ช่วงต้นปี 2019 นี้ถือได้ว่าเป็นช่วงคืนฟอร์มของ Capcom อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้ง Resident Evil 2 Remake และ Devil May Cry 5 ที่ทำผลงานได้เยี่ยมจนแฟน ๆ เป็นปลื้ม หลังจากที่หลายปีก่อนพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับกระแสตอบรับทางด้านลบของแฟน ๆ ที่สวนทางกับยอดขายของเกมมาโดยตลอด และตัวอย่างเราเห็นได้เด่นชัดในยุคนั้นก็คือเกม Resident Evil 5 ที่เราจะมาพูดถึงในวันนี้นั่นเอง
ต้องออกตัวก่อนว่าตัวผู้เขียนนั้นแม้จะมีความชื่นชอบในซีรีส์ Resident Evil อยู่พอตัว
แต่ส่วนตัวแล้วเป็นคนที่เกลียดการควบคุมแบบ Tank Control มาก ๆ
เพราะนอกจากจะขยับได้ไม่คล่องตัว ทำอะไรก็ติดขัดไปหมดแล้ว ยังทำให้เกิดความสับสนได้ง่ายว่าจะเดินหรือจะหัน เรียกว่าหลายครั้งผู้เขียนมักจะเดินเข้าไปให้ซอมบี้กินอย่างเอร็ดอร่อยหลายครั้งทีเดียว จึงปลื้มใจมากที่ในภาคที่สี่นั้นมีการเปลี่ยนแปลงการควบคุมเป็นแบบมุมมองบุคลที่สามที่คล่องตัวกว่า
และการมาของเกมภาคที่สี่ก็ทำให้เราสามารถสนุกกับเกมได้ง่ายดายขึ้น ไม่ต้องปวดหัวปวดใจกับการควบคุมแบบโบราณอีก(จริงอยู่ที่การควบคุมแบบ Tank จะมีข้อดีอยู่บ้าง แต่ยังไงก็ชอบแบบมุมมองในปัจจุบันนี้มากกว่าอยู่ดี) และการที่ตัวเกมถูกลดโทนความสยองขวัญลงมาจนไม่ได้น่ากลัวเท่าเดิม ก็ทำให้หลายคนสามารถเข้าถึงตัวเกมได้มากขึ้นตามไปด้วย
จึงไม่น่าแปลกใจที่ทาง Capcom จะยังคงยึดรูปแบบการเล่นในมุมมองแบบบุคคลที่สามเอาไว้ในเกมภาคที่ห้าด้วย
แต่ที่ทำให้หลายคนแปลกใจก็คือการเปลี่ยนธีมของเกมมาเป็นแนวบู๊แหลกแบบไม่สนใจโลกของพวกเขานี่แหละ จากเดิมที่ Resident Evil เน้นขายในเรื่องความลึกลับ น่ากลัว และอันตรายของไวรัสที่เราไม่รู้ที่มา แต่ในคราวนี้เราได้เห็นสเกลหลาย ๆ อย่างถูกขยายขึ้นจนกลายเป็นความโอเวอร์เต็มพิกัด ศัตรูตัวใหญ่ จำนวนเยอะ ๆ จัดมาแบบเอาให้งงเลยว่า “เฮ้ย มาจากไหนเยอะแยะฟะ” กันเลย
แต่ถ้าเรามองดูที่เรื่องราวของเกมและสถานที่ในภาคนี้เราก็พอจะทำใจยอมรับได้บ้าง
กับหมู่บ้านในแอฟริกาใต้ที่ชาวเมืองถูกเชื้อปรสิต Las Plagas ชนิดใหม่ชอนไชเข้าสมองไปจนเกือบหมดเรียบร้อยแล้ว และมีโรงงานขนาดใหญ่ขององค์กรร้ายมาตั้งอยู่ใกล้ ๆ และตัวเอกอย่าง Chris กับ Sheva ก็มีหน่วยสนับสนุน BSAA มาช่วยเกือบตลอดทั้งเกม แบบนี้ก็พอจะทำให้เราเคลิ้มตามไปได้ แต่แน่นอนว่ามันก็ไม่ใช่ Resident Evil ที่เราเคยรู้จักอยู่ดี
ถ้าหากถามถึงสิ่งที่ดีที่สุดใน Resident Evil 5 ที่ผู้เขียนชื่นชอบ ก็คงหนีไม่พ้นโหมดการเล่นแบบ Co-op นี่แหละ
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ Capcom เคยพยายามมาแล้วกับ Resident Evil Outbreak ทั้งสองภาค และ Resident Evil 0 แต่ก็ดูเหมือนจะยังติดขัดอยู่ในทีเพราะการควบคุมแบบ Tank Control ที่ให้ผู้เล่นทำอะไรได้จำกัดอยู่ไม่น้อย แต่พอมุมมองของเกมถูกปรับเปลี่ยน มีระบบการเล็งยิงที่ดีขึ้น และอาวุธกับระบบต่อคอมโบที่หลากหลาย ทำให้มันกลายเป็นเกมที่เล่นกับเพื่อนแล้วสนุกเฉยเลย ถ้าไม่นับว่ามันคือเกม Resident Evil แล้ว นี่น่าจะเป็นเกม Action ที่เล่นกับเพื่อนได้บันเทิงใจแบบสุด ๆ เกมหนึ่งในยุคปี 2009 เลยทีเดียว(แต่อย่าไปเล่นกับ AI เชียว ไม่บันเทิงอย่างแรง)
แล้ว Resident Evil ที่ไม่น่ากลัวแล้วมันจะขายได้หรือ?
