ปล่อยให้แฟน ๆ รอคอยภาคต่อกันมาอย่างยาวนานถึง 5 ปีเต็ม แถมพอร์ทภาคแรกไปลง PC เพิ่มฐานแฟนเรียบร้อย ในที่สุด Horizon Forbidden West (ผจญภัยสุดเขตแดนต้องห้าม) ก็เตรียมปล่อยออกมาให้เราได้เล่นกัน แต่การผจญภัยครั้งใหม่ของ Aloy นี้ จะคุ้มค่ากับการรอคอยหรือไม่ ขอเชิญพบกับรีวิว Horizon Forbidden West
Story
แม้ว่าจะปล่อยให้เรารอกันมาอย่างยาวนานถึง 5 ปี แต่เหตุการณ์ในเกมภาค 2 นี้ เริ่มต้นขึ้นเพียง 6 เดือนเท่านั้้น หลังจากภาคแรก โรคระบาดลึกลับที่มาในรูปแบบของพืชพรรณสีแดง เริ่มลามเข้ามาในแผ่นดินเรื่อย ๆ ทำให้สัตว์และผู้คนเริ่มล้มตาย เพื่อหาหนทางในการแก้ไขและช่วยโลกใบนี้เอาไว้ Aloy ต้องออกเดินทางไปยังเขตแดนตะวันตก ซึ่งในอดีตมันคือแผ่นดินของทะเลทรายยูทาห์ ลากยาวไปจนถึงซานฟรานซิสโก หรือก็คือแผ่นดินอเมริกานั่นเอง
สำหรับคนที่เล่นภาคแรกมาก่อน จะรู้ว่าเกมนี้เป็นเกมที่เนื้อเรื่องล้ำมาก ๆ ยอมใจคนคิดพล็อตและการเขียนบท แต่ปัญหาของมันคือการเล่าเรื่องที่ช้ามากเช่นกัน ชนิดที่ว่าถ้าใครใจไม่แข็งพอ อาจจะถอดใจเลิกเล่นไปก่อน ไม่ก็ยอมเล่นแบบไม่รู้เนื้อเรื่องไปเลย แต่ส่วนตัวแล้ว เราแนะนำว่าก่อนจะเล่นเกมภาคนี้ ต้องรู้เนื้อเรื่องภาคแรกมาก่อน ยิ่งรู้มาก รู้ละเอียดเท่าไรยิ่งดี เพราะอย่างที่บอก เนื้อเรื่องภาคนี้เกิดขึ้นหลังภาคแรก 6 เดือนเท่านั้น หลายอย่างจะค่อนข้างต่อเนื่องและคาบเกี่ยวกันอย่างชัดเจน ถ้าลืมเนื้อเรื่องหรือไม่ได้เล่นมาก่อน คุณอาจจะไม่อินเท่าไรนัก
และภาคนี้ การผจญภัยของ Aloy จะไม่ได้โดดเดี่ยวเดียวดายอีกแล้ว เธอจะมีทั้งเพื่อนร่วมทาง ร่วมผจญภัยเยอะขึ้นกว่าเดิมมาก ทำให้เรารู้สึกว่าภาคนี้ Aloy ไม่ได้เผชิญหน้าวิบากกรรมกอบกู้โลกอยู่คนเดียวอีกต่อไป เราจะได้เห็นการสื่อสารกันระหว่างตัวละครตลอดทั้งเรื่อง และพอถึงจุดนึงก็จะมีการย้ายมาอยู่ร่วมกันด้วย
แต่ปัญหาของมันยังคงเป็นการเล่าเรื่องที่เนิบช้า มีน้ำอยู่เยอะมาก กว่าจะมีฉากตื่นเต้น หรือเฉลยปมกระตุ้นให้เราตื่นตัวก็ต้องใช้เวลาไปกับมันอยู่พักใหญ่ ๆ เลย และสำหรับคนที่ไม่ชอบเล่นอะไรซ้ำ ๆ ถือว่าเป็นข้อดี เพราะเกมนี้จะมีฉากจบเพียงฉากเดียวเท่านั้น และเป็นฉากจบที่ทรงพลังตามที่เขาว่าไว้จริง ๆ แม้มันจะเดินเรื่องอืดอาดไปหน่อย แต่พอถึงช่วงเข้มข้น ก็สามารถดึงเราไว้กับหน้าจอได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะช่วงไคลแมกซ์ที่ Epic สุด ๆ เอาเป็นว่าส่วนนี้เราไม่สปอยล์ ลองไปเล่นกันเอาเอง แต่ภาพรวมของเนื้อเรื่องเกมนี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมอยู่ดี
