BY StolenHeart
21 Jul 18 4:29 pm

Mortal Kombat กับอิมแพคต่อสาธารณะชน

9 Views

ก้าวย่างของเกมต่อสู้เลือดสาดกับความเปลี่ยนแปลงต่อวงการ

ถ้าหากเราพูดถึงเกมต่อสู้ เกมแรกๆที่เราจะนึกถึงกันก่อน คงหนีไม่พ้นเกมจากฝั่งญี่ปุ่นแน่นอน ทั้ง Street Fighter, Tekken The King of Fighters หรือกระทั้ง Dead or Alive เองก็เป็นเกมที่มีทีมงานชาวญี่ปุ่นเป็นผู้พัฒนาเป็นหลัก และหลายเกมต่างก็ได้รับความนิยมจนติดลมบน แต่แม้ท่ามกลางเกมต่อสู้ที่เต็มไปด้วยเกมจากเกาะญี่ปุ่น ก็ยังมีเกมต่อสู้จากฝั่งตะวันตกที่ยืนหยัดขึ้นมาอยู่แถวหน้ากับเขาได้

เกมนั้นก็คือ Mortal Kombat นั้นเอง

ขอเล่าย้อนกลับไปในสมัยอดีตเมื่อประมาณยี่สิบกว่าปีก่อน ในปี 1991 การมาของเกมต่อสู้ระดับตำนาน Street Fighter II ทำให้ความนิยมของเกมต่อสู้พุ่งขึ้นไปถึงขีดสุด ไม่ว่าจะร้านเกม ห้างสรรพสินค้า บาร์เหล้า หรือร้านซักรีด ทุกทีต่างมีเกมนี้ให้บริการทั้งสิ้น และแน่นอนว่าหลังจากความสำเร็จของมันทำให้มีเกมลอกเลียนแบบออกตามมาอีกเป็นกระบุง ซึ่งในยุคนั้นเราแทบไม่ต้องห่วงเลยว่าจะไม่มีเกมต่อสู้เกมใหม่ให้เล่น บางเกมเกิดมาก็ดับไปเลย ส่วนหลายเกมก็หาแนวทางให้ตัวเองและไปต่อได้ก็มีมากมาย ซึ่ง Mortal Kombat คือหนึ่งในเกมที่สามารถไปต่อและหาแนวทางที่เป็นตัวของตัวเองได้

ถ้าเป็นสมัยก่อน ใครๆก็เล่น Mortal Kombat ที่ร้านเกมตู้กันแทบทั้งนั้น

Mortal Kombat เป็นผลงานของ Midway Games Chicago(ปัจจุบันนี้สร้างโดยทีม NetherRealm Studios)โดยภาคแรกเปิดให้เล่นครั้งแรกในปี 1992 บนระบบ Arcade หรือเกมตู้ ดูเผินๆมันเป็นเกมต่อสู้ที่ระบบการเล่นที่ขัดใจมากๆ ท่าคอมโบก็แทบไม่มี กดท่าก็ยากเพราะมันไม่ใช้การกดควงหรือกดค้างแบบที่เคยเล่นใน Street Fighter อาศัยการชิงจังหวะออกท่ากันอย่างเดียว

คลิปเบื้องหลังการทำ Motion Capture ของเกมภาคแรก ถ่ายกันสดๆจะๆแบบนี้กันเลย

แต่ที่น่าสนใจคือ ตัวเกมมีระบบสังหารคู่ต่อสู้ หรือ Fatality ในช่วงตอนจบยกสุดท้าย ให้ผู้เล่นออกท่าสังหารสุดพิสดารอย่างควักหัวใจ ดึงกระดูกสันหลัง พ่นไฟจนเหลือแต่กระดูก และอื่นๆอีกมากมายพร้อมด้วยความรุนแรงที่สุดจะจินตนาการ(เท่าที่เทคโนโลยีสมัยนั้นจะเนรมิตออกมาได้) ยิ่งมันได้ภาพกราฟฟิกที่ทำ Motion Capture มาจากคนจริงๆก็ทำให้มันดูสมจริงกว่าเดิม และนั้นทำให้มันกลายเป็นที่สนใจขึ้นมาในทันที ผู้เล่นหลายคนรู้สึกสะใจและชื่นชอบระบบนี้มาก เพราะเหมือนกับว่าเราได้มีชัยเหนือคู่ต่อสู้จริงๆ ไม่ใช่แค่ซัดจนหมอบเท่านั้น

