Mass Effect เป็นซีรีส์ที่เรียกว่าสร้างตำนานและความแปลกใหม่ให้กับวงการ RPG อย่างมากเกมหนึ่ง โดยเฉพาะความเปลี่ยนแปลงแบบสุดพลังในภาคสอง และฉากจบที่มีการโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อนในภาคสาม ทว่าตำนานบทที่ว่านี้ก็หล่นวูบอย่างรวดเร็ว หลังจากที่อยู่ค้างฟ้ามาเกือบทศวรรษ
“เพราะอะไรแฟรนไชส์ที่หลายคนคาดหวังมากที่สุดของ Bioware จึงตกต่ำลง จากการวางจำหน่ายเกมที่ล้มเหลวเพียงภาคเดียว วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องนี้กัน”
ผู้เขียนเคยเล่าไปแล้วว่า ความเปลี่ยนแปลงอันมหาศาลที่เกิดขึ้นกับซีรีส์ Mass Effect ในภาคที่สองนั้นคือก้าวกระโดดสำคัญที่นำพาตัวเกมไปสู่อีกมิติหนึ่ง จากเดิมที่ตัวเกมมีการเล่าเรื่องและตัดมุมกล้องในสไตล์ภาพยนตร์ที่ดูดีมากอยู่แล้ว แต่พอมีการปรับปรุง Gameplay ให้มีความเป็น Tactical Shooter มากขึ้น ตัวเกมก็ได้รับความนิยมแบบพุ่งพรวดฉุดไม่อยู่ จนกลายเป็นตำนานดาวค้างฟ้าของวงการเกมมาจนถึงทุกวันนี้
แน่นอนว่าด้วยความสำเร็จของตัวเกมไตรภาคแรกนั้นอยู่ในระดับที่กลายเป็นตำนาน ดังนั้นเมื่อมีการประกาศเปิดตัว Mass Effect ภาคใหม่ เกมเมอร์ทั่วโลกรวมถึงผู้เขียนเองก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้สัมผัสมัน กับการขยายเรื่องราวไปสู่กาแลกซี่แห่งใหม่ที่มีชื่อว่า Andromeda ที่ยิ่งใหญ่กว่าเก่า และเป็นจักรวาลที่ไม่มี Mass Relay ให้ใช้เดินทางแบบภาคเก่า ก็ชวนให้เรารู้สึกสงสัยและอยากรู้เรื่องราวในเกมให้มากขึ้นไปอีก
ความคาดหวังยิ่งพุ่งขึ้นสูงไปอีก เมื่อทาง Bioware ได้โชว์ของออกมาให้ดูกันอยู่เรื่อย ๆ ทั้งสภาพแวดล้อมของดาวดวงต่างๆ ในจักรวาล Andromeda มีพื้นที่กว้างใหญ่ให้สำรวจ พร้อมลูกเล่นตามล่าแร่ที่อยู่บนดาวดวงต่าง ๆ และสัตว์ประหลาดร่างยักษ์ให้ล่า และอีกมากมายที่ทำให้ตัวเกมไม่ใช่การยิงกันในพื้นที่ปิดแบบเดิมอีกต่อไป ก็ช่วยให้ตัวเกมมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
และสิ่งที่ทำให้ผู้เขียนยิ่ง Hype ขึ้นไปอีกขั้นก็คือการโชว์ระบบ Gameplay ของเกมที่น่าสนใจมาก เพราะมันเป็นการยกระดับเกมการเล่นในแบบ Cover base Shooter ให้ดูดีขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ด้วยการเพิ่ม Jet Pack ให้ผู้เล่นได้กระโดดไปมาอย่างอิสระ พุ่งตัวไปทางซ้ายขวาหน้าหลังได้อย่างรวดเร็ว เรียกว่าแค่ดูแล้วก็อยากเล่นจนแทบทนไม่ไหว อยากลองกันตั้งแต่ตอนที่ได้เห็นตัวอย่างกันเลย