Presentation
นับตั้งแต่ PlayStation 5 วางจำหน่ายมา ก็เป็นเวลาปีกว่า ๆ แล้ว ต่อจาก Demon Souls Remake ก็เห็นจะมี Horizon Forbidden West นี่แหละ ที่เหมาะสมกับคำว่า Next-Gen โลกของเกมนี้ คือการจำลองแผ่นดินอเมริกาที่ล่มสลาย แต่มันก็ยังมีความหลากหลายของภูมิประเทศอยู่ ผู้เล่นจะได้ออกผจญภัยไปตั้งแต่ป่าไม้เขียวชอุ่ม ทะเลทราย ภูเขาหิมะ ไปจนถึงชายฝั่งทะเล และภาคนี้จะมีโลกใต้ทะเลให้เราลงไปดำน้ำได้ด้วย แต่ละฉากล้วนทำออกมาได้อย่างสวยงาม ไม่ว่าจะเดินทางไปไหน คุณก็อยากจะหยุดเพื่อกินลมชมวิว หรือหยุดเข้า Photo Mode เพื่อถ่ายภาพไว้อวดคนอื่นหรือเป็นที่ระลึก
ในเรื่องขนาดแผนที่ อาจจะไม่ได้ใหญ่กว่าภาคแรก แต่มันจะมีอะไรหลายอย่างให้เราทำเยอะมาก ๆ อย่างเหล่าจักรกลในภาคนี้ จะมีมากกว่า 40 แบบ ตามที่ทีมผู้พัฒนาเขาได้บอกไว้ เรียกได้ว่าไปแผนที่โซนใหม่ที ก็เจอสายพันธุ์ใหม่ที ทำให้เราต้องคอยสแกนหาข้อมูลอยู่ตลอด รูปลักษณ์ของหุ่นแต่ละตัวก็ถือว่าออกแบบมาได้อย่างยอดเยี่ยม แม้บางตัวจะมีรูปร่างและลักษณะที่คล้ายกันไปหน่อย แต่ส่วนตัวถือว่าออกแบบมาดีมาก ดูเท่ ดูมีพลัง และมันพร้อมจะฆ่าเราได้จริง ๆ
และภาคนี้ตัวเกมได้รองรับซับไตเติลภาษาไทยอย่างเป็นทางการ เป็นเรื่องดีของแฟน ๆ ชาวไทย ที่เชื่อว่าหลังจากนี้ เกมในอนาคตของ PlayStation Studios น่าจะรองรับภาษาไทยเกือบทั้งหมดแน่นอน แต่ใน Horizon Forbidden West นี้ ถือว่ายังมีบางส่วนที่แปลแล้วดูงง ๆ อยู่บ้าง อาจเพราะธีมหลักของเกมที่เป็น Sci-Fi หรืออะไรก็ตามแต่ มันยังมีคำผิด มีพิมพ์เกินให้เห็นบ้าง แต่ถือว่าเป็นส่วนน้อยถ้าเทียบกับภาพรวมทั้งหมด และการมีภาษาไทยในเกมนี้ก็ถือว่ามีประโยชน์มาก นอกจากจะทำให้ผู้เล่นเข้าใจเนื้อเรื่องอันซับซ้อนของเกมได้แล้ว ส่วนของการหาคำใบ้แก้ปริศนาก็ช่วยได้เยอะ เพราะถ้าเป็นภาษาอังกฤษ หลายคนอาจจะต้องพึ่งบทสรุปลูกเดียว แต่กับเกมนี้ ถ้าตั้งใจอ่านพวกไฟล์ คำใบ้ดี ๆ คุณจะจับจุดสังเกตได้ และหาทางแก้ปริศนาได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นส่วนของภาษาไทยเกมนี้ แม้ไม่ได้สมบูรณ์ไร้ที่ติ แต่ก็อยู่ในระดับที่ดีงามสมใจแฟน ๆ
