BY Aisoon Srikum
2 Apr 20 8:02 pm

Review : Bleeding Edge เกมออนไลน์ใหม่สไตล์ Overwatch แต่มีความสนุกที่แตกต่าง

6 Views

ในขณะที่หลายคนอาจจะเบื่อ Overwatch กันไปแล้ว และหลายคนก็ยังเล่นอยู่ ค่ายเกมต่าง ๆ ก็ไม่ยอมน้อยหน้าที่จะทำเกมแบบเดียวกันออกมา และผลงานล่าสุดของ Ninja Theory เจ้าของผลงาน DmC : Devil May Cry ที่หันมาทำเกมออนไลน์ Competitive เป็นของตัวเองบ้าง แต่ Bleeding Edge ตัวนี้ จะรุ่งหรือจะร่วง วันนี้มาหาคำตอบกันได้ใน Review : Bleeding Edge ครับ

Story

จะบอกว่าเกมแบบนี้ไม่มีเนื้อเรื่องก็ไม่ได้ เพราะสุดท้ายแล้ว เราจะได้เห็นชีวประวัติของแต่ละตัวละครในหน้า Bio ของเกมอยู่ดี แต่หากคุณคาดหวังให้ทีมพัฒนาเขามาทำ Cinematic หรือ Short Animation แบบ Overwatch ของ Blizzard ล่ะก็คงจะเป็นไปได้ยากสักหน่อย

Bleeding Edge ไม่ได้บอกเราว่าเนื้อหาของเกมเกิดขึ้นในช่วงใด เวลาไหน เพราะในหน้า Bio ตัวละครก็ไม่มีการบอกปีที่ชัดเจนไว้เลยสักตัว แต่เป็นยุคที่ผู้คนต่างออกมาแสดงตัวตนกันด้วยทักษะที่มี อาวุธ การต่อสู้ เทคโนโลยี ถูกผสมผสานกันนำเสนอออกมาเป็นเกมนี้ เราจะเห็นตัวละครแต่ละตัวมีความสามารถที่ต่างกันไป แถมยังมาจากประเทศที่่ต่างกันอีก

น่าเสียดายที่ทีมพัฒนาอุตส่าห์คิดปมแต่ละตัวละครมาไว้ครบ แต่ก็ไม่ได้เอามาต่อยอดอะไรมาก ได้แต่หวังว่าอนาคตจะมีการอัปเดตอะไรเข้าในส่วนของเนื้อเรื่อง แต่ ณ ตอนนี้หากจะบอกว่ามันคือเกมออนไลน์เต็มรูปแบบ ก็ว่าได้ครับ

Presentation

สิ่งเดียวที่เราพอจะเอามาพูดถึงได้ ก็คือการออกแบบของแผนที่ Multiplayer ที่ต้องชื่นชมว่าทำออกมาได้น่าพึงพอใจมาก ในแผนที่บางแผนที่จะมีลูกเล่นพิเศษเข้ามา เช่นแท่นกระโดด ซึ่งเอาไว้หลอกล่อศัตรูหรือหลบหนีได้ หรือแม้กระทั่งมีรถไฟแล่นมาชนเราจนตายได้ก็มี แผนที่ที่วัตถุในฉากส่งผลต่อเราโดยตรง ทำให้เกมเพลย์การเล่นต้องระมัดระวังมากขึ้น เพราะหากมัวแต่รับมือกับศัตรูก็อาจจะโดนรถไฟชนตายโดยไม่รู้ตัว หรือการโดนฮีโร่สายโจมตีไกล ค่อยกระโดดหนีขึ้น ๆ ลง ๆ และยิงเราฟรี ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

และแม้จะมีลูกเล่นเข้ามา แต่ตัวแผนที่ก็ยังมีความสมดุลที่ทุกคนจะสามารถวิ่ง หรือขี่ฮูเวอร์บอร์ดเพื่อไปยังจุด Objective ได้อย่างรวดเร็ว สิ่งที่เหลือก็คือขึ้นอยู่กับว่าทีมเวิร์คของคุณจะแน่แค่ไหน ในการคว้าชัยชนะในการต่อสู้แต่ละรอบ

Gameplay

สำหรับ Bleeding Edge นั้นมีเกมเพลย์เป็นแบบ Competitive หรือเน้นการแข่งขันอยู่แล้ว และใครที่มีประสบการณ์การเล่นเกมแนวนี้อยู่ก็น่าจะเข้าใจกฎและกติกาของเกมนี้ได้ไม่ยาก

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าตอนนี้เกมนี้จะมีโหมดการเล่นอยู่เพียง 2 โหมดเท่านั้น นั่นคือโหมด Objective Control และโหมด Power Collection หากเทียบกับเกมอื่น ๆ ก็ถือว่าน้อยมาก แต่ก็เพียงพอต่อการเล่นแล้ว ระบบการต่อสู้ของเกมนี้จะเป็นแบบ Hack & Slash Brawler หรือเน้นการต่อสู้แบบฟาดฟันกันในระยะประชิด แต่ก็มีฮีโร่หลายตัวที่มีความสามารถในการโจมตีระยะไกล และไม่ได้โกงขนาดยิงแปปเดียวตาย ผู้เล่นยังจำเป็นต้องอาศัยทักษะส่วนตัว และสกิลของแต่ละตัวละคร ร่วมมือกันให้ทีมได้เปรียบและคว้าชัยชนะมา

สำหรับโหมด Objective Control นั้น แต่ละทีมจะต้องแย่งกันยึดจุด Objective เอาไว้ โดยใน 1 แผนที่จะมีทั้งหมด 3 จุด ทีมไหนยึดได้ก็จะได้รับคะแนนอย่างต่อเนื่อง ยิ่งยึดได้หลายจุดพร้อมกันก็ยิ่งได้คะแนนไวมากขึ้นเท่านั้น แต่ตัวเกก็จะมีช่วงรีเซ็ท Objective เพื่อให้แต่ละฝ่ายตั้งตัวกันใหม่ ทำให้ตัวเกมจะพลิกผันกันได้จากจุดนี้ หรือถ้าทีมเวิร์ค ช่วยกันต่อสู้ดี ๆ ก็สามารถแย่งจุดปัจจุบันมาได้เลย

ในขณะที่โหมด Power Collection โหมดนี้จะสนุกและมีลูกเล่นให้เล่นเยอะกว่าหน่อย ตรงที่ทั้งสองทีมจะต้องแย่งกันเก็บหลอดแก้วพลังงานไปส่งยังจุดที่กำหนด ซึ่งกล่องที่บรรจุหลอดพลังงานนี้ก็จะเกิดขึ้นและระบุตำแหน่งให้เห็นในแผนที่ โหมดนี้จะต่างจากโหมดยึดจุดตรงที่ผู้เล่นต้องเลือกหน่อยว่าใครจะเป็นคนถือหลอดพลังงานเอาไว้ เพราะถ้าถือไว้แล้วโดนศัตรูตีจนตาย หลอดพลังงานทั้งหมดจะดรอปออกมา และเปิดโอกาสให้ศัตรูไปเก็บและแย่งส่งได้

ความสนุกของโหมดนี้คือ ทุกคนต้องค่อนข้างรู้งาน และเป็นทีมพอสมควร ว่าควรป้องกันใคร ให้ใครถือหลอดพลังงาน และรู้จังหวะด้วยว่าเวลานี้ควรบวก เวลานี้ควรหนี หรือแบ่งกำลังไปขัดขวาง ป้องกันศัตรูไม่ให้ส่งหลอดพลังงานได้ ในขณะเดียวกันก็ต้องป้องกันทีมเราด้วยเช่นกัน น่าเสียดายที่ตอนนี้โหมดการเล่นมีเพียงสองโหมดเท่านั้น และหวังว่าทีมพัฒนาจะอัปเดตโหมดการเล่นเพิ่มเติมในอนาคต

ในส่วนของระบบอื่น ๆ ตัวละครฮีโร่แต่ละตัวจะมีสิ่งที่เรียกว่า MODS ด้วย โดยเจ้า MODS นี้สามารถหาได้จากการเลเวลอัป หรือนำเงินที่ได้จากการเล่นมาปลดล็อคซื้อ หน้าที่ของ MODS จะเป็นตัวกำหนดว่าตัวละครที่เราเล่นนั้น จะเก่งสกิลในด้านไหน สมมติว่าผู้เล่นอยากให้สกิลนี้ทำงานได้ดีกว่าสกิลอื่น ๆ ก็หา MODS นั้นมาใช้ก็เป็นอันเรียบร้อย ซึ่งมันจะทำให้เกิดความแตกต่างในด้านการเล่นพอสมควร ในหนึ่งตัวละครจะติดตั้ง MODS ได้มากที่สุด 3 อัน

ส่วนของฮีโร่หรือตัวละครในเกมนี้แบ่งออกเป็นสามสาย แบ่งเป็นสายโจมตี 5 ตัว สายสนับสนุนและสายแทงค์อีกอย่างละ 3 ตัว ดูก็รู้ว่าเกมนี้เขาสนับสนุนให้บวกกันแค่ไหน แต่จากฟอร์เมชั่นการแบ่งทีมของเกมที่เป็นแบบ 4vs4 นั้น สุดท้ายการเลือกตัวละครที่พบเห็นได้บ่อย จึงเป็นแบบ Damage 2 Tank 1 Support 1 นั่นเอง

เรื่องของสมดุลฮีโร่ก็จัดว่าสำคัญสำหรับเกมแนวนี้ และ Bleeding Edge ก็ทำออกมาได้ดีมาก ฮีโร่โจมตีไกลแต่ละตัวจะมีบางสกิลที่สามารถหลบหนี หรือเอาตัวรอดได้ ในขณะที่ฮีโร่สายตีใกล้หรือแทงค์ ก็มีสกิลเข้าหาศัตรูหรือทำให้ศัตรูหยุดนิ่งอยู่กับที่ได้ด้วยเช่นกัน และหากผู้เล่นจับจุด หรือเชี่ยวชาญแล้ว ก็ถือว่าเป็นอีกเกมที่เล่นสนุกมาก เพราะต้องงัดฝีมือ โชว์ของกันหน่อย กว่าจะเอาชนะหรือจัดการศัตรูได้ อย่างไรก็แล้วแต่ นี่ไม่ใช่เกมที่ฆ่ากันมากกว่าแล้วเอาชนะได้ แต่อยู่ที่ว่าใครทำภารกิจได้มากกว่ากัน ทีมเวิร์คจึงสำคัญกว่าฝีมือส่วนตัว และหากผู้เล่นไม่มีเพื่อนมาเล่นด้วย ก็อาจจะต้องหัวร้อนกันนิด ๆ หากสื่อสารกับทีมได้ไม่ดีพอ

น่าเสียดายที่ในตอนนี้เกมเพลย์และโหมดการเล่นมีน้อยเกินไป แต่หากเทียบกับราคา 379 บาท ก็ถือว่าไม่ได้แย่สักเท่าไรนัก หวังว่าทีมงานจะอัปเดตโหมดใหม่ ๆ เข้ามาในอนาคต

Performance

ด้วยความที่ลายเส้นเป็นอาร์ทเวิร์คแบบการ์ตูนคอมมิค แน่นอนว่าใช้สเปคเครื่องกลาง ๆ เท่านั้น แต่สิ่งที่จำเป็นคืออินเตอร์เน็ต เพราะจากประสบการณ์แล้วนั้น หากเน็ตเราไม่แรงพอ (หรือต่อให้แรง) ก็จะมีบางช่วงที่เกิดปัญหาแลค ดีเลย์ กับเกมแนว Competitive แบบนี้ถือว่ามีผลพอสมควรเลยทีเดียว

นอกจากนั้นยังพบเจอปัญหาเฟรมเรตบ้างเป็นบางครั้ง ซึ่งน่าจะมาจากการ Optimize ที่ยังไม่ดีที่สุด แต่ทีมพัฒนาก็ได้ปล่อยแพทช์แก้ไขออกมาบ้างแล้วในส่วนอื่น ๆ ยังไม่เจอปัญหาอะไรที่ส่งผลร้ายแรงต่อการเล่น

หากจะให้พูดกันตรง ๆ Bleeding Edge ก็คือ Overwatch ในเวอร์ชั่นที่ Minimal ลงมา ทำให้เกมมีสเกลเล็กลง เล่นง่ายขึ้น สนุกขึ้น แต่ก็ยังต้องฟอร์เมชั่นทีมการเล่นให้ดีพอสมควรอยู่ดี ถึงจะคว้าชัยชนะในเกมนี้ได้ ถ้าผู้เล่นต้องการเล่นเกมเพื่อแข่งขัน เอาชนะ เกมนี้อาจไม่ตอบโจทย์ เพราะแม้จะเป็นเกม Competitive แต่ด้วยโหมดเกมที่น้อย และยังไม่รู้ชะตากรรมอนาคตว่าเกมนี้จะถูกอัปเดตไปได้อีกไกลแค่ไหน การมองข้ามเกมนี้ไปเลยก็อาจจะเป็นเรื่องที่ปลอดภัยกว่าสำหรับเกมเมอร์ที่เงินไม่ได้หนาหรือร่ำรวยมากพอจะใช้ทิ้งขว้างได้ แต่ถ้าคุณอยากลองของ Bleeding Edge ก็ไม่ได้จัดว่าแย่เกินไปนักเช่นกัน

Verdict 6.5/10

Aisoon Srikum

Back to top