หากเราพูดถึงค่ายเกมที่ฝากผลงานเกม RPG ที่ประทับใจผู้เล่นไว้อย่างมากมาย ชื่อของ Obsidian Entertainment น่าจะเป็นชื่อแรกที่หลายคนนึกถึง ด้วยผลงานเกมภาษาระดับตำนานมากมาย และผลงานล่าสุดอย่าง The Outer Worlds เองก็เป็นเกมที่ยอดเยี่ยมเช่นเคย แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ Obsidian เองก็ต้องผ่านอะไรมามากมายเหมือนกัน และวันนี้เราจะมาย้อนความดูกันว่าค่ายเกมระดับตำนานแห่งนี้ได้เจอกับอะไร และหล่อหลอมให้พวกเขาอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้
เหล่านักพัฒนาชั้นเยี่ยมที่กลับมารวมตัวกัน
Obsidian Entertainment ก่อตั้งขึ้นในปี 2003 โดยกลุ่มนักพัฒนาเกม RPG ชั้นครู อดีตศิษย์เก่าของค่าย Black Isle Studios ผู้ฝากผลงาน RPG ระดับตำนานมากมายเช่น Fallout, Icewind Dale. Baldur Gate และ Planescape: Torment ที่ล้วนเป็นเกม RPG ฝั่งตะวันตกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งยุคทั้งสิ้น
หลังการล่มสลายของ Black Isle เพราะบริษัทแม่อย่าง Interplay ประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนักในปี 2003 อดีตทีมงานของ Black Isle อย่าง Feargus Urquhart, Chris Avellone, Chris Parker, Darren Monahan และ Chris Jones ได้รวมตัวก่อตั้ง Obsidian เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ในการสร้างเกม RPG ชั้นยอดต่อไป
และผลงานแรกของพวกเขาที่ได้ฝากเอาไว้ในวงการก็คือ Star Wars: Knights of The Old Republic 2 ที่เป็นเสมือนผลงานแจ้งเกิดและสร้างความประทับใจให้ทั้งแฟนเกม RPG และ Star Wars อย่างมาก ด้วยการเขียนบทและเรื่องราวที่น่าประทับใจ จนถูกยกย่องว่าเป็นเกม Star Wars ที่ดีที่สุดในโลกอยู่ช่วงหนึ่งกันเลย
ต่อมา Obsidian ก็ได้พัฒนาและวางจำหน่ายเกม RPG และแนวอื่น ๆ ต่อไปตามที่ตั้งใจ มีที่ยอดเยี่ยมบ้างเช่น Neverwinter Nights 2 และมีที่แป้กไปบ้างอย่าง Alpha Protocol แต่พวกเขาก็ไม่ย่อท้อและยึดมั่นในการสร้างเกมอย่างที่ใจต้องการเสมอมา
จนกระทั่งพวกเขาได้รับโอกาสในการทำโปรเจกต์เกมที่พวกเขาคุ้นเคยมานานนั่นก็คือ Fallout: New Vegas นั่นเอง
สำหรับคนที่ลืมไปแล้วก็ต้องขอเล่าย้อนอดีตไปเสียหน่อย Fallout นั้นเดิมทีมีผู้ถือลิขสิทธิ์ในชื่อนี้คือ Interplay และทาง Bethesda ก็ได้ซื้อลิขสิทธิ์ไปสานต่อ กลายมาเป็น Fallout 3 ที่หลายคนทึ่งในความแปลกใหม่และประสบความสำเร็จไปไม่น้อย แม้แฟนเก่าของ Fallout จะไม่ค่อยชอบมากนักเพราะบรรยากาศเดิม ๆ ของ Fallout ได้หายไปจนเกือบหมด แต่ก็ได้แฟนเกมกลุ่มใหม่มารู้จักเกมนี้กันมากขึ้นด้วย
ไม่กี่ปีต่อมา Obsidian ก็ได้รับโอกาสสานต่อซีรีส์ Fallout อีกครั้ง เปรียบเสมือนงานคืนสู่เหย้าที่เหล่าศิษย์เก่าจาก Black Isle จะได้กลับมาพบกับซีรีส์ที่พวกเขารักอีกครั้ง และมันก็เป็นตามนั้นจริง ๆ เพราะ Fallout: New Vegas คือการนำข้อมูลและเนื้อหาของ Fallout 3 ตัวเดิมที่มีชื่อว่า Project Van Buren มาทำใหม่ให้ทันสมัยมากขึ้น และมีหลายนอย่างที่ Fallout 3 ขาดไป
หลังจาก Fallout: New Vegas วางจำหน่าย มันก็ได้กลายเป็นเกมโปรดของทั้งแฟน Fallout รุ่นเก่าและใหม่ในทันที ด้วยระบบการเล่นที่เข้ากับยุคสมัย เนื้อเรื่องที่ไม่เป็นเส้นตรง ฝักฝ่ายมากมายให้เข้าร่วม เป็นเกม RPG อย่างแท้จริงแบบที่ Fallout ควรจะเป็น
เกมดีแต่ Bug เพียบ และอุปสรรคทางการเงิน