หนึ่งในท่าสังหารศัตรู หรือ Faltality สุดโหดของเกมนี้

ที่มาของระบบนี้ผู้สร้างอย่าง Ed Boon เคยให้สัมภาษณ์เมื่อไม่นานมานี้ว่า เขาเห็นว่าบางเกมใส่ระบบ Stun หรืออาการมึนถ้าหากถูกอัดมากเกินไป ซึ่งเขานั้นทั้งชอบและเกลียดระบบนี้พอๆกัน ชอบเพราะว่าเราจะรู้สึกมีชัยเหนือคู่ต่อสู้ และไม่ชอบที่มันเป็นการกดคนเล่นที่ไม่ค่อยเก่งให้เสียเปรียบมากขึ้น และด้วยความที่เขาชอบมันและไม่อยากให้ผู้เล่นที่ไม่เก่งรู้สึกเสียเปรียบ เขาจึงเอาไปใส่ไว้ในช่วงท้ายแทน แล้วให้ผู้เล่นออกท่าสังหารตามใจชอบ แบบนั้นจะเป็นการดีกว่า ซึ่งว่ากันตามจริง นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีทีเดียว

Ed Boon หนึ่งในผู้ให้กำเนิดซีรีส์ Mortal Kombat ให้โด่งดังมาจนทุกวันนี้

แต่แน่นอนว่า ด้วยท่วงท่าการต่อสู้และสังหารที่รุนแรงเกินพอดีนี้ทำให้คนทั่วไปที่ไม่เล่นเกมและผู้ปกครองต่างเป็นกังวล ว่านี่คือการบ่มเพาะความรุนแรง สื่อมวลชนและนักการเมืองต่างออกโรงต่อต้านความรุนแรงที่เกินพอดีโดยมีที่มาจาก Mortal Kombat ร้องขอให้มีการควบคุมการซื้อเกมที่มีความรุนแรงเหล่านี้ และจำกัดการเข้าถึงพื้นที่ห้างร้านที่มีเกมรุนแรงไม่ให้เด็กและเยาวชนเข้าใช้บริการโดยไม่มีคำชี้แนะจากผู้ปกครอง และเพราะด้วยเหตุนี้ ทางสหรัฐอเมริกาจึงมีการจัดตั้งหน่วยงานสำหรับจัดเรทของเกมหรือ ESRB ที่เรารู้จักกันดีขึ้นมาเพื่อสองส่องเนื้อหาของเกมในปี 1994 ถือเป็นความอิมแพคที่เกมๆหนึ่งจะกระตุ้นให้สังคมเกิดความตื่นตัวในการสอดส่องเนื้อหาของเกมให้รัดกุมเพื่อความสบายใจของผู้ปกครองที่ซื้อหาเกมมาให้บุตรหลานของตนเล่น

หนึ่งในสกู๊ปข่าวเกี่ยวกับเกม Mortal Kombat ในสมัยนั้น เรียกว่าเนื้อหาไม่ค่อยต่างจากเรื่องผู้ใหญ่แบนเกมในบ้านเราสมัยนี้เท่าไหร่นัก

ส่วนในบ้านเรานั้น ความนิยมของ Mortal Kombat ค่อนข้างจะจำกัดเสียหน่อย เพราะส่วนใหญ่ผู้เล่นชาวไทยจะให้ความสนใจเกมจากฝั่งญี่ปุ่นกันเสียมากกว่า แถมเวอร์ชั่นเกมตู้ก็หาเล่นได้ยากและไม่มีคนนิยมเท่าเกมต่อสู้เกมอื่นๆเท่าใดนัก สำหรับผู้เขียนในตอนนั้นถ้าเลือกได้จะอยากเล่นเกมอย่าง Street Fighter หรือ Samurai Showdown เสียมากกว่า และอีกอย่างคือเกมภาคแรกๆมันก็ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ แถมไม่ค่อยมีคนมาหยอดเล่นด้วย

