BY Zreast
30 Oct 21 5:56 pm

รู้จักกับ Metaverse ฝันอันไกลที่เหล่านักพัฒนาอยากจะไปให้ถึง

10 Views

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าช่วงนี้ “Metaverse” เป็นคำที่ถูกยกขึ้นมาพูดถึงอยู่บ่อย ๆ ซึ่งล่าสุดก็ยิ่งกลายมาเป็นกระแสบนโลกอินเทอร์เน็ตไปแล้ว หลังจากที่ Facebook รีแบรนด์บริษัทเป็นชื่อ ‘Meta’ เพื่อแสดงจุดยืนในการมุ่งสู่ถนนสายนี้อย่างเต็มตัว

แล้ว Metaverse คืออะไรกันแน่ มันจะเกี่ยวพันกับชีวิตความเป็นอยู่ของเราอย่างไร และจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้แล้วหรือไม่ ขอเชิญมาหาคำตอบเหล่านี้ไปพร้อม ๆ กันในบทความของเรา

“โลกเสมือน” ที่เป็นมากกว่าแค่โซเชียลเน็ตเวิร์ค

แนวคิดเรื่องโลกเสมือนนั้นอยู่คู่กับสื่อบันเทิงมานานแล้ว และ “Metaverse” ก็คืออีกชื่อเรียกหนึ่ง ที่กำลังมีหลาย ๆ บริษัทพยายามจะสร้างโลกเสมือนขึ้นมา ให้เราสามารถเข้าไปมีส่วนร่วม รวมถึงใช้ชีวิตอยู่ในนั้นได้นั่นเอง

สิ่งที่ทำให้ Metaverse ยกระดับขึ้นมาแตกต่างจากโซเชียลเน็ตเวิร์คในปัจจุบัน ก็คือเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น จนสามารถเชื่อมต่อโลกเสมือนเข้ากับโลกความจริง และแทบจะแยกออกจากกันไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

Metaverse อาจมาในรูปแบบของโลก VR ที่โต้ตอบได้อย่างอิสระ หรือไม่ก็เป็นพื้นที่ออนไลน์แห่งหนึ่ง ซึ่งเราสามารถสร้างตัวแทน (Avatar) ขึ้นมา และใช้มันเพื่อออกไปเดินช็อปปิ้ง, ท่องเที่ยว, หาที่อยู่อาศัย, ประชุม, สังสรรค์กับเพื่อนฝูง หรือเล่นเกมได้ ครบจบภายในที่เดียว

ซึ่งภาพอนาคตอันไกลนี้ เหล่านักพัฒนาต่างก็วาดฝันไว้ว่าอยากจะให้ผลงานของตัวเอง สามารถเชื่อมต่อกับ Metaverse ได้กว้างขวางมากที่สุด จับมือร่วมกับบริษัทอื่น ๆ ให้มากที่สุด เพื่อที่ทั่วทั้งโลกจะเชื่อมต่อกันได้จริง ๆ และเมื่อถึงตอนนั้น เราก็เพียงแค่สร้างตัวละครขึ้นมาตัวเดียว ก็สามารถนำมันไปใช้กับเกมไหน หรือใช้กับแอปพลิเคชันไหนก็ได้ทั้งนั้นนั่นเอง

สำหรับชาวเกมแล้ว ก็อาจจะเริ่มได้ยินชื่อของ Metaverse มาจากฝั่ง Epic Games เพราะทางบริษัทมีความความพยายามที่จะผลักดันให้ Metaverse เกิดขึ้นจริงมาได้พักใหญ่แล้ว โดยมีจุดตั้งต้นอยู่ที่เกมฮิตอย่าง Fortnite นั่นเอง ซึ่งปัจจุบันตัวเกมกลายมาเป็นพื้นที่สำหรับให้ผู้เล่นร่วมพบปะ, จัดอีเวนต์, คอนเสิร์ต รวมถึงจัดนิทรรศการต่าง ๆ มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