ด้วยขนาดของแผนที่ในเกมที่กว้างใหญ่ แน่นอนว่าใครที่ชอบเล่นเกม Open World อยู่แล้วก็จะถูกใจมาก ๆ คุณจะได้เถลไถลไปทำอะไรสารพัด ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจโบราณสถาน การสำรวจคอลดรอน ที่จะให้ข้อมูลเหล่าจักรกล หรือการเปิดแผนที่ ที่ยังคงเป็นการดัดแปลงมาจากระบบปีนหอของ Assassin’s Creed แต่ปรับเปลี่ยนให้มีลูกเล่นมากขึ้นด้วยการให้ผู้เล่นไขปริศนาและหาทางปีนขึ้นไปบนลำตัวของเจ้าทอลล์เนค นอกจากนั้นยังมีค่ายกบฎซึ่งเป็นเหมือนกับ Outpost ของเหล่าศัตรูที่จะต้องจัดการศัตรูในแคมป์ให้หมด เพื่อที่จะหากุญแจมาเปิดหีบสมบัติ
หรือจะเป็นการเคลียร์โบราณสถานที่เป็นการใช้สมองไขปริศนา หาทางเข้าไปยังห้องสมบัติ เรียกได้ว่าโลกของเกมนี้ ชวนให้ผู้เล่น ทำมันแทบจะทุกอย่าง และเป็นทางเลือกให้กับทุกคนด้วย ชอบบู๊แหลก ชอบต่อสู้ ไปตีค่ายกบฎ ชอบใช้สมอง ไขปริศนาก็สำรวจซากโบราณสถาน หรือถ้าชอบผสม ๆ กันไปก็สำรวจคอลดรอน ที่มีทั้งการใช้สมองไขปริศนาและการต่อสู้ร่วมกัน และแน่นอนว่าทุกกิจกรรม จะมีรางวัลให้เสมอ ทั้งแต้มอัปเกรดสกิล และค่า EXP ในการอัปเลเวล หรือเราอาจจะได้ไอเทมใหม่ คือไม่ว่าคุณจะทำอะไรในเกมนี้ ก็ไม่มีคำว่าสูญเปล่าแต่อย่างใด
แต่ข้อเสียของมันก็จะเหมือนกับเกมอื่น ๆ เรียกได้ว่าเป็นข้อเสียหลักของเกม Open World ทุกที นั่นคือช่วงแรกคุณอาจจะรู้สึกติดพัน มีอะไรให้ทำเยอะแยะมากมาย สนุกกับการปลดล็อคของโน่นนี่ แต่พอนาน ๆ เข้าคุณจะรู้สึกว่ามันวนเวียนอยู่แบบเดิม ต่อให้แผนที่กว้างแค่ไหน แต่สิ่งที่ต้องทำ มันก็เหมือนเดิม ในจังหวะนั้นคุณจะเริ่มเบื่อ และอยากไปไถเนื้อเรื่องให้มันจบ ๆ ถือเป็นปัญหาที่แก้ได้ยากของเกม Open World จริง ๆ แต่ถ้าใครชอบเกมแบบนี้ สไตล์นี้อยู่แล้ว คุณจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน
Gameplay
เกมการเล่นของภาคนี้ ถือเป็นการต่อยอด เอาของภาคแรกมาทำให้ดีขึ้น และหลากหลายกว่าเดิม Aloy ของเราจะยังคงมีอาวุธและอุปกรณ์ติดตัวให้ใช้เป็นกระบุง ไม่ว่าจะเป็นธนู ที่แทบจะเป็นอาวุธหลักคู่กาย มีหอกที่ใช้เป็นอาวุธต่อสู้ระยะประชิด นอกจากนี้ก็จะมีหนังยาง และที่วางกับดักให้เราได้เลือกใช้กันอีกด้วย ตัวเกมจะมีความเป็น RPG เบา