หากเอ่ยชื่อ Mass Effect เกมเมอร์น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักชื่อนี้ เพราะมันคือสุดยอดเกม Action RPG แนว Sci-Fi ที่ดีที่สุดเกมหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย มันมีความอลังการและลงตัวอย่างที่สุด แม้ในภาคล่าสุดอย่าง Andromeda จะทำให้เหล่าเกมเมอร์ผิดหวังกันไปชนิดอกหักไปตาม ๆ กัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไตรภาคแรกของมันนั้นเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก และในวันนี้เราจะมาพูดถึงภาคที่ดีที่สุดของซีรีส์อย่างภาคสองกันครับ
เกริ่นก่อนสักนิดสำหรับคนที่ไม่เคยติดตามซีรีส์นี้มาก่อน Mass Effect ภาคแรกวางจำหน่ายในปี 2007 บนเครื่อง Xbox 360 แบบ Time Exclusive ก่อนที่จะกระจายไปวางจำหน่ายในระบบอื่น ๆ โดยภาคแรกนั้นได้รับคำชมไปในทิศทางที่ดีและมีเนื้อเรื่องที่น่าติดตาม รวมไปถึงการนำเสนอฉากสนทนาแบบใหม่ที่ยังไม่มีเกมไหนทำมาก่อน ก็คือการวางมุมกล้อง จัดวางองค์ประกอบแบบเดียวกับในภาพยนตร์ ซึ่งด้วยพลังของ Unreal Engine 3 ที่จัดว่าทันสมัยที่สุดในยุคนั้นทำให้มันดูเหมือนหนังจริง ๆ และระบบการเล่นที่ถือว่าใช้ได้ แม้การบังคับรถยนต์ Mako กระเด้งไปมาในดาวเคราะห์ต่าง ๆ จะห่างไกลจากคำว่าบันเทิงอยู่มากก็ตาม แต่ก็จัดเป็นเกมที่มีการวางเรื่องราวเกี่ยวกับจักรวาลของเกมได้แน่นมากเกมหนึ่งทีเดียว
และพอเกมภาคสองประกาศเปิดตัว Bioware ก็ทำให้พวกเราทึ่งจนแทบรอเล่นกันไม่ไหว เพราะพวกเขาตัดสินใจเปิดเรื่องโดยการให้ตัวเอกของเกม ผู้การ Shepard ตายตั้งแต่ฉากเปิดเกม จากการโจมตีของพวก Collector จนทำให้ทั้งยาน Normandy ลูกเรือและอื่น ๆ พังจนไม่เหลือชิ้นดี แต่ก็มีองค์กรลับนามว่า Cerberus กู้ร่างของผู้การ Shepard มาปลุกชีพใหม่ด้วยโครงการ Project Lazarus คืนชีพมาอีกครั้งพร้อมความสามารถอันล้นเหลือยิ่งกว่าเก่า และการปลุกชีพนี้ก็มีจุดประสงค์คือต้องการให้ Shepard ไปทำภารกิจหยุดยั้งพวก Collector ที่ Omega-4 Relay ซึ่งพวกมันเป็นหนึ่งในศัตรูกลุ่มใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับ Reaper ที่เป็นภัยคุกคามต่อจักรวาล และภารกิจนี้จะสำเร็จได้ต้องมาจากฝีมือของ Shepard เท่านั้น และการการทำภารกิจฆ่าตัวตาย Suicide Mission ก็เริ่มต้นขึ้น
Mass Effect 2 จัดว่าเปิดตัวมาได้น่าตื่นตาตื่นใจมาก เพราะพลอตที่ให้ตัวเอกตายแล้วฟื้นนั้นถือว่ากล้าอย่างมาก มันแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของศัตรูในภาคนี้ได้เป็นอย่างดีว่ารับมือได้ยากแค่ไหน และการรวมทีมเพื่อไปทำภารกิจที่ไม่รู้ว่าจะรอดกลับมาได้หรือไม่นั้นก็เป็นอีกอะไรที่ชวนให้ลุ้นอย่างยิ่ง และตัวสมาชิกที่ผู้การของเราต้องไปขอให้ร่วมวงทำภารกิจแต่ละนายนั้นก็คือระดับตัวท็อปในกาแล็คซี่ทั้งสิ้น เช่น Jack นักโทษคดีร้ายแรงที่มีพลัง Biotic ระดับสุดยอด Thane นักฆ่าระดับตำนานผู้ไม่เคยสังหารเป้าหมายพลาด และตัวอันตรายอีกมากมายที่ยอมร่วมหัวจมท้ายไปกับเรา เพื่อทำภารกิจที่หลายคนไม่เชื่อว่าจะทำได้สำเร็จ ถึงแม้การดำเนินเรื่องจะโคตรเป็นสูตรสำเร็จ แต่มันก็ทำได้ดีเยี่ยมแบบสุดยอดจริง ๆ