แน่นอนว่าแม้เกมจะยอดเยี่ยมมากแค่ไหน แต่ปัญหาที่อยู่ติดมากับตัวเกมก็มีมหาศาลไม่แพ้กัน ทั้ง Bug ที่ทำให้เกมล่มหรือส่งเควสไม่ได้ AI ศัตรูและผู้ติดตามแสดงอาการไม่ฉลาดในหลายช่วง จนทำให้หลายคนเล่นไม่สนุกหรือเล่นไม่ได้แลย และกลายเป็นภาพจำไม่ดีติดตัว Obsidian มาตลอดจนถึงตอนนี้ ว่าแม้พวกเขาจะทำเกมออกมาได้ยอดเยี่ยม แต่ก็ต้องทำใจในเรื่อง Bug ของเกมด้วย
หลังจากนั้นเป็นต้นมา Obsidian ก็ยังคงวุ่นวายอยู่กับการพัฒนาเกมแนว RPG ที่ถนัด และมีผลงานที่น่าเหลือเชื่อออกมาให้ได้เล่นกันอีก เช่น South Park: the Stick of Truth ที่วางระบบการเล่นมาได้ยอดเยี่ยมเหลือเชื่อ ผสมรวมกับมุกตลกสไตล์ South Park ได้อย่างลงตัว กลายเป็นเกมที่ทุกคนจดจำได้เป็นอย่างดีอีกหนึ่งเกม แม้จะมีการเซ็นเซอร์บางฉากในบางประเทศก็ตาม
แม้ผลงานด้านเกมจะประสบความสำเร็จ แต่การเงินและรายรับนั้นไม่สู้ดีนัก แถมยังพลาดรายได้อย่างงามไปหลายครั้งด้วยเหมือนกัน เช่นตอนที่ Fallout: New Vegas วางจำหน่าย พวกเขาก็พลาดโอกาสได้รับโบนัส 1 ล้านเหรียญจาก Bethesda เนื่องจาก Fallout: New Vegas ทำคะแนน Metacritic ไปไม่ถึง 85 คะแนน แถมยังถูกทาง Microsoft สั่งเลิกการพัฒนาเกม Stromlands ที่จะวางจำหน่ายบนเครื่อง Xbox One แบบ Exclusive ไปเสียอีก ทำให้พวกเขาขายรายได้มาจุนเจือบริษัทจนแทบล้มหายตายจากไปอีกครั้ง
ใจสู้ไม่เคยท้อถอย
แต่ด้วยใจที่ยึดมั่นในการพัฒนาเกม พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ เปิดระดมทุนผ่านทางเว็บไซต์ Kickstarter เพื่อสร้างเกม RPG ในแบบคลาสสิกอย่าง Pillar of Eternity ที่ให้ผู้เล่นได้รู้สึกเหมือนได้กลับไปเล่นเกมระดับตำนานอย่าง Dungeons & Dragons แบบถึงแก่นอย่างที่ต้องการ
ท้ายที่สุด การระดมทุนก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม รับเงินระดมทุนจากแฟน ๆ เพื่อนำไปพัฒนาเกมมากถึง 4.1 ล้านเหรียญ และเมื่อมันวางจำหน่ายออกมา ตัวเกมก็ประสบความสำเร็จและเป็นกระแสปลุกเร้าให้ทุกคนหันมาสนใจเกม RPG สไตล์ตะวันตกกันมากขึ้นด้วย
เมื่อ Pillar of Eternity ขายได้ และมีเงินมากพอจะนำมาพัฒนาเกมต่อ Obsidian จึงเริ่มสานต่อโครงการใหม่ทันที ด้วยการสร้างภาคต่อของเกม Pillar of Eternity ในชื่อว่า Deadfire ทว่าคราวนี้แม้ตัวเกมจะยังคงความยอดเยี่ยมเอาไว้เหมือนเดิม แต่กระแสของเกมกลับนิ่งสนิท และเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่ภาคแรกเคยทำเอาไว้ได้ จนปัญหาเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ของพวกเขาก็เริ่มกลับมาเล่นงานอีกครั้ง
แต่คราวนี้ฟ้าก็ไม่ทอดทิ้งพวกเขา เมื่อทาง Microsoft ได้เข้ามาช่วยเหลือ ด้วยการเข้าซื้อกิจการของ Obsidian เข้ามาอยู่ในเครือของตนในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา เพื่อเสริมทัพนักพัฒนาเกมแนว RPG ให้กับตัวเองตามแผนที่วางเอาไว้ และหลังจากนั้นไม่นาน เราก็ได้เห็น The Outer Worlds ประกาศเปิดตัวและโลดแล่นอยู่ในวงการเกม สร้างความบันเทิงให้กับแฟนเกม RPG รุ่นเก่าและใหม่มาจนถึงตอนนี้
แม้เส้นทางของ Obsidian ในวงการเกมจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบและเต็มไปด้วยขวากหนาม แต่พวกเขาก็ยังคงยืนหยัดในการสร้างสรรค์ผลงานเกม RPG ชั้นดีออกมาอย่างสม่ำเสมอ แม้จะมีปัญหาด้านเทคนิคบ้าง แต่ผลงานของพวกเขาเกือบทุกชิ้นก็เรียกได้ว่าเป็นผลงานระดับขึ้นหิ้งและควรค่าแก่การลองสัมผัสดูสักครั้ง
และผู้เขียนเองก็เชื่อว่าพวกเขาจะยังคงยืนหยัด มอบความประทับใจในโลกแห่งการสวมบทบาทนี้ต่อไปอีกเรื่อย ๆ แน่นอนครับ