ย้อนกลับไปในเดือนมิถุนายน 2020, ระหว่างงานเปิดตัวเครื่อง PlayStation 5 นั้นมีอยู่เกมหนึ่งที่น่าจับตามองมากทีเดียว ในฐานะ ‘พระเอก’ ที่สามารถสำแดงให้เห็นถึงความทรงพลังของตัวเครื่อง PlayStation 5 ได้อย่างชัดเจน และเกม ๆ นั้นก็ไม่ใช่อื่นใดที่ไหน นอกไปเสียจากภาคใหม่ของเกมคู่บุญชาว PlayStation อย่าง “Ratchet & Clank: Rift Apart”
แม้ว่าภาพลักษณ์ของซีรีส์ Ratchet & Clank จะไม่ได้โดดเด่นเหมือนอย่างเกมดังเกมอื่น ๆ ในตลาดนัก แต่สำหรับภาค Rift Apart นั้นกลับแตกต่าง เพราะมันคือผลงานที่ผ่านการสั่งสมประสบการณ์มาอย่างยาวนานเกือบ 20 ปี กับเกมอีก 15 ภาค จนได้เป็นสูตรสำเร็จ ที่คราวนี้ทีมงาน Insomniac Games ขัดเกลามันให้สำเร็จได้แล้วจริง ๆ บนเครื่อง PlayStation 5
เรื่องราวในภาค Rift Apart จะเพิ่มองค์ประกอบของ Multiverse เข้ามา โดยคู่หูตัวเอกอย่าง Ratchet และ Clank ต่างจับพลัดจับผลูหลุดเข้ามายังต่างมิติ ที่ ๆ คนเคยรู้จักกลับกลายเป็นคนไม่รู้จัก และพวกเขาจะต้องหาทางกอบกู้ทั้งจักรวาลใหม่และจักรวาลเดิม ให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของวายร้ายขาประจำอย่าง Dr. Nefarious… รวมถึง ‘จักรพรรดิ Nefarious’ ผู้เกรียงไกรในจักรวาลแห่งใหม่นี้ด้วยเช่นกัน
ความโดดเด่นของ Rift Apart คือ Gunplay ที่สนุก เข้าใจง่าย แต่ประยุกต์ได้หลากหลาย เพราะยิ่งเล่น ก็จะยิ่งปลดล็อคปืนใหม่ ๆ มาเป็นเครื่องมือรังแกศัตรูได้มากขึ้น ประดุจว่าตัวเราเป็นคลังแสงเคลื่อนที่เลยทีเดียว ไม่ว่าจะปืนที่ยิงออกมาเป็นลูกสมุนตัวน้อยสุดแสบ, ปืนน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ หรือปืนกลหลุมดำ ก็ล้วนแต่น่าหยิบมาใช้งานสลับ ๆ กันไปไม่รู้เบื่อ
แล้วอะไรที่ทำให้ภาคนี้แตกต่างไปจากเดิม ? หลัก ๆ แล้วมันคือ “ประสบการณ์ไร้รอยต่อ” ที่เราจะได้เดินหน้าบู๊อย่างต่อเนื่องไปตามฉากต่าง ๆ และเปลี่ยนสู่ทิวทัศน์หรือมิติใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยอานิสงส์ของ SSD ที่ทำให้สามารถลดเวลาโหลดฉากลงได้ จนไม่มีความจำเป็นที่ตัวเกมจะต้องมีหน้าโหลดอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งงานภาพระดับ Next-gen ที่ขับเอาสีสันของสภาพแวดล้อมในแต่ละดาวออกมาจำอวดสายตาอย่างเต็มที่ ก็ทำให้นี่กลายเป็นเกมแรกที่เราจะนึกถึงเลยทีเดียว หากต้องการจะทดสอบคุณภาพของจอมอนิเตอร์ หรือทีวีดี ๆ สักเครื่องหนึ่ง
พร้อมกันนี้ Ratchet & Clank: Rift Apart ก็สามารถที่จะเลี้ยงความสนุกไปได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ผ่านบทที่เหมือนจะคาดเดาง่าย แต่กลับมีจุดพลิกผันไปมาจนดูแล้วน่าสนใจกว่าที่คิด ไหนจะสไตล์การเล่าเรื่องแบบเบาสมองที่แฝงมุกตลกชวนยิ้มแห้ง ๆ เอาไว้ แม้ไม่ถึงกับฮาตกเก้าอี้ แต่ก็ทำให้เพลิดเพลินได้ตลอดเวลา
ด้วยคุณภาพการนำเสนอระดับเดียวกันกับภาพยนตร์แอนิเมชันฟอร์มยักษ์ ซึ่งถูกถ่ายทอดผ่านดนตรีอย่างหมดจดเฉียบขาด จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ใครหลายคน รวมถึงทีมงาน GamingDose จะยกให้ Ratchet & Clank: Rift Apart เป็นอีกหนึ่งผลงานชิ้นเอกของ Insomniac Games ที่มีความยอดเยี่ยม เต็มอิ่ม ยิ้มได้ จบในตัว และยังรีดเอาศักยภาพของ PlayStation 5 ออกมาใช้ได้อย่างรอบด้านที่สุดแล้วสำหรับปีนี้