PlayStation 3 เป็นหนึ่งในเครื่องเกมคอนโซลที่ประสบปัญหาวิบากกรรม รวมถึงสร้างความผิดหวังให้ทั้งนักพัฒนาเกม และเกมเมอร์หลายคน จนทำให้บริษัท Sony และ PlayStation ต้องใช้บทเรียนความผิดพลาดจาก PS3 นำไปเปลี่ยนแปลงแนวทางการสร้างเครื่องเกมคอนโซลรุ่นถัดไป เพื่อความอยู่รอดของ PlayStation ในท่ามกลางตลาดเครื่องเกมคอนโซลที่มีการแข่งขันอย่างดุเดือด
PlayStation 3 กับบทเรียนสำคัญของ Sony
PlayStation 3 เป็นเครื่องเกมคอนโซลเจเนอเรชันที่ 7 ของ Sony ที่พัฒนาต่อยอดจาก PlayStation 2 โดยเครื่องเกม PS3 ได้ใช้ชิป Cell microprocessor ที่ทาง Sony, Toshiba กับ IBM ร่วมกันพัฒนาเพื่อใช้สำหรับเครื่องเกม PS3 โดย Sony เคลมว่ามันเป็นชิปที่ทรงพลังมากจนสามารถรันได้ที่ 120FPS
นอกจากนี้ PS3 เป็นเครื่องเกมเครื่องแรกที่ใช้จานอ่านแผ่น Blu-Ray Disc ที่มีคุณสมบัติพิเศษสามารถเก็บข้อมูลในปริมาณจำนวนมาก และอ่านข้อมูลเร็วกว่า DVD ได้หลายเท่า ทำให้เกมของ PS3 ทั้งหมดเป็นแผ่น Blu-Ray ซึ่งช่วยให้ระหว่างการเล่นเกมไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแผ่นอีกต่อไป
PS3 เปิดตัวครั้งแรกในงาน E3 2005 รวมถึงบริษัท Sony ก็ตั้งเป้าหมายว่าเครื่องเกมดังกล่าวจะต้องประสบความสำเร็จเหมือน PS2 โดยต้องขายเครื่องให้ได้ 150 ล้านเครื่องภายใน 9 ปี ก็ต้องบอกเลยว่าทีมงาน Sony มั่นใจสุด ๆ ก็ว่าได้
PlayStation 3 กับจอยต้นแบบที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้จริง
แต่ทว่าเครื่องเกมไม่ทันได้วางจำหน่าย PS3 ก็ประสบปัญหาวิบากกรรมซะแล้ว เพราะหลังจากเปิดตัว PS3 อย่างเป็นทางการ เครื่องเกมคอนโซลดังกล่าวมีกระแสตอบรับที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก เพราะราคาเปิดตัวสำหรับรุ่น 60 GB ที่ราคาแพงถึง 599 เหรียญฯ และรุ่น 20 GB ขายที่ 499 เหรียญฯ ซึ่งขายแพงกว่าเครื่องเกม Xbox 360 รุ่น 30 GB ที่ขายเพียง 399 เหรียญฯ
นอกจากนี้ หลังจาก PS3 ปล่อยวางจำหน่ายเป็นวันแรก เครื่องเกมดังกล่าวก็เริ่มกระแสรีวิวด้านลบทั้งจากฝั่งผู้เล่น และนักพัฒนาเกมมากมาย ด้วยเหตุผลหลายประการเช่นกัน
นักพัฒนาเกมหลายแห่งวิจารณ์ว่า PS3 ใช้ชิป CPU แบบ Cell microprocessor ซึ่งออกแบบใช้เฉพาะบนเครื่อง PS3 เท่านั้น ทำให้ทีมพัฒนาเกมทั้ง First-Party และ Third-Party ได้ประสบปัญหาสร้างเกมลง PS3 ได้ยากมาก เพราะมีระบบการทำงานที่ไม่เหมือนชิป CPU บนท้องตลาด และมีกระบวนการทำงานซับซ้อนเกินไป ซึ่งส่งผลลัพธ์ทำให้เกมที่ออกวางจำหน่ายในช่วงวันเปิดตัว PS3 มี 14 เกม รวมถึงบางเกมไม่สามารถงัดประสิทธิภาพได้อย่างไม่เต็มที่ และชิปดังกล่าวก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เครื่องเกมขายราคาแพงอีกด้วย
เนื่องจากชิป CPU ที่ทำให้ทีมพัฒนาสร้างเกมลงเครื่อง PS3 ได้ลำบากมาก ทาง Gabe Newell ผู้ก่อตั้ง Valve ถึงขั้นวิจารณ์ว่า PS3 คือหายนะของ Sony เพราะเป็นการแสดงให้เห็นว่า Sony ได้หลงลืมสิ่งที่ลูกค้าและนักพัฒนาเกมต้องการอย่างแท้จริง คือการสร้างเครื่องเกมที่เข้าถึงง่ายทั้งผู้เล่นกับผู้สร้างเกม รวมถึง Bobby Kotick ผู้บริหารของ Activision Blizzard ได้กล่าวแสดงความผิดหวังต่อ PS3 อย่างมาก จนกล่าวว่าหมดความเชื่อมั่นต่อ Sony เพราะเครื่องเกมไม่เป็นมิตรสำหรับนักพัฒนาเกมเอาซะเลย รวมถึงเขาเคยลั่นว่า “จะยกเลิกสนับสนุน Sony” อีกด้วย