ๆ คือจะมีระบบเลเวล มีเกรดสีของไอเทมแบ่งไว้อย่างชัดเจน และเลเวลจะมีผลอย่างมากในการไปเจอกับศัตรูระดับสูง รวมถึงการดำเนินภารกิจที่มีเลเวลกำกับ ถ้าห้าวไปทำก่อนก็อาจจะทำให้เกมเล่นยากขึ้นโดยไม่จำเป็น แต่ไม่ต้องห่วงว่าเราจะต้องไปฟาร์มเก็บเลเวลกันจนเบื่อ เพราะเกมนี้ทั้งภารกิจและการต่อสู้จะให้ค่าประสบการณ์ที่สูงมาก เล่นแปป ๆ ก็พร้อมลุยแล้ว
เกมนี้แต้มสกิลกับเลเวลจะแยกจากกัน แม้ว่าเราจะได้ Skill Point จากการอัปเลเวล แต่นั่นไม่ใช่ทางเลือกเดียวในการปลดสกิลใหม่ การทำภารกิจก็จะให้ Skill Point ด้วยเหมือนกัน ถ้าเราขยันเก็บภารกิจรอง ขยันสำรวจโลก การได้ทุกสกิลมาใช้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็แทบจะเป็นเรื่องปกติ ในภาคนี้เราจะมีสกิลให้เลือกใช้งานมากถึง 6 สาย สามารถเลือกได้เลยว่าอยากจะปั้นสายไหนให้แข็งเป็นพิเศษ ยกตัวอย่างเช่นสายนายพรานที่จะเชี่ยวชาญการใช้ธนู สายนักรบที่เชี่ยวชาญหอก การปลดล็อคสกิลสายนั้น ๆ ไปจนถึงระดับที่กำหนดจะช่วยปลดล็อคสกิลท่าไม้ตายด้วย
ศัตรูที่เราจะต้องเจอ หลัก ๆ จะแบ่งออกเป็นสองประเภท คือพวกมนุษย์ด้วยกัน และพวกจักรกล หรือบางทีก็จะเจอพวกมนุษย์ที่ขี่จักรกลอีกที เจอแบบทูอินวันเลยทีเดียว รูปแบบการต่อสู้จะยังคงเหมือนกับเกมภาคแรก คือเราต้องสแกนตัวจักรกลก่อน เพื่อรู้ว่ามันแพ้ทางธาตุอะไร การใช้อาวุธที่ชนะทางกันจะทำให้จัดการศัตรูได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าเราไม่มีอาวุธธาตุนั้น ๆ ก็สามารถใช้ลูกธนูปกติหรือการใช้อาวุธประชิดโจมตีก็ได้ แต่อาจจะตึงมือขึ้นมาหน่อยนึง
ถึงแม้ว่าเกมนี้จะมีระบบ Aim Assist แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้ช่วยมากสักเท่าไร ดังนั้น ใครที่เล่นจอยเล็งยิงไม่ถนัด ก็มีทางเลือกในการไปเล่นสายนักรบ เพื่อเน้นต่อสู้ระยะประชิดไปเลยก็ทำได้ เกมไม่ได้บังคับให้เราต้องใช้อาวุธใดอาวุธหนึ่งขนาดนั้น ทุกอย่างอยู่ที่ผู้เล่นจะเลือกบิลด์สายสกิลของตัวละครเลย ไม่จำเป็นจะต้องไปคิดว่า Aloy ต้องใช้ธนูเสมอไป
และภาคนี้ เหมือนทีมสร้างเขาออกแบบระบบการต่อสู้และไขปริศนามาได้แบบลงตัว ครึ่งต่อครึ่ง ต่อให้บางช่วงเป็นภารกิจบู๊แหลก มันก็ยังมีการสอดแทรกการไขปริศนาย่อย ๆ เข้ามา หรือกลับกัน บางภารกิจที่เน้นการไขปริศนาหาทางไปต่อ ก็จะใส่ศัตรูเล็กน้อยเข้ามาให้เราได้ต่อสู้ด้วย เหมือนให้เราแก้เลี่ยน และต้องชมเลยว่าปริศนาในภาคนี้ มันท้าทายใช้ได้ ใครที่ใจร้อน เอาหน้าไถอย่างเดียว ไม่ยอมสังเกตสิ่งรอบข้าง คุณอาจจะติดแหง็กอยู่กับฉากนึงเป็นชั่วโมง