อีกอย่างหนึ่งที่ต้องพูดถึงก็คือระบบการเล่นที่ยกเครื่องใหม่หมดจด กลายเป็นเกม Action Shooter แบบยุทธวิธีที่ลดทอนความเป็น RPG ลง แต่ใส่ความเป็นเกมเดินหน้ายิงเข้าไปมากขึ้น ผสมผสานกับระบบการสั่งการเพื่อนร่วมทีมแบบใหม่ที่สะดวกง่ายดายยิ่งกว่าเดิมเพียงแค่กดปุ่มไม่กี่ปุ่มเท่านั้น และระบบคลาสที่ยกเครื่องแบบมโหฬารให้เหมาะสมกับรูปแบบของเกมอย่างยิ่ง เช่นคลาส Soldier ที่ผู้เล่นในคลาสนี้จะรู้สึกเหมือนราวกับได้เล่นเกม Battlfield ยิงแหลก Vanguard ที่เน้นการใช้ท่า Biotic Charge พุ่งชนเพื่อทำให้ศัตรูชะงักและอัดด้วยปืนลูกซอง หรือ Engineer ที่มีการเรียก Drone มาช่วยต่อสู้ด้วย และไม่ว่าจะเล่นคลาสไหนก็ล้วนสนุกทั้งสิ้นเพราะออกแบบมาได้ดีเหลือเกิน
อีกอย่างที่ลืมกันไม่ได้คือระบบการโอนเซฟเกมจากภาคแรกที่เล่นเอาไว้มาสานต่อในภาคนี้ ใครเคยทำอะไรไว้ในภาคแรกก็จะมีเรื่องราวมาให้เราได้ติดตามกันต่อ โดยอาจจะมาในรูปแบบเควสหรือ NPC ที่มาคุยกับเราในเกม แม้จะไม่ได้มีผลมากนักแต่ก็ทำให้ผู้เล่น “อิน” ไปกับเกมได้มากขึ้นด้วย และระบบ Paragon System ค่าความดีความเลวก็ยังทำงานได้ดีเหมือนเคย แม้ตัวเลือกในแต่ละสายจะค่อนข้างบังคับไปในทางใดทางหนึ่งมากกว่าเก่า และถ้าหากค่าความดีความเลวมีไม่ถึงที่กำหนด ก็อาจจะทำให้การเลือกคำตอบบทสนทนาบางอย่างไม่ปรากฏออกมา และอาจมีผลต่อฉากจบในตอนท้ายได้ด้วย
Mass Effect 2 สร้างปรากฏการณ์กลายเป็นเกมภาคต่อที่ดีที่สุดในโลก ได้รับรางวัลจากหลายสำนักข่าวเกมว่าเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล ทุกอย่างในเกมดีขึ้นอย่างหมดจดจนแทบไม่มีจุดบกพร่องให้เห็น น่าเสียดายที่เกมภาคสามนั้นมีปัญหากับการนำเสนอฉากจบของเกมและ Plot Hole ที่ไม่ชัดเจนในหลายจุด จนทำให้ผู้เล่นไม่ประทับใจกับตัวเกมเท่ากับในภาคสอง (แม้ตัวเกมภาคที่สามจะทำได้ยอดเยี่ยมกว่ามากก็ตาม) และทำให้ทาง Bioware ต้องเพิ่มเนื้อหาของเกมลงไปเพิ่มและแก้ไขฉากจบแบบใหม่ Extended Cut เพื่อความสมบรูณ์ของเนื้อเรื่องที่มากขึ้น
Mass Effect 2 คืออีกหนึ่งเกมที่สามารถไปถึงจุดสูงสุดในวงการเกมได้จากความสุดยอดและใส่ใจในรายละเอียดของผู้พัฒนา มันถูกผลักดันไปจนถึงขีดสุดเท่าที่เทคโนโลยีจะสามารถพาไปได้ในยุคนั้น แม้จะไม่ได้นำเสนอความแปลกใหม่ที่เรียกว่าเป็นการปฏิวัติวงการเกม แต่มันก็เรียกได้ว่าเป็นเกมที่มีรูปแบบการนำเสนอที่สุดยอด ระบบการการเล่นอันตรึงใจ และเนื้อเรื่องแสนตื่นเต้นอันตราย กลายเป็นหนึ่งในเกมที่อยู่ในความทรงจำของเกมเมอร์มาจนถึงทุกวันนี้ครับ