เผื่อทุกคนจะลืมกันไป ก็ต้องบอกว่า Resident Evil 5 นั้นคือภาคที่ทำยอดขายได้ดีที่สุดของซีรีส์มาจนถึงตอนนี้ โดยทำยอดขายไปได้ถึง 12 ล้านชุดด้วยกัน ภาคที่ว่าเทพอย่าง Resident Evil 4 ยังทำได้ที่ประมาณ 8.2 ล้านชุดเท่านั้น(ทั้งที่ถูกนำกลับมาขายใหม่บ่อยที่สุดด้วย) ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภาคที่หลายคนสาปแช่งอย่างภาค 6 ที่ทำยอดไปได้ดีไม่แพ้กันที่ 10 ล้านชุดอีก แม้แต่ภาค 2 Remake ที่เพิ่งวางขายไปตอนนี้ก็ยังทำยอดขายไปได้ที่ 4.2 ล้านชุดเท่านั้นเอง(แต่ยอดขายอาจจะเพิ่มได้อีก เพราะตัวเกมเพิ่งวางจำหน่ายมาได้แค่ครึ่งปีเอง)
ถามว่า แล้ว Resident Evil ควรเป็นไปในทิศทางไหนต่อไป? เรื่องนี้ทาง Capcom ก็ได้ให้คำตอบกับเราอย่างชัดเจนแล้วในเกมภาค 2 Remake ที่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยมจากผู้เล่น ว่าจะคงความน่ากลัวแบบนี้ต่อไป แม้เอาจริง ๆ สิ่งที่ถูกนำเสนอในภาค 5 จะเล่นได้สนุกก็ตาม แต่ถ้าลองพิจารณากันจริง ๆ สิ่งที่ Resident Evil 5 เป็นนั้น เกมไหน ๆ บนโลกก็สามารถเป็นได้ และเมื่อถึงจุดหนึ่ง มันก็อาจถูกกลืนหายไปกับบรรดาเกมที่ออกตาม ๆ กันมาได้ในอนาคต ซึ่งการกลับมาสู่ตัวตนที่แท้จริงในด้านความระทึกและน่ากลัวนั้นคือสิ่งที่ Resident Evil ควรเป็นอย่างแท้จริง
แต่ถ้าให้ย้อนกลับไปเล่นอีกครั้ง Resident Evil 5 ก็ถือเป็นเกมที่เหมาะสมและไม่เก่าเกินไปนัก
และควรต้องหาเพื่อนมาเล่นด้วยอย่างที่สุดอย่างที่ได้กล่าวไป(เพราะความระทมของ AI ในเกมนั่นแหละ ฮา) แถมถ้าเบื่อโหมดปกติ ก็มีโหมด Mercenary เอามาเล่นฆ่าเวลาได้ดีเยี่ยมอยู่ไม่น้อย และยังเป็นภาคที่เข้าถึงได้ง่ายอีกด้วย
สุดท้ายแล้ว เราก็ยังไม่ทราบว่าอนาคตต่อไปของซีรีส์ Resident Evil รูปแบบของภาค 2 Remake นี้จะคงอยู่ไปได้นานแค่ไหน และถ้าหากกลับไปสู่แนวทางบู๊แหลกแบบเดิมก็คงไม่ดีแน่ เพราะทุกวันนี้เรามีเกมฟอร์มยักษ์ที่มีรูปแบบคล้ายกันนี้ออกมาเต็มไปหมดอยู่แล้ว
“และถ้า Capcom เลือกกลับไปสู่หนทางบู๊แหลกอีกครั้ง มันก็อาจจะถูกกระแสจากเกมอื่นกลืนกิน จนอาจเหลือเพียงแต่ชื่อก็เป็นได้ครับ”