People Can Fly เจ้าของผลงาน Gear Of War และ Bulletstorm ได้กำเนิดโปรเจกต์ใหม่ที่ทะเยอทะยานที่สุดของ สตูดิโอนี้ ในชื่อ OutRiders จะเป็นยังไงมาดูกัน
Story
เมื่อดาวโลกนั้นได้ถูกทำลาย มนุษย์ชาติเข้าใกล้สูญพันธุ์ ดังนั้นการสำรวจดวงดาวใหม่จึงเริ่มขึ้น เพื่อหาบ้าน และเริ่มต้นอีกครั้งบนดาวเคราะห์ที่มีสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ที่ชื่อ “เอนอค”
แต่ก่อนที่จะส่งพลเรือนมาอาศัย พวกเรารับบทเป็น Outriders (เจ้าหน้าที่หน่วยสำรวจ) มีหน้าที่ลงมาลาดตระเวน ทำให้แน่ใจว่า ดาวดวงนี้ปลอดภัยต่อการให้พลเรือนลงมาใช้ชีวิต โดยหารู้ไม่ว่า ดาวดวงนี้มีอันตรายลึกลับแฝงอยู่
เราค้นพบพายุพลังงานลึกลับเหนือธรรมชาติหรือเรียกว่า ‘The Anomaly’ โดยบังเอิญ ทำให้เราบาดเจ็บปางตาย เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ จึงต้องเข้าการจำศีลแช่แข็งตัวเองไว้ (CyroSleep) โดยเราตื่นอีกทีก็ผ่าน 30 ปีมาแล้ว
จากดาวที่สภาพแวดล้อมสวยงาม น่าอยู่ พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็น มีสงครามต่าง ๆ นานา มนุษย์ที่อยู่ที่นี่ก็ดูไม่เป็นผู้เป็นคน สัตว์ก็เกิดกลายพันธุ์อันตราย แล้วเราเองที่ได้รับผลกระทบของ The Anomaly กลายพันธุ์เป็นยอดมนุษย์ มีพลังเหนือมนุษย์ทั่วไป ซึ่งเราต้องหาคำตอบจากเรื่องนี้ให้ได้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น 30 ปีช่วงที่เราหลับไป พร้อมทั้งเอาตัวรอดไปด้วย
ผู้เล่นจะอินกับเนื้อเรื่องได้ง่าย ๆ เพราะตัวละครที่เราเล่นก็ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับโลกนี้เช่นกัน ตัวเกมพาเราไปทำความรู้จักสิ่งใหม่ ๆ พร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็น Lore ให้อ่าน ไซต์เควส พูดคุยของ NPC รวมถึง คัตซีน เนื้อเรื่องหลัก ต่างทำออกมาให้เข้าใจง่าย ๆ อะไรที่เราต้องรู้ในเนื้อเรื่องหลัก มีการพูดถึงหมด ถ้าอยากรู้เพิ่มเติม ก็สามารถ อ่านใน Journal ทีหลังได้
ตัวละครเราก็มีความ Badass Anti-Hero ไม่ได้มีความเป็นภาวะฮีโร่อะไรขนาดนั้น แค่ต้องการจะเอาตัวรอดให้ได้จากโลกที่โหดร้ายนี้ให้ได้ เปรียบเทียบกับหนังยุค 90 ก็ว่าได้
นอกจากตัวเอกแล้ว ตัวเกมจะพาเราไปรู้จัก NPC ที่คอยร่วมเดินทางกับเรา เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ใส่ความหลากหลายเพศและเชื้อชาติเข้ามา บทแต่ละ NPC พวกนี้ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ชัดเจน แถมมีดราม่า แม้จะไม่เม้คสมจริง แต่ก็เป็นสีสันดี ลุ้น ๆ เหมือนกันว่า ใครจะตาย ใครไม่ตาย เดาทางไม่ถูก
สำหรับคนจะมาเสพเนื้อเรื่อง ถือว่าสอบผ่าน ในบรรดาเกม Loot Shooter เรารู้สึกสนุกกับเนื้อเรื่องเกมนี้มากกว่าเกมอื่น ๆ ในช่วงที่ผ่านมา ( ใช้เวลาเล่นเนื้อเรื่องประมาณ 12-16 ชั่วโมง )
ข้อสังเกตอย่างเดียวก็คือ ไม่ว่าเราจะดำเนินเกมยังไง มันก้ต้องเป็น คัตซีนเสมอ พอคัตซีนเสร็จก็ค่อยกลับสู่เกมเพลย์ ทำให้รู้สึกเหมือนเกมยุคเก่าไปหน่อย ทั้ง ๆ ที่นี่ก็ปี 2021 แล้ว
Presentation
People Can Fly ได้ต่อยอดสูตรสำเร็จการสร้างเกมของตนเองให้เหนือขึ้นไปอีกระดับ จากแค่เกมยิงเนื้อเรื่องธรรมดา สู่เกม AAA co-op Action Adventure Looter Shooter RPG ที่มีเนื้อเรื่องอัดแน่นเข้มข้น
หลาย ๆ คนพอเห็นตัวอย่างเกมเพลย์ ต่างนึกกันว่า เป็นโคลน Division , Destiny ,Warframe ซึ