และเพื่อดึงดูดให้มีคนเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Metaverse ที่พวกเขากำลังสร้าง ทาง Epic ก็เดินหน้าเต็มกำลังในการไปจับมือกับสื่อบันเทิงต่าง ๆ เพื่อดึงมา Crossover ด้วย ซึ่งก็มีหมดแทบทุกแขนง ตั้งแต่วงการเกมด้วยกัน, อนิเมะ, ภาพยนตร์ หรือแม้กระทั่งบุคคล/นักกีฬาที่มีชื่อเสียง ก็เข้ามาร่วมเป็นสกินตัวละคร เพิ่มสีสันให้กับเกมนี้ได้เรื่อย ๆ

อย่างไรก็ดี Metaverse ไม่ได้เกี่ยวข้องแค่กับเกมเท่านั้น เพราะมันคือการใช้ชีวิตที่มีมิติอันหลากหลาย ณ โลกเสมือนที่ถูกสร้างขึ้น ดังนั้นจึงไม่ได้มีแค่บริษัทอย่าง Epic Games ที่ตั้งเป้าจะทำมันให้สำเร็จอยู่เพียงที่เดียวแต่อย่างใด

Facebook เริ่มขยับตัวแบบเป็นทางการ

Facebook เองก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่เผยสัญญาณมาแล้วหลายครั้งว่าพวกเขากำลังพยายามจะสร้างโลก Metaverse ขึ้นมา ตั้งแต่การเข้าซื้อบริษัทผลิตอุปกรณ์ VR อย่าง Oculus, การพัฒนาแพลตฟอร์มโลกเสมือนในชื่อ Facebook Horizon ไปจนถึงล่าสุดที่เราทราบข่าวกัน ก็คือการรีแบรนด์ชื่อบริษัทมาเป็น ‘Meta’ อย่างเต็มตัว

จากเดิมที่ Oculus Quest ขึ้นชื่อในเรื่องของความเข้าถึงได้ง่าย และมีราคาที่ไม่แพงจนเกินไป ทางบริษัทก็ต่อยอดขึ้นมาเพื่อเตรียมวางขายแว่น Oculus รุ่น High End ที่จะมายกระดับความสมจริง และทำให้เราเข้าใกล้ Metaverse ในอุดมคติมากขึ้นไปได้อีก และก็คาดว่าจะเริ่มมีบริการ VR เกิดขึ้นอย่างจริงจังได้ในช่วง 5 ปีนับจากนี้

โดยสำหรับโปรเจกต์ลำดับแรกที่ Meta ประกาศอย่างเป็นทางการ ก็คือแอปพลิเคชันสายฟิตเนส ที่ไปจับมือร่วมกับทีมผู้สร้างแพลตฟอร์มดังอย่าง Supernatural ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการทำ VR สายสุขภาพ (คาร์ดิโอ, ชกมวย) และจะมีการเปิดตัวออกมาอีกครั้งในอนาคต

เชื่อว่า Facebook เองก็น่าจะเห็นภาพที่ชัดเจนแล้วว่าพวกเขาจะทำให้ Metaverse เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เพราะปัจจุบันนี้ มนุษย์สามารถที่จะนำเอา “เงิน” ขึ้นไปอยู่บนโลกดิจิทัลได้แล้วจริง ๆ ในรูปแบบของ Cryptocurrency จนสามารถที่จะโอนเงินข้ามประเทศได้ภายในระยะเวลาไม่กี่นาทีแล้ว อีกทั้งยังมีการมาถึงของ NFT ที่ทำให้เราสามารถเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัลได้ และพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ในโลกดิจิทัลมากขึ้นไปกว่าที่เคย

ซึ่งเมื่อเราทราบแล้วว่ามันพร้อม และมีความปลอดภัย การจะต่อยอดสู่แอปพลิเคชันจริง ๆ ก็จะไม่ใช่เรื่องที่น่าเป็นห่วงอีกต่อไป

