุธให้มีคุณสมบัติพิเศษได้ตามต้องการ ดังนั้นอย่าลืมใช้ Grindstone ทุกครั้งก่อนสู้บอส
7. เลือกอาวุธที่สกิล / เลือก Handle ที่ Moveset
- ลองใช้ Handle ทั้งหมดที่มีอยู่ในตัว เพื่อดูว่า Moveset แบบใดที่เหมาะกับเราที่สุด (Moveset ในเกมนี้ ขึ้นอยู่กับ Handle) บางคนอาจชอบท่าแทงโจมตีระยะไกล เพื่อชิงความได้เปรียบศัตรู ส่วนบางคนอาจชอบการโจมตีที่ออกท่าไว จะได้ทันใจเวลาสู้
- ส่วนการเลือกอาวุธ อาจเลือกที่ค่า Status, ขนาด, สกิล หรือความเท่ล้วน ๆ จากนั้นค่อยนำมาประกบเข้ากับ Handle ที่ถูกใจ
- Handle ที่เราแนะนำสุด ๆ ใช้ได้ตั้งแต่ต้นเกมยันจบเกม คือ “Greatsword of Fate Handle” สามารถซื้อได้พร้อมกับดาบ Greatsword จากพ่อค้าใกล้ ๆ Cerasani Alley Stargazer (ก่อนสู้กับบอสตัวแรกสุด) ในราคาแสนถูก
- Handle อันนี้ เมื่อกดใช้สกิลแล้วจะทำให้เราตั้งท่ารอรับการโจมตีถัดไปของศัตรู โดยจะติด Perfect Guard แน่นอน 100% ซึ่งเหมาะมากหากเก็บไว้ใช้ตอนที่บอสกำลังจะปล่อยท่าโจมตีสีแดง
8. พยายามคุมน้ำหนัก
- ในเกมนี้ น้ำหนักของไอเท็มในตัวเรา ส่งผลต่อการเคลื่อนที่/การกลิ้งหลบ คล้ายต้นแบบอย่างเกมตระกูล Souls ดังนั้นการสวมใส่ของหนัก ๆ ไว้เต็มตัวจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก
- วิธีลดน้ำหนักมีอยู่หลายทาง ดังนี้
- สวมใส่อาวุธไว้แค่ 1 ชิ้นเท่านั้น
- อย่าดูเครื่องป้องกันแค่เฉพาะ Status ที่สูงกว่า หากมันเพิ่มค่าป้องกันมาแค่เล็กน้อย แต่ไม่คุ้มกับน้ำหนัก ก็ควรหันไปใช้ไอเท็มที่ด้อยลงมา แต่เบาสบาย
- ถ้าไม่ได้ใช้งาน Legion Arm บ่อยอยู่แล้ว แนะนำให้ใส่ Left Arm of Steel ได้เลย (Legion Arm เริ่มต้น) เพราะมีน้ำหนักเบาสุด
- สวมใส่ Carrier’s Amulet เพื่อเพิ่มความจุสูงสุด
- เกณฑ์น้ำหนักของเกมนี้ คือ
- ต่ำกว่า 30% = Light
- ต่ำกว่า 60% = Standard
- ต่ำกว่า 80% = Slightly Heavy (เต็มที่สุด ๆ ควรอยู่แค่ตรงนี้)
- เกิน 80% = Heavy
9. บางอย่างควรประหยัด แต่บางอย่างก็สิ้นเปลืองได้
- สิ่งที่ควรประหยัด
- Star Fragment – เกือบทุกครั้งก่อนสู้บอส เราจะเห็นโถที่สามารถใช้ไอเท็มนี้ได้ แต่ในรอบแรก ๆ ยังไม่ควรใช้งาน แนะนำว่าให้เข้าไปลุยเดี่ยวกับบอสเพื่อเรียนรู้ Moveset (ท่าโจมตีต่าง ๆ) ของมันก่อน แล้วพอมั่นใจแล้ว จึงค่อยเริ่มใช้ Star Fragment เพื่อเรียก NPC มาช่วยสู้
- Ergo พิเศษที่ดรอปจากบอส – ถึงมันจะมอบค่า Ergo ให้เราเยอะแค่ไหน ก็อย่าได้กดใช้ เพราะมันสามารถนำไปแลกเป็นอาวุธ, ไอเท็มสวมใส่แบบพิเศษได้เมื่อเล่นไปถึงจุด ๆ หนึ่ง
- สิ่งที่ไม่ต้องประหยัดมากก็ได้
