อย่างที่หลายคนทราบกันดี Need for Speed เป็นตระกูลเกมแข่งรถของ EA ที่อยู่คู่ชาวเกมเมอร์มานานหลายปี โดยแฟน ๆ ทุกคนล้วนมีเกม NFS ภาคในดวงใจที่แตกต่างกัน แต่มีเกมภาคหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยถูกพูดถึงกันเท่าไหร่ นั่นคือ Need for Speed: ProStreet เกมภาคที่ฉีกแนวคิดจากธีมแข่งรถแบบผิดกฎหมายอย่างสิ้นเชิง
รู้จัก NFS: ProStreet หนึ่งในเกม NFS ที่พยายามฉีกแนวจากของเดิม
Need for Speed คือเกม Racing ที่มีชื่อเสียงเรื่องการนำเสนอ “Illegal Street Racing” การแข่งรถบนท้องถนนในโลกใต้ดิน หรือแบบผิดกฎหมายมานาน นับตั้งแต่ NFS ภาค Underground, Most Wanted และ Carbon ทุกคนล้วนมีความประทับใจในตัวเกมดังกล่าว เพราะมีธีมเน้นการแข่งรถแบบผิดกฎหมาย ซึ่งแม้เกมอื่น ๆ จะพยายามตามเทรนด์ NFS มากแค่ไหน สุดท้าย ก็ไม่มีเกมไหนสามารถสู้คุณภาพ และสนุกสนานเท่ากับเกมตระกูลนี้ได้
แต่แน่นอน การผลิตเกมแข่งรถแบบผิดกฎหมายซ้ำ ๆ หลายภาค ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เกมเมอร์ หรือนักพัฒนาเกมบางคน จะมีความรู้สึกเอือมระอากับธีมเดิม ๆ เหมือนกับเกมตระกูล Call of Duty ที่เปลี่ยนหันมาทำเกม FPS ธีมสงครามยุคปัจจุบัน เนื่องจากแฟน ๆ เบื่อหน่ายกับเกมยิงสงครามโลกครั้งที่สอง
อ้างอิงจาก Andrew Hahn โปรดิวเซอร์ของทีมพัฒนาเกม EA Black Box สาเหตุหลักที่ NFS: ProStreet เปลี่ยนธีมเป็นเกมแข่งรถแบบถูกกฎหมาย เพราะในช่วงปี 2006-2007 ตอนนั้นประเทศแคนาดา มีการปราบปรามการแข่งรถผิดกฎหมายอย่างหนัก ด้วยการเพิ่มบทลงโทษให้รุนแรงขึ้น ตั้งแต่สั่งปรับเงินถึง 10,000 เหรียญฯ, ถูกยึดใบขับขี่ห้ามขับรถ 2 ปีเป็นอย่างต่ำ และรถยนต์จะถูกยึดโดยทันที หากมีความผิดจริง
ด้วยกฎหมายที่เข้มงวดมากขึ้น ทำให้นักแข่งหลายคน เริ่มตีออกห่างจากการแข่งรถบนท้องถนน แล้วหันมาแข่งรถแบบถูกกฎหมายมากขึ้น จนเกิดเป็นอีเวนต์ Meeting ขนาดเล็ก หรืออีเวนต์ Festival เน้นการแข่งรถที่มีขนาดใหญ่ เนื่องจาก NFS เป็นเกมที่ติดตามเทรนด์ Car Culture มาโดยตลอด ทีมพัฒนาเกมจึงตัดสินใจลองเปลี่ยน NFS ให้กลายเป็นเกมแข่งรถแบบถูกกฎหมายสักภาคหนึ่ง ซึ่งสุดท้าย ก็ได้ถือกำเนิดเป็นเกมภาค ProStreet ในที่สุด
เนื่องจาก ProStreet เป็นการแข่งรถแบบถูกกฎหมาย ก็หมายความว่าภาคนี้ไม่มีระบบการหลบหนีจากตำรวจเหมือนภาค Most Wanted กับ Carbon, ไม่มีแผนที่ Open-World และไม่ต้องหลบรถที่สัญจรไปมา ทำให้การแข่งขันท้าประลองความเร็วในภาค ProStreet เปรียบเสมือนเป็น “Proving Ground” สนามสำหรับท้าพิสูจน์ระหว่างนักแข่งด้วยกันเองแบบแฟร์ ๆ ไม่มีตำรวจมาก่อกวน ไม่มีรถสัญจรไปมาที่สร้างความรำคาญ ผู้แพ้ชนะวัดกันที่ฝีมือจริง ๆ ไม่มีโชคมาเข้าข้าง
แน่นอน เนื่องจาก ProStreet เป็นเกม NFS ภาคแรกที่ลงให้กับเกมคอนโซล PlayStation 3 กับ Xbox 360 ทีมงาน EA Black Box จึงอาศัยความทรงพลังของฮาร์ดแคร์ในเกมคอนโซลยุคใหม่ ผลักดันคุณภาพกราฟิกโดยรวมให้มีรายละเอียดสมจริงทั้งสภาพแวดล้อม โมเดลรถยนต์ พร้อมออกแบบฟิสิกส์การขับรถแบบใหม่ ที่เป็นการผสมผสานกันระหว่างระบบการขับรถแบบสมจริง (Simulation) และการขับรถสไตล์อาร์เคดเน้นความมันเป็นหลัก (Arcade)