ทั้งนี้ก็ต้องรอติดตามความเคลื่อนไหวว่า ‘Meta’ จะทำ Metaverse ออกมาอย่างไรกันแน่ ระหว่างทำเป็นแอปพลิเคชันบนเครือข่ายที่มีอยู่แล้ว (เช่น Ethereum) หรือเลือกใช้ระบบภายในของตนเอง ซึ่งหากเป็นอย่างหลัง ก็น่าสนใจว่าพวกเขาจะเปิดกว้างให้นักพัฒนารายอื่น ๆ เชื่อมต่อโลกเข้าด้วยกันได้ด้วยหรือไม่

ตัวอย่างของ Metaverse ในสื่อบันเทิง

Nosedive – Black Mirror (Season 3)

Metaverse ยังเป็นเพียงแค่แนวคิด ทำให้ปัจจุบันยังไม่มีนิยามที่ตรงกันสักเท่าไรนัก รวมถึงยังไม่มีตัวอย่างชัดเจนในโลกแห่งความเป็นจริงด้วย แต่กลับกัน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เลยในแวดวงสื่อบันเทิง โดยเฉพาะกับเรื่องราวแนววิทยาศาสตร์ ที่มักจะมีแนวคิดของ “โลกเสมือน” ใส่เข้ามาให้เราได้ชมอยู่บ่อยครั้ง

ซึ่งตัวอย่างที่อาจจะดูแปลกตาไปสักหน่อย แต่เราแนะนำว่าเป็นเรื่องที่ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนมาก ๆ ก็คือภาพยนตร์แอนิเมชันชื่อดังอย่าง Summer Wars นั่นเอง

Summer Wars บอกเล่าแนวคิดของโลกเสมือน ที่เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนอย่างกลมกลืน ซึ่งทุก ๆ คนจะมีตัวละคร Avatar เป็นของตัวเอง และใช้มันเพื่อเล่นเกม, ดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวัน, ควบคุมระบบสาธารณูปโภค และอื่น ๆ อีกมากมาย

แม้ว่าความเป็น Metaverse ของเรื่องนี้จะไม่ใช่โลกเสมือนที่เป็น VR เต็มรูปแบบ แต่ก็มีจุดที่นำเสนอให้เห็นว่าเมื่อเกิดภัยอันตรายบางอย่างขึ้นมา มันสามารถส่งผลถึงโลกความเป็นจริงได้ทันที ตั้งแต่ปัญหาเล็ก ๆ อย่างการรบกวนระบบสื่อสาร ลามไปจนถึงการควบคุมจรวดขีปนาวุธให้พุ่งชนพื้นโลกได้เลย เพราะนี่คือโลกที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกันได้จนแทบจะสนิทแนบเนียนกันแล้ว

ตัดภาพมาที่ฝั่งของวงการ VTuber ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วงปีหลัง ๆ มานี้มีความเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ส่วนหนึ่งก็มาจากสภาวะที่เราต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติโรคระบาด ทำให้ออกไปนอกเคหะสถานได้ยากกว่าเดิม การเสพสื่อบันเทิงเหล่านี้จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่หลายคนสนใจ

ซึ่งบริษัทชั้นนำของวงการอย่าง COVER Corporation (สังกัด hololive) ก็ไม่ได้จะปล่อยให้ VTuber หยุดนิ่งอยู่แค่แต่ใน YouTube เท่านั้น หากแต่มีความพยายามจะทำโปรเจกต์ Metaverse ขึ้นมาให้เป็นรูปเป็นร่างแล้ว เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของ “hololive Alternative” ให้ชัดเจนขึ้นอีกระดับ

hololive Alternative มีจุดมุ่งหมายหลักที่จะสร้าง “Holoearth” ให้แฟน ๆ เข้ามาร่วมสนุกอย่างใกล้ชิด ซึ่งภายในโลกเสมือนแห่งนี้ เราจะสามารถสร้างตัวละคร และเข้าไปชมการแสดงสดจากเหล่า VTuber ในสังกัด รวมถึงร่วมเล่นเกม Open-world แนว Sandbox ที่ผู้เล่นจะสามารถออกไปผจญภัย ต่อสู้กับมอนสเตอร์ และสร้างบ้านเพื่ออยู่อาศัยได้ เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของ Holoearth จริง ๆ