ข้อเสียหลัก ๆ ของเกมนี้ และอาจจะบอกได้ว่าเป็นข้อเสียของเกม Open World ทั้งหมดทั้งมวลเลยก็ว่าได้ หนีไม่พ้นเรื่อง A.I. / A.I. ของเกมนี้ถือว่าโง่จนทำให้เสียอรรถรสเกมเลยในบางส่วน แต่ผมยกเว้นพวกจักรกลเอาไว้ พวกจักรกลนี่มันตาดีมาก เผลอหลุดโผล่ไปให้เห็นนิดเดียว มันก็ตื่นตัวแล้ว แต่ A.I. มนุษย์ บางทีย่องอยู่หลังมันเป็นนาที มันยังไม่รู้ตัวเลยก็มี หลายคนชอบเล่นลอบเร้น เจอแบบนี้เข้าไปอาจจะขัดใจไม่น้อย และอีกปัญหานึงคือมุมกล้อง มุมกล้องนี่คือปัญหาหนัก ๆ ของเกมนี้เลย แต่มันจะเป็นเฉพาะตอนที่เราเข้าที่แคบ ซึ่งเกมนี้มันดันมีส่วนที่เป็นที่แคบเยอะพอสมควรเลยด้วย โชคดีเราจะได้เข้าที่แคบก็เฉพาะตอนเข้าไปสำรวจ หรือเป็นภารกิจเนื้อเรื่อง ถ้ามีตอนต่อสู้ด้วยนี่บอกเลยว่าปวดหัวแน่ ๆ
และส่วนตัว ผมรู้สึกว่าซีรีส์เกม Horizon มันเป็นการเอาระบบเกมเพลย์อื่น ๆ มาต่อยอดให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น แต่บางส่วนก็เหมือนกับเกมอื่น ๆ ผมปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ตลอดเวลาที่เล่นเกมนี้ เกมที่ผมนึกภาพซ้อนขึ้นมาในหัวมากที่สุดเลยคือ Far Cry และ Assassin’s Creed ในบางส่วน ดังนั้นใครที่เคยเล่น Far Cry มา อาจจะรู้สึกว่าเกมเพลย์มันไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่สักเท่าไร แถมออกสำรวจโลกมากไปก็จะเริ่มเบื่ออีก มันสูตรเดียวกันเป๊ะ ๆ เลย ผมเลยรู้สึกว่าจุดแข็งของเกมนี้ โดยเฉพาะภาคนี้ คือเนื้อเรื่องที่น่าติดตามและการนำเสนอโลกของเกมที่สวยงามเกินกว่าเกมอื่น ๆ จะทำได้
Performance
ถ้าไม่บอกว่าสมราคาเครื่องเกม Next-Gen ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว นี่น่าจะเป็นอีกเกมที่มาเพื่อโชว์พลังของ PlayStation 5 ณ เวลานี้เลย ในการเล่นบน PlayStation 5 จะมีให้เราปรับสองโหมด โหมดแรกจะเป็นโหมด Favor Resolution ที่จะเน้นเรื่องความละเอียดและความสวยงามของภาพ โดยตัวเกมจะรันโหมดนี้ที่ 4K 30FPS แต่ขออภัยที่ไม่มีภาพมาให้ดู เพราะผมเล่นกับจอความละเอียด 1080p เท่านั้น และอีกโหมด คือโหมดที่ผมเลือกเล่น และใช้เป็นฟุตเทจตลอดคลิปที่คุณได้เห็นกันนี้ ก็คือโหมด Favor Performance ที่จะรันภาพที่ 60FPS