ซ้ำร้าย เกมเมอร์หลายคนวิพากษ์วิจารณ์เครื่อง PS3 ว่ามีระบบ PlayStation Plus ที่ขาดความเสถียร, ไม่มีฟีเจอร์พิเศษเฉพาะตัว, มีจำนวนเกม Third Party กับเกม Exclusive น้อยเกินไป และเกมบางเกมไม่สามารถรันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหลายคนเปรียบเทียบว่า Xbox 360 มีเกมจำนวนเกมที่น่าสนใจเยอะ มีเสถียรภาพ และสร้างเกมได้ง่ายกว่า
แม้ PS3 สร้างนวัตกรรมด้านการใช้แผ่นเกมแบบ Blu-Ray Disc แต่ด้วยกระแสวิจารณ์ด้านลบของ PS3 ก็ส่งผลลัพธ์ทำให้ยอดขายเครื่อง PS3 เติบโตช้าลงจนมีตัวเลขยอดขายน่าผิดหวังมาก ๆ ทาง Sony, PlayStation และพัฒนาเกมในเครือ PS ทั้งหมด จึงจำเป็นต้องหาวิธีแนวทางใหม่ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้และผู้พัฒนาเกมได้เชื่อมั่นในตัว PS3 อีกครั้ง
สิ่งที่ Sony ทำคือลดต้นทุนการผลิตให้เครื่องเกมมีราคาขายถูกลงด้วยการเปลี่ยนใช้ชิป 45nm, พัฒนา diodes สำหรับจานอ่านแผ่น Blu-Ray โดยใช้งบประมาณการสร้างถูกลง และพัฒนาปรับปรุงให้เครื่องเกมมีความเสถียรมากยิ่งขึ้น จนสุดท้ายในปี 2009 ทาง Sony ได้ออกผลิตภัณฑ์ PlayStation 3 รุ่นใหม่ที่เรียกว่า Slim ซึ่งเป็นเครื่องเกมที่มีขนาดเล็ก และมีราคาถูกกว่า PlayStation 3 รุ่นต้นฉบับ
PS3 Slim
นอกจาก PS3 Slim จะมีขนาดเล็กและราคาถูกลงแล้ว ตัวเครื่องเกมคอนโซลมีการปรับปรุงจาก PS3 รุ่นต้นฉบับให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชิป 45nm ซึ่งทำให้เครื่องเกมทำงานเงียบกว่าเดิม กินไฟน้อยลง พร้อมรีแบรนด์โลโก้ ใหม่จากเดิมที่ใช้ฟอนต์ตัวอักษรเดียวกับโลโก้หนัง Spider-Man ได้หันมาใช้ดีไซน์ใหม่ที่ดูเรียบง่ายแทน
PS3 Slim มีกระแสรีวิวที่ดีมากจากสื่อวิดีโอเกมกับเทคโนโลยีหลายแห่ง โดยระบุว่าแม้รุ่น Slim จะมีราคาขายถูกกว่าเดิม แต่ตัวเครื่องมีการปรับปรุงจากรุ่นต้นฉบับที่เต็มไปด้วยปัญหาการใช้งานมากมายอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ PS3 เป็นเครื่องเกมคอนโซลที่มีคุณภาพ “ดีเยี่ยม” และมีราคาที่เป็นมิตร ซึ่งแตกต่างจากรุ่นปี 2006 ที่สร้างความผิดหวังให้เกมเมอร์กับนักพัฒนาเกมหลายคน
ด้วยกระแสตอบรับของ PlayStation 3 Slim ทำให้ยอดขายเครื่อง PS3 เติบโตขึ้น จนขึ้นแท่นเป็นเครื่องเกมขายดีอันดับหนึ่งบนเว็บไซต์ Amazon หลังเปิดวางจำหน่ายรุ่น Slim เพียงแค่หนึ่งวัน และหลังจากเวลานั้นเป็นต้นมา ก็ทำให้เครื่องเกมดังกล่าวมียอดขายที่คงที่คงวาจนสามารถแซงหน้ายอดขาย Xbox 360 ได้ในที่สุด
หากอ้างอิงจากข้อมูลสถิติยอดขายเครื่องเกมคอนโซลตลอดกาล PS3 สามารถทำยอดขายได้ทั้งหมด 87.4 ล้านเครื่อง ซึ่งนำหน้ายอดขายของ Xbox 360 ที่ทำได้ 85.8 ล้านเครื่อง ในช่วงบั้นปลายของยุคเครื่องเกมเจเนอเรชันที่ 7
สถิติโดย VGChartz ของเดือนมีนาคม ปี 2020
ถึงแม้ยอดขาย PS3 จะสูสีกับ Xbox 360 แต่หากเทียบกับยอดขายของเครื่องเกม PS ที่ขายได้ 103 ล้านเครื่อง, PS2 ขายได้ 159 ล้านเครื่อง และ PS4 ที่ขายได้ 104 เครื่อง ก็ต้องบอกเลยว่า PS3 เป็นเครื่องเกมคอนโซลบ้านที่ประสบความสำเร็จน้อยสุดในตระกูล PlayStation (ไม่นับ PS VITA ที่ขายได้เพียง 10-12 ล้านเครื่องเท่านั้น)
แต่ด้วยบทเรียนอันแสนสาหัสจาก PS3 ก็ทำให้บริษัท Sony ได้หันมาผลิตเครื่องเกม PS4 โดยตั้งเป้าแนวทางใหม่ว่าจะต้องเป็นเครื่องเกมที่มีราคาเป็นมิตรสำหรับผู้ใช้ทุกคน และเป็นที่ไว้ใจสำหรับนักพัฒนาเกม ซึ่งบางที ถ้าหาก PS3 ไม่ประสบปัญหาวิบากกรรม PS4 อาจจะไม่ประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ก็เป็นไปได้