แต่อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เกมได้รับความนิยมมากขึ้นก็คือภาพยนตร์ที่ออกฉายนั้นเอง ซึ่ง Mortal Kombat ที่ออกฉายในปี 1995 นั้นทำออกมาได้ดีเกินคาดมากๆ ซึ่งตัวหนังก็ทำรายในช่วงเปิดตัวที่ 23 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 18 ล้านเหรียญ และรายได้รวมทั่วโลกที่กวาดไปถึง 122 ล้านเหรียญ อีกทั้งตัวหนังก็ยังมันส์และถอดแบบตัวละครมาจากในเกมได้เหมาะสมมากๆอีกด้วย เรียกว่านี่คือหนังที่สร้างจากเกมส่วนน้อยที่ไม่ถูกคำสาปที่ว่า หนังที่สร้างจากเกมจะกากเสมออีกด้วย(แม้ภาคต่อของมันจะเจ๊งบ่งไม่เป็นท่าก็ตาม)

Scorpion เวอร์ชั่นหนังโรงที่บอกได้เลยว่าเท่และเหมือนในเกมมากๆ

ในปัจจุบันนี้เกม Mortal Kombat ก็ดำเนินมาจนถึงภาคที่สิบหรือภาค X หลังจากที่พ้นจากภาคสามเป็นต้นมา ตัวเกมก็ออกอ่าวออกทะเลจนกู่ไม่กลับ เนื้อเรื่องก็มั่วบัดซบจนไม่รู้ว่ามันจะแถอะไรไปได้อีก จนกระทั้งในภาคเก้าวางจำหน่ายในปี 2011 ที่ช่วยให้ภาพรวมของเกมดูดีขึ้นมาก เพราะเนื้อเรื่องได้ถูก Reboot ใหม่และในโหมดเนื้อเรื่องของเกมภาคนี้ได้ใส่การเล่าเรื่องแบบ Full CG Render เข้ามาซึ่งนั้นเป็นไอเดียที่สดใหม่มากสำหรับเกมต่อสู้เพราะยังไม่มีเกมไหนทำมาก่อน สมัยนู้นอย่างมากก็ใช้แค่ภาพวาดแทรก หรือเป็น CG ฉากจบที่สวยงามในตอนท้ายเท่านั้น ไม่ได้ใส่มาเต็มเรื่องแบบภาพยนตร์อย่างที่ Mortal Kombat ทำ จนเกมต่อสู้หลายเกมเริ่มเอาอย่างบ้าง ระบบการต่อท่าและการชิงจังหวะก็ทำได้ดีขึ้นตามเวลา และเป็นเกมที่แฟนๆต่างจับตามองว่าหลังจากภาค X แล้วจะมีภาคต่ออีกครั้งเมื่อไหร่ ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าเวลานั้นคงอาจจะอีกไม่นานแน่นอน แม้ในเวลานี้เรื่องความรุนแรงในเกม Mortal Kombat จะไม่ได้เป็นประเด็นหนักหนาเท่าสมัยก่อน แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ถ้าหากไม่มีเกมนี้ การจัดเรทของวงการวิดีโอเกมในปัจจุบันอาจจะไม่ชัดเจนเท่านี้ก็เป็นได้ครับ

Errmac หนึ่งในตัวละครที่มีที่มาจากโค้ด Glitch ในเกมที่ถูกแฟนๆเข้าใจผิดว่าเป็นตัวละครลับ

Fun fact : อีกหนึ่งเสน่ห์ที่แฟนๆจำได้จากเกมนี้คือ Easter Egg ที่ปรากฏในชื่อของตัวละครหลายตัวในเกม เช่นชื่อตัวละคร Noob Saibot ที่เป็นนินจาเงาตัวดำปี๋ในเกมภาค 2 นั้น มาจากการนำชื่อของสองผู้สร้างเกมอย่าง Ed Boon และ John Tobias มาสะกดกลับหลัง ส่วน Ermac มาจากที่แฟนๆได้ไปเห็น Text ในหน้าเมนูของเกมเวอร์ชั่นอาเคตคำว่า Ermac ที่เป็น Glitch ในเกม จนเข้าใจผิดว่าเป็นตัวละครใหม่ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ แต่สุดท้ายด้วยความกวนโอ้ยของทีมงาน(หรืออาจจะเพราะเสียงของแฟนๆเกมก็ดี) ทางทีมงานเลยใส่นินจาสีแดงตัวนี้เข้ามาในเกมซะเลยครับ

Putinart Wongprajan

เค้ก - Content Writer

Back to top