BY Markrider
12 May 21 5:38 pm

รีวิว Assassin’s Creed Valhalla: Wrath of the Druids

120 Views

ส่วนเสริมตัวแรกของ Assassin’s Creed Valhalla ที่กำลังจะมาถึงในไม่กี่วันข้างหน้า ทาง GamingDose ได้รับเกียรติจาก Ubisoft ให้สัมผัสก่อนอย่างเต็มรูปแบบ ในนาม Wrath of the Druids มาดูกันว่าความโกรธเกรี้ยวของดรูอิดในครั้งนี้ จะมอบความสนุกให้เราขนาดไหน ไปดู

เนื้อเรื่อง

ลักษณะการเล่าเรื่องของ Assassin’s Creed Valhalla ไม่ได้เล่าเรียงลำดับเหตุการณ์มากนัก ฉะนั้นใน Wrath of the Druids จึงเสมือนส่วนขยายตอนหนึ่งในชีวิตของ Eivor มากกว่า เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อเราได้รับการติดต่อจากญาติคนหนึ่ง ที่บัดนี้ไปได้ดีอยู่ที่แผ่นดิน Ireland ทำให้เราเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้แย่งชิงแผ่นดิน ระหว่างกองทัพศาสนาคริสต์ นำโดย Flann Sinna ไฮท์คิง ณ ขณะนั้น กับลัทธิเซลติกโบราณ ที่มีเหล่าดรูอิท คอยปกปักษ์รักษากันรุ่นต่อรุ่น

จริง ๆ เนื้อหาใน DLC นี้ก็ไม่ได้จัดอยู่ในโซนน่าติดตาม หรือว่าดีอะไรขนาดนั้น แต่ถ้าคุณผ่านตัวเกมหลักมาแล้ว คงจะพอเข้าใจว่าเกมมันสร้างโฟลวของเนื้อหาออกมาได้นรกมาก กำลังเข้มข้นก็ตัดไปให้ทำอะไรก็ไม่รู้นานสองนาน ฉะนั้นต่อให้เนื้อหาในเนื้อเรื่องหลักมันน่าสนใจมากขนาดไหน แต่การตัดแบบทรมานผู้เล่น ก็ทำให้เรื่องราวเหล่านั้นถูกลืมไปอยู่ดี

แต่ถ้าคุณทิ้งช่วงมานานจากเนื้อหาหลัก แล้วมาเปิด DLC นี้เล่น อารมณ์มันจะเป็นคนละแบบ แม้ถ้าเทียบดี ๆ เนื้อหาในตอนนี้ อาจไม่ดีเท่าเนื้อหาหลักบางตอนด้วยซ้ำ แต่เพราะความไม่กดดัน ไม่มีอะไรมาคั่นกลาง เราได้ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเรื่องราวโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้น ส่งให้เนื้อความของ DLC นี้ เด่นชัดมากกว่าอะไรใด ๆ ทั้งนั้น

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะดีทั้งหมด แม้เนื้อหาจะน่าสนใจ และมีความลื่นไหลไม่ติดขัด แต่ปัญหาหลักที่มีตั้งแต่ตัวเกมหลักก็ยังตามติดมาเป็นเงา ไม่ว่าจะเป็นตัวละครที่ไม่น่าจดจำ ตัวเลือกที่ไม่เปลี่ยนแปลงรายละเอียดอะไรเลย รวมถึงตอนจบที่เดาได้ง่าย ถึงจะใช้พล็อตดึงดูดใจคนสมัยนี้อย่าง “ความเชื่อ VS ความเชื่อ” “ความแตกต่าง VS ความแตกต่าง” ก็ไม่ได้ทำให้ภาพรวมดูดีขึ้นแต่ประการใด