- Pulse Cell – ถึง HP เราจะยังไม่ถึงขีดอันตราย แต่ถ้ามันลดมาเยอะจนถึงปริมาณที่ฮีลขึ้นมาได้เต็มที่แล้ว ก็ขอให้รีบกดใช้ Pulse Cell เพราะเมื่อใช้หมดแล้ว เกมนี้มีระบบที่สามารถชาร์จ Pulse Cell กลับมาได้ด้วย และตอนที่ Pulse Cell หมด ก็มีบัฟของ P-Organ บางอย่างที่ทำงานในช่วงนี้เช่นกัน (เพิ่มพลังโจมตี, ลดความเสียหาย และอื่น ๆ)
- Throwing Object ต่าง ๆ – อะไรที่ปาได้ ขอให้หยิบมาปา เพราะมันมีดรอปเยอะมาก โดยอาจจะติดตั้งไว้ใน Belt สัก 1 สล็อต แล้วสับเปลี่ยนกันใช้ไปเรื่อย ๆ เพราะนี่แทบจะเป็นการโจมตีระยะไกลแบบเดียวที่เราสามารถสร้างความได้เปรียบศัตรูได้ภายในเกม
10. กดพูดคุยกับ NPC ให้หมดจนกว่า NPC จะเริ่มพูดซ้ำ ๆ
- เช่นเดียวกันกับต้นแบบอย่างเกมตระกูล Souls, NPC ในเกมจะไม่พูดหมดทุกอย่างในระลอกเดียว แต่เราจะต้องกดพูดคุยต่ออีกหลายครั้งเพื่อฟังทุกอย่างให้ครบถ้วน
- นอกจากจะทำให้ได้รู้ข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องแล้ว ในบางครั้ง ฟังก์ชัน, ไอเท็ม หรือความลับต่าง ๆ ก็อาจปลดล็อคได้จากการพูดคุยกับ NPC จนกว่าจะครบ จบกระบวนความ
Extra. คำแนะนำทั่วไป สำหรับการสู้บอสในเกมนี้
- ให้ความสำคัญกับการทำให้บอสติด Stagger โดยเมื่อหลอด HP ของบอสกลายเป็นกรอบสีขาว แปลว่าเราสามารถโจมตีให้มันติด Stagger ได้แล้ว
- จังหวะนี้ ให้กดชาร์จโจมตีหนักใส่ได้เลย (RT / R2 ค้าง) เมื่อบอสล้มเพราะติด Stagger เราจะโจมตีซ้ำได้ฟรีและรุนแรงด้วย Fatal Attack
- ท่า Fatal Attack จะทำได้เมื่อยืนอยู่ตรงจุดที่พื้นมีไฮไลต์เป็นสีแดง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะอยู่บริเวณด้านหน้าของตัวบอส
- อย่าลืมกดใช้ Grindstone เพื่อบัฟอาวุธก่อนสู้บอสทุกครั้ง การกดในขณะต่อสู้ไม่ใช่เรื่องดีนัก เพราะเปิดช่องว่างให้เราเจ็บตัวได้ (ยกเว้นว่าบอสมีเฟส 2 และอยากเก็บไว้ใช้กับตรงนั้นมากกว่า)
- Grindstone ที่ทำให้สู้บอสง่ายสุดคือ “Perfection Grindstone” ซึ่งจะเปลี่ยนการป้องกันธรรมดา ให้กลายเป็น Perfect Guard ได้ชั่วคราว
- เวลาสู้บอส พยายามเดินวนรอบตัวมันไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งเสมอ (ตามเข็ม / ทวนเข็มนาฬิกา)
- การยืนอยู่ด้านข้าง / ด้านหลังบอส จะทำให้เรารอดพ้นจากท่าโจมตีต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น และบอสต้องเสียเวลาเล็กน้อยเพื่อหันมาโจมตีเรา
- เมื่อมี NPC ช่วยสู้ อย่ายืนอยู่ฝั่งเดียวกันกับ NPC, ถ้าบอสกำลังหันหน้าสู้กับ NPC อยู่ เราต้องยืนโจมตีใส่บอสฟรีจากด้านหลัง