แม้ว่าโปรเจกต์นี้จะยังไม่เกิดขึ้นมา และต้องใช้เวลาพัฒนาอีกราว ๆ 1-2 ปี แต่ก็ถือเป็นหนึ่งก้าวสำคัญที่น่าจับตามองสำหรับแวดวงไลฟ์สตรีมมิ่ง ว่าต่อจากนี้มันจะมาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเลือกดูสตรีมเมอร์ของเราไปได้มากน้อยเพียงใด

เป้าหมายของหลาย ๆ โปรเจกต์บน Blockchain

จะบอกว่า Metaverse เข้าใกล้ความเป็นจริงได้เพราะ Blockchain ก็ไม่ผิดไปเสียทีเดียว เพราะระบบที่มีความปลอดภัยและไร้ศูนย์กลางนั้นถือเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ๆ ที่จะทำให้ผู้คนให้ความเชื่อถือ และอยากมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโลกเสมือน

ปัจจุบันมีหลายเกมบนระบบ Blockchain ที่พยายามจะผลักดันให้เกิด Metaverse ในรูปแบบของตัวเองขึ้นมา และหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนก็คือ The Sandbox ซึ่งเหล่าผู้เล่นสามารถเข้ามาจับจอง “ที่ดิน” ในโลกเสมือนแห่งนี้ได้

โดยที่ดินภายในเกม จะมีการแบ่งขายเป็นแปลง (Plot) เพื่อรอให้ถึงวันที่ตัวเกมเปิดให้บริการ ก็จะได้นำที่ดินเหล่านี้มาสร้างโลกย่อย ๆ (คล้ายคลึงกันกับ Minecraft) หรือสร้างมินิเกมขึ้นมาในแบบของตัวเอง

ระบบจับจองที่ดินยังพบได้ในอีกหลาย ๆ เกมบน Blockchain ด้วยเช่นกัน ทั้ง Decentraland, Ember Sword, Axie Infinity และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งด้วยความที่ทุกอย่างนั้นไร้ซึ่งศูนย์กลาง ไร้พรมแดน ก็ทำให้มีโอกาสที่โลกของเกมเหล่านี้จะสามารถเชื่อมต่อกันได้ในอนาคต

ฝันอันไกล แต่อาจไม่นานอย่างที่คิด

โลกดิจิทัลในวันข้างหน้า กำลังจะทำลายข้อจำกัดเดิม ๆ ของโลกแห่งความเป็นจริง นี่จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับฝั่งผู้ใช้งานที่จะศึกษาและเตรียมพร้อมปรับตัวเข้าหามัน ขณะที่ฝั่งผู้พัฒนาก็มีเครื่องไม้เครื่องมือใหม่ ๆ พร้อมสนับสนุนให้พวกเขาสร้างสรรค์โลกแห่งนี้ขึ้นมาได้รวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้ว

เทคโนโลยีปัจจุบันไม่เคยหยุดอยู่กับที่ จนมีคำกล่าวว่าแค่คุณไม่ได้ติดตามสัก 1-2 วัน ก็อาจจะตกเทรนด์ไปแล้วเรียบร้อย เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่า Metaverse จะยังอีกยาวไกล แต่โลกก็กำลังหมุนอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน จึงไม่แน่ว่า “ฝัน” นี้ อาจจะมาถึงไวกว่าที่คิดก็เป็นได้

เพราะมันอาจจะเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ก่อน และท้ายที่สุดก็ค่อย ๆ กลืนเข้ามา จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันเราไปโดยไม่รู้ตัว เหมือนอย่างที่อินเทอร์เน็ตเคยยึดครองโลกจนสำเร็จไปได้แล้วก่อนหน้านี้

“โลกเสมือนแห่งความเป็นไปได้อันไร้สิ้นสุด ที่คุณสามารถเป็นใคร มีหน้าตาอย่างไร และทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น” สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไปแล้ว และเราจะมาจับตาดูยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ไปพร้อม ๆ กัน

Satthathan Chanchartree

ฟ่าง - Content Writer

Back to top