รวมไปถึงรถยนต์แต่ละคัน เริ่มมีการแบ่ง Tier ประสิทธิภาพที่ชัดเจนมากขึ้น และเพิ่มข้อจำกัดว่ารถที่ขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า (FWD) จะไม่สามารถเข้าแข่งขันในรายการดริฟต์ได้อีกต่อไป ซึ่งก็ถือว่าเรื่องสมเหตุสมผล เพราะในชีวิตจริง รถขับเคลื่อนด้วยล้อหน้ามันไม่เหมาะกับการดริฟต์ตั้งแต่แรกแล้ว
สุดท้าย NFS: ProStreet ได้ยกระดับระบบการอัปเกรดรถยนต์ ให้ผู้เล่นสามารถเอาลวดลายมาแปะทับซ้อนเลเยอร์หลายชั้นจนกลายเป็นลายรถยนต์สุดเอกลักษณ์, การต่อเติมพาร์ท จะส่งผลต่ออากาศพลศาสตร์ของรถ (Aero Dynamic) และมีตัวเลือกการจูนรถ ที่หลากหลายออปชั่นมากกว่าเกมภาคก่อนอย่างเห็นได้ชัดเจน
NFS: ProStreet ออกวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี 2007 ในระบบ PlayStation 3, PlayStation 2 และ Xbox 360 แล้วตามด้วยเวอร์ชัน PC, Nintendo Wii และเกมพกพา PSP, Nintendo DS ซึ่งออกวางขายในภายหลัง
แม้เกมภาค ProStreet ทำยอดขายได้รวมทั้งหมดราว 5 ล้านชุดทั่วโลก ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขยอดขายที่สูงมากสำหรับเกมประเภทแข่งรถ แต่ก็ยังไม่เป็นไปตามที่ EA คาดหวังไว้ รวมถึงเกมดังกล่าว มีกระแสตอบรับจากผู้เล่นที่มีทั้งคนชอบ กับคนไม่ชอบผสมปะปนกัน ส่งผลทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในเกม NFS ที่มีเสียงแตก และไม่ค่อยถูกพูดถึงในสังคมเกม Racing สักเท่าไหร่นัก
เนื่องจากเกมเมอร์หลายคนยังติดภาพลักษณ์ว่า NFS ต้องเป็นเกมแข่งรถแบบผิดกฎหมาย แถม ProStreet ได้ตัดฟีเจอร์ระบบหนีจากตำรวจ, แผนที่ Open-World และใช้ระบบการขับรถที่สมจริงกว่าภาคก่อน ก็ทำให้แฟน ๆ บางส่วนตัดสินใจมองข้ามภาคนี้ไป เพราะเป็นเกมที่ไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาได้
นอกจากนี้ เพราะเกมภาค ProStreet ไม่มีแผนที่ Open-World กลายการแข่งรถแบบถูกกฎหมายอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้การแข่งส่วนใหญ่ ล้วนต้องลงในสนามแบบปิด ด้วยจำนวนสนามแข่งที่ค่อนข้างมีจำกัด และการออกแบบสนามไม่ได้มีดีไซน์หลากหลายเหมือนภาคก่อน ๆ ทำให้เกมมีความ Repetitive (ซ้ำซาก) จึงไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่แฟน ๆ บางคนมองว่าเกมนี้เล่นแล้วรู้สึกน่าเบื่อ ไม่สนุกเหมือนภาคก่อน
แต่หากมองข้ามข้อเสียต่าง ๆ และความคาดหวังของแฟน ๆ ไปได้ ความจริงแล้ว ภาค ProStreet ก็จัดว่าเป็นเกมดีภาคหนึ่งที่สมควรได้รับการกล่าวถึงมากกว่านี้ เพราะมีการนำเสนอสิ่งใหม่ ๆ มากมายที่แตกต่างจากภาคก่อนอย่างเห็นได้ชัด ภาพกราฟิกก็ถือว่างดงามสำหรับเกมปี 2007 รวมถึงระบบการควบคุมรถแบบใหม่ ก็ถือว่าออกแบบให้มีความรู้สึกระหว่างการขับที่ดี หากปรับตัวเข้ากับเกมได้แล้ว และแน่นอน นี่อาจเป็นเกม Need for Speed ที่มีความท้าทายที่สุด เพราะรถของเราสามารถพังเสียหายได้ในทุกโหมดการแข่ง
Speedtrap Race ยกให้เป็นโหมดเกมที่ท้าทาย และเร้าใจที่สุดในภาค ProStreet
ถึงอย่างนั้น แม้ ProStreet ไม่ใช่ภาคที่แฟน ๆ บางส่วนต้องการ แต่เกมเมอร์หลายคน ก็กล่าวชื่นชมในความพยายามของ EA กับ Black Box ที่อยากจะลองสร้างสิ่งใหม่ ๆ ที่แตกต่างจากของเดิม แม้ไม่ใช่เกม NFS ที่ดีที่สุด แต่เป็นสัญญาณที่บอกว่าเกมตระกูลดังกล่าว สามารถพัฒนาต่อยอดให้กลายเป็นเกมแข่งรถสไตล์ใหม่ ๆ ในอนาคต และจะไม่ยึดติดกับของเดิมตลอดไป