การนำเสนอ

ถ้าคุณขาดหวังอะไรที่เปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ Wrath of the Druids อาจไม่ได้เป็นดั่งใจหวัง แม้จะย้ายบ้านมาถึงแผ่นดิน Ireland แต่ด้วยความที่มันเป็นแผ่นดินใกล้ ๆ กัน สภาพสังคมเหมือนกัน และเรายังคงเป็นไวกิงคนดีคนเดิม ฉะนั้นมันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจาก England มาก ไม่ได้เซอร์ไพรส์เหมือนการเปลี่ยนไป Vinland หรือ Norway เลย กลายเป็นว่าเราต้องมาเห็นภาพซ้ำ ๆ กับพื้นที่ว่างเดิม ๆ สถาปัตยกรรมเดิม ๆ ของชาวไวกิ้ง สลับกับความเหงา ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเกมหลัก

หมอก และหมอกสีเขียว ที่ตัวเกมนำเสนอเป็นกิมมิคหลักของภาคเสริม ซึ่งจุดนี้ควรจะเป็นไฮไลท์หลัก แต่มันกลับสร้างความน่ารำคาญให้ผู้เล่นมากกว่า โดยเฉพาะหมอกธรรมดาที่ขึ้นหนาจัดในบางพื้นที่ นอกจากจะบดบังวิสัยทัศน์ ไม่ได้สร้างเกมเพลย์รูปแบบใหม่ใด ๆ แล้ว มันยังสร้างความรำคาญทะลุมาจนถึงสายตาผู้เล่น ให้คุณนึกภาพถึงตัวคุณเองจ้องควันจากกองไฟนาน ๆ จนรู้สึกถึงอาการแสบตา หมอกในเกมนี้ถือว่าอยู่ในระดับนั้น โดยมันจะมีพื้นที่หนึ่งของเกมถูกหมอกชนิดนี้บังเกือบหมด ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนถึงกับต้องพักสายตานานทีเดียว เพราะได้รับผลกระทบจากหมอกดังกล่าว

สิ่งที่ดีเพียงอย่างเดียวในหัวข้อการนำเสนอ คือการออกแบบลูกเล่นในฉากที่หลากหลายขึ้นกว่าเดิม ลดละเลิกดีไซน์น่ารำคาญอย่างการเอากล่องไปซ่อนในอาคารหลายชั้น เปลี่ยนเป็นการวางมันโต้ง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้เล่น อีกทั้งยังสร้างแนวคิด จุดวางใหม่ ๆ ให้ปริศนาต่าง ๆ ของเกม โดยเราไม่ได้รู้สึกเลยว่า มันยากไป มันน่ารำคาญไป หรือมันขัดกับความรู้สึกขณะเล่น เรียกได้ว่าแก้อาการเหม็นเบื่อจากการหากล่องไม่เจอเสียทีไปได้เยอะเลยทีเดียว

เกมการเล่น

ใน Assassin’s Creed Valhalla: Wrath of the Druids แม้จะให้เราไปลุยแผ่นดินใหม่ แต่แก่นหลักของเกมเพลย์ยังคงอยู่ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ทางบก การรุกรานทางน้ำ ทุกอย่างยังทำได้ในแผนที่ใหม่ เพิ่มเข้ามาด้วยสองระบบหลักที่จะเป็นพระเอก-นางเอก ในหัวข้อนี้ นั่นก็คือ Trade Post และ Royal Demands

Trade Post ถือเป็นแก่นหลักที่แท้จริงของภาคนี้ เนื่องด้วยตัวเอกถูกชักชวนมายัง Ireland เพราะความต้องการจะค้าขาย ในแผ่นดินนี้ คุณจะพบกับทรัพยากรใหม่ ๆ หลายชนิด และภารกิจของคุณคือ ต้องนำทรัพยากรเหล่านั้นไปทำการแลกเปลี่ยนกับคู่ค้า เพื่อสร้างชื่อเสียงให้ Trade Post ของเมืองดับลิน ขจรขจายไปไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยการจะรับทรัพยากรเหล่านี้ คุณต้องทำการยึด Port ทั้งหลาย ที่ขาดการติดต่อไปด้วยสาเหตุต่าง ๆ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