ส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนค่อนข้างที่จะชอบ 60FPS เพราะเกมนี้หลัก ๆ มันคือการยิงธนู เฟรมเรทที่สูงกว่าหมายถึงการที่ภาพจะลื่นไหลกว่า พวกการเล็งยิงต่าง ๆ นี่ทำให้ยิงง่ายขึ้นเยอะ แต่ของแบบนี้ก็แล้วแต่ความชอบ ใครมีทีวจอใหญ่ ๆ อยากเน้นภาพสวย ๆ ก็เล่นโหมด Resolution ใครอยากได้ความลื่นไหลระหว่างเล่นก็เล่นโหมด Performance
และ..ด้วยความที่เราได้เกมนี้มาก่อนที่มันจะวางจำหน่ายจริง สิ่งที่ผมต้องเจอคือปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่นบั๊กทั้งที่เจอแบบโต้ง ๆ เลย เช่นศัตรูตายแล้วเอ๋อ กลายเป็นก้อนศพขยุกขยุยน่าสยองขวัญ หรือบางทีก็หลุดไปในฉากด้วยความไม่ได้ตั้งใจ จนถึงขั้นต้องรีเซฟเล่นใหม่ และมีบ้างบางช่วงที่เฟรมเรทหล่นแบบเห็นได้ชัด แต่ถือว่าน้อยมากถ้าเทียบกับภาพรวม เพราะที่พูดถึงนี้ แทบจะเป็นครั้งเดียวตลอดเกมการเล่นประมาณ 30 ชั่วโมง น่าจะดวงดีจริง ๆ ถึงเจอ และผู้เขียนคิดว่า Day 1 Patch ของเกมก็ไม่น่าจะเจอปัญหาพวกนี้แล้ว
การตั้งค่าอื่น ๆ ก็ถือได้ว่าครอบคลุมผู้เล่นแทบจะทุกอย่าง ถ้าชอบเล่นง่าย ก็เปิด Auto Focus ตอนยิงธนู Auto Heal ตอนพลังชีวิตต่ำ หรือ Auto Shieldwing ตอนตกจากที่สูงได้ทั้งหมด รวมไปถึงความยากของเกมที่ปรับได้ตั้งแต่เสพเนื้อเรืองไปจนถึงยากจริงจัง และการปรับตั้งค่าปุ่มบนคอนโทรลเลอร์ ทั้งความเร็วมุมกล้อง ปุ่มที่ใช้ ก็พร้อมจะมอบอิสระให้ผู้เล่นปรับแต่งเองได้ตามใจชอบ แต่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ผมรุ้สึกว่าเกมนี้ ระบบ Adaptive Trigger ที่เป็นตัวชูโรง มันไม่ค่อยจะมีผลสักเท่าไรเลย แต่ใครที่ชอบเล่นแบบสบาย ๆ มืออันนี้อาจจะชอบก็ได้ ไม่ว่ากัน
ถือเป็นภาคต่อที่คุ้มกับการรอคอย มันคือการสานต่อเรื่องราวที่ชวนติดตาม การนำเสนอโลกที่น่าทึ่ง ถ้าเป็นไปได้ หาเครื่องกันได้ ผมอยากให้สัมผัสเกมนี้บนเครื่อง PlayStation 5 กันมาก ๆ หรือถ้าไม่มี จะเล่นบน PlayStation 4 ก็ได้เหมือนกัน นี่คือเกมที่แฟน ๆ PlayStation ต้องเล่นเลย แม้เกมเพลย์จะดูคล้ายกับเกมอื่นไปบ้าง แต่ยังไงมันก็คือประสบการณ์การเล่นเกมที่ดี และผมคิดว่าทุกคนจะต้องชอบ