“ทว่าความหวังที่ไต่ขึ้นไปจนสูงนั้น กลับตกลงมาอย่างเจ็บปวด เพราะความผิดพลาดที่กระจายอยู่ในตัวเกมอย่างไม่สามารถกอบกู้ได้นั่นเอง”
แน่นอนว่า Gameplay ของมันยังดูดีเหมือนอย่างที่นำเสนอไปอย่างไม่ต้องสงสัย มันยังโลดโผนและดุเดือดกว่าภาคเก่า ทว่าความกว้างขวางแบบไม่มีแก่นสารของเกมนั้นทำให้เรารู้สึกไร้จุดหมายมาก ๆ ภารกิจหลักที่ดูเหมือนไม่มีความสำคัญโผล่สลับมากับภารกิจรองที่ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ เปิดให้ผู้เล่นเดินทางสำรวจดาวหลายดวงด้วยเป้าหมายที่ไม่ชัดเจนนัก และยังมีเนื้อเรื่องที่ไม่ใคร่จะน่าติดตามแม้แต่น้อย ทั้งที่เปิดเรื่องมาได้ค่อนข้างโอเค(พ่อสละชีพเพื่อให้ลูกรอดตาย เจอกับภัยคุกคามแบบใหม่ที่ไม่เคยเจอ อะไรแบบนี้)
แต่ความโอเคก็จบลงอย่างรวดเร็ว และแทนที่ด้วยความน่าเบื่อยืดยาดอย่างสุดกำลัง เควสหลักหรือเควสย่อยต่างก็มีความน่าเบื่อเป็นส่วนใหญ่ไม่ต่างกันนัก แถมตัวเกมก็ยาวเหลือเกิน ยาวขนาดที่ว่าผู้เขียนเองเล่นจนขี้เกียจเล่นต่อ ทั้งที่ตัวเองชอบเกมแนว Open World มากแท้ ๆ แต่ทนความน่าเบื่อไม่ไหวนั่นเอง
ซ้ำร้ายตัวเกมยังเต็มไปด้วย Bug และปัญหาสารพัดสารเพมากมาย ทั้งอนิเมชั่นของตัวละครที่ดูตลกสิ้นดี การแสดงสีหน้าที่ไร้อารมณ์ไปจนถึงผิดเพี้ยนกลายเป็นคนวิกลจริต หรือ Bug ทำให้เกมไม่เดินต่อ จนตัวเกมถูกล้อและมี Internet Meme มากมายในแง่ล้อเลียน ทำให้ความขลังของ Mass Effect หมดไปโดยสิ้นเชิง
อีกเรื่องหนึ่งที่หลายคนมองว่าเป็นข้อผิดพลาดก็คือการฝืนใช้ Frostbite Engine ในการพัฒนาเกม จริงอยู่ที่มันทำให้ตัวเกมดูสวยงามน่าทึ่งดังที่เคยเห็นมาก่อนในเกม Battlefield ทว่าเอนจิ้นตัวนี้กลับไม่เหมาะอย่างยิ่งกับเกม Open World ทำให้เกิด Bug ต่าง ๆ มากมายตามมา รวมไปถึงอาการกระตุกและกินสเปกเครื่องจนเกินพอดี
เมื่อเราสืบสาวราวเรื่องลงไปก็พบความยุ่งเหยิงที่ซ่อนอยู่ในการพัฒนามากมาย ทั้งการมอบหมายให้ทีมงานขนาดเล็กของ Bioware เป็นผู้รับผิดชอบโปรเจกต์นี้ ทั้งที่เป็นเกมซีรีส์ใหญ่ ชื่อชั้นสุดยอด แต่กลับไม่มีทีมงานมือเก๋าจาก Bioware มาช่วยดูแลแม้แต่น้อย(ข่าวในช่วงนั้นมีการระบุว่าทีมงานหลักส่วนใหญ่ถูกส่งไปพัฒนา Anthem ไม่ก็ Dragon Age จนหมด) ซ้ำร้ายคุณ Drew Karpyshyn มือเขียนบทที่เคยมีส่วนร่วมในด้านการแต่งเนื้อเรื่องก็มาลาออกไปเสียอีก ก่อนที่จะกลับมาอีกครั้งและลาออกไปอีกรอบหนึ่งเมื่อช่วงปีก่อน
และด้วยการพัฒนาอย่างยาวนานกว่า 5 ปี มีการเลื่อนวันวางจำหน่ายไปเล็กน้อย ตัวเกมก็ไม่สามารถทำยอดขายออกมาได้อย่างที่คาดหวังเอาไว้ ซึ่งในวันเปิดตัววันแรกนั้นตัวเกมขายไปได้ที่ 349,000 ชุด บน PC เทียบไม่ติดแม้แต่น้อยกับภาคก่อน ซึ่งทาง EA ก็คาดหวังให้ตัวเกมขายได้ถึง 2.5 ล้านชุด แต่ก็ไปไม่ถึงดวงดาว หยุดอยู่แค่ไม่กี่ล้านชุดเท่านั้น
แถมที่แย่ไปกว่านั้นก็คือการที่ตัวเกมไม่มีการสานต่อในด้านของ DLC เนื้อเรื่องของเกมใด ๆ ทั้งสิ้นออกมา ไม่เหมือนกับภาคที่ผ่านมาสักนิด จากเดิมที่เราเคยคาดหวังไว้ว่าจะมี DLC มาสานต่อเนื้อเรื่องของเกม แต่ก็หายต๋อมไปเพราะความล้มเหลวของเกมภาคหลัก แถมโหมด Multiplayer ที่มาในภาคนี้ก็ไม่ได้ดีเด่ไปกว่าภาคที่แล้วเลยสักนิด(ผู้เขียนชอบโหมด Multiplayer ในภาคสามมาก เคยกดโหมดนี้เพียว ๆ ไปร่วมสามร้อยชั่วโมงมาแล้ว)
ด้วยความล้มเหลวอันสุดจะรับได้ ทำให้แฟนเกมหลายคนผิดหวังและเริ่มหมดศรัทธากับ Bioware และแผลนี้ก็ยิ่งถูกตอกย้ำลงไปอีกในอีกไม่กี่ปีต่อมา กับ Anthem โปรเจกต์ยักษ์ใหญ่ที่พวกเขาทุ่มทุนสร้างเต็มที่ แต่ก็ล้มเหลวลงยิ่งกว่าเดิมจนแทบกู่ไม่กลับกันเลย
แน่นอนว่าผิดหวังขนาดนี้ แถมไม่มีการสานต่อด้านเนื้อเรื่องผ่าน DLC ทั้งที่ทิ้งเชื้อไว้อย่างเต็มที่ การคาดหวังถึงภาคต่อไปย่อมเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ แต่จะทำอย่างไรให้ผู้เล่นกลับมาหาซีรีส์นี้อีกครั้งได้ล่ะ? แถม Bioware เองก็มาเสียชื่อไปกับ Anthem ซ้ำอีกรอบอีก จนทำให้หลายคนคิดกันไปแล้วว่า เวทมนต์มหัศจรรย์ของพวกเขานั้นเสื่อมลงไปแล้ว
ถึงความหวังจะริบหรี่ ผู้เขียนและเกมเมอร์คนอื่น ๆ ทั่วโลกก็ยังคงคาดหวังว่าในภาคต่อไปนั้นจะดีขึ้นยิ่งกว่านี้ ยิ่งในเวลานี้มีข่าวออกมาเรื่อย ๆ ว่าทาง Bioware ยังไม่ทิ้งซีรีส์นี้ไป และกำลังรวบรวมคนเพื่อสานต่อตำนานบทนี้อีกครั้งหนึ่ง
“แต่จะสำเร็จหรือไม่ และชื่อชั้นของ Bioware จะสามารถกู้คืนมาได้อีกครั้งหรือเปล่า เราก็ต้องรอคำตอบเหล่านั้นในอนาคตต่อไปครับ”