และ Royal Demands ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ให้ทรัพยากรเหล่านั้นด้วย อธิบายง่าย ๆ มันคือภารกิจที่ได้รับจากเหล่า King ของดินแดนนี้ ก็จะวน ๆ อยู่ที่การฆ่า ขโมยของกลับมา บลา ๆ แต่จุดที่แตกต่างจากภารกิจปกติ คือมันจะมีคำขอพิเศษติดมาด้วย เช่น ห้ามฆ่าคนโดยไม่จำเป็น, ห้ามถูกตรวจจับ หรือห้ามโดนโจมตีเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้เกมการเล่นค่อนข้างท้าทายกว่าปกติ

เมื่อคุณได้ทรัพยากรมา คุณจะต้องนำไปใช้ที่ Trade Post ผ่าน NPC เป็นอันเสร็จสิ้น โดยยิ่งคุณเทรดเยอะมากเท่าไหร่ ชื่อเสียงของเมืองดับลินในฐานะศูนย์กลางการค้าก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเกมการเล่นด้านอื่น ๆ

สำหรับศัตรูในภาคนี้ เรามีเหล่าดรูอิด และลัทธิ Children of Danu มาให้สอยเล่นอีกเช่นเคย โดยเหล่าดรูอิท จะเป็นพวกเล่นสารลวงตาทั้งหลาย ทำให้เราเห็นศัตรู แปรสภาพเป็นสิ่งที่ไม่น่ามีอยู่จริงในโลก ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หมาป่า ปีศาจกวาง บลา ๆ ทำให้เราต้องคิดแผนใหม่ ๆ ในการเล่นให้เยอะขึ้น ไม่ใช่ว่าตี ๆ บล็อค ๆ แล้วจะจบเหมือนเมื่อก่อน โดยเฉพาะช่วงหลัง ตัวเกมอัดศัตรูระดับสูงมาพร้อม ๆ กันทีละหลาย ๆ ตัวเพื่อต้อนเราจนมุมให้ได้ แต่ตรงนี้ไม่ต้องกังวล เพราะถ้าเล่นมาได้ขนาดนี้ ศัตรูเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย

เมื่อมามองภาพรวม ตรงนี้เหมือนผู้สร้างเขารู้ว่าเกมเพลย์หลักมันมีจุดอ่อนตรงไหนบ้าง อย่างในเกมหลัก ระบบ Progression มันกึ่ง ๆ บังคับเรามากเกินไป ถ้าไม่ทำก็จะไปต่อไม่ได้ แถมภารกิจก็ไม่ได้มีความน่าสนใจ ก็แค่สืบหา ฆ่า สืบหา ฆ่า ไปเรื่อย ๆ จะมาพีคจริง ๆ ตรงที่บุกยึดปราสาท แต่มันก็ไม่ได้มีให้เล่นบ่อย ๆ ฉะนั้นใน DLC นี้ เขาก็เลยทำให้ Trade Post เป็นระบบที่ไม่ต้องไปยุ่งอะไรมันมาก เพียงเปิดทิ้งไว้ เหล่า Port ทั้งหลายก็จะเทรดทรัพยากรมาให้คุณเอง คุณมีหน้าที่เพียงเข้าไปเก็บรวบรวมก้อนใหญ่เมื่อถึงเวลา และนำไปเทรดของที่คุณอยากได้แค่นั้น

รวมถึง Royal Demands ก็ออกมาแก้ความน่าเบื่อของมิชชันทั้งหลาย ที่วนซ้ำไปซ้ำมาแบบนั้น แถมไม่มีควา่มท้าทายใด ๆ เลย ฉะนั้นเมื่อมีฟังก์ชันนี้เพิ่มเขามา เราก็เหมือนได้ท้าทายตัวเองเพิ่ม แม้มันจะล้มเหลวบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขนาดว่าเกมโอเวอร์ มิชชันเฟลไปเลย เรายังได้โอกาสแก้ตัว แต่รางวัลที่ได้ก็จะน้อยลงแค่นั้น

ประสิทธิภาพ

ในแง่ประสิทธิภาพ อาจจะพูดอะไรไม่ได้มาก พูดได้แค่ว่า มันกินสเปกในระดับเดียวกับแผนที่หลัก ซึ่งนั่นก็คือ England เพราะมันไม่ได้มีเอฟเฟกต์ใด ๆ มากมาย จะมีก็แต่ในช่วงเวลาฝนตก ต่างกับแผนที่ Norway ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ตรงจุดนี้จะสร้างภาระให้เครื่องเป็นพิเศษ แต่เมื่อเราพูดถึง Ireland ในหัวข้อนี้ บอกได้เลยว่า ถ้าคุณเล่นเกมหลักจนจบได้โดยไม่มีปัญหา คุณก็เล่นแผนที่นี้ได้อย่างไม่มีปัญหาเช่นกัน

ปัญหาเรื่องบั๊กแรง ๆ ยังคงมีอยู่ ในระหว่างที่เล่นมาราว ๆ สิบชั่วโมง ภารกิจ Royal Demands เริ่มออกอาการแปลก ๆ เพราะปกติมันจะจบภารกิจด้วยตัวเอง หากเราออกจากพื้นที่ภารกิจ แต่มีครั้งหนึ่งที่มันไม่ยอมจบภารกิจ พร้อมขึ้นแจ้งเตือนให้เราอยู่ในสถานะไม่ถูกตรวจพบก่อน และขึ้นแจ้งเตือนแบบนั้นอยู่ราว ๆ 20 นาทีจนต้องออกเกมเข้าใหม่ พอออกเกมเข้าใหม่ เซฟกลับถูกรีโรลไปช่วงที่ยังทำภารกิจไม่สำเร็จ กลายเป็นว่าต้องมานั่งเล่นใหม่อีกรอบ

ยังไม่หมด ปัญหาเพื่อนร่วมทีมจมพื้นยังคงมี การอู้ไม่มาเปิดกล่องตามคำสั่งก็ยังมี แถมยังมีไฮไลท์สุดเด็ดที่เราภูมิใจนำเสนอ นั่นก็คือการที่เกมกด Fast Travel ไปยังพื้นที่ที่ไม่เคยเปิดใช้มาก่อนได้ ตรงนี้ถึงกับงงว่าเกิดขึ้นได้ยังไง แต่เมื่อเงยหน้ามาดูชื่อเกม เห็นคำว่า Assassin’s Creed Valhalla ก็หายแปลกใจเลย เพราะเกมนี้มันก็บั๊กเป็นปกติอยู่แล้ว

สรุป

แม้ Assassin’s Creed Valhalla: Wrath of the Druids จะไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรใหม่ ๆ ให้ตัวเกมมากนัก แต่โดยรวม มันคือการพัฒนาและแก้ไขเรื่องแย่ ๆ ในตัวเกมหลัก ให้กลับมาดูดีขึ้น โดยเฉพาะเกมเพลย์ ที่สนุก ลื่นไหล และท้าทายกว่ามาก ด้วยระบบใหม่ทั้งสองระบบ ที่เข้ามาช่วยสมดุลการเล่น รวมถึงมีเนื้อหาที่น่าสนใจ แม้ไม่ได้โดดเด่น แต่ใช้คำว่าสนุกได้เลย แต่เนื่องด้วยปัญหาด้านประสิทธิภาพ รวมถึงปัญหาด้านสภาพแวดล้อม ความเป็นพลวัตในเกม ที่ตามติดมาตั้งแต่เกมหลัก ทำให้ส่วนเสริม Wrath of the Druids อยู่ในระดับพอใช้ ไม่ได้ดี แต่ก็ไม่ได้แย่แต่ประการใด

Nattapit Arsirawatvanit

มาร์ค - Senior Content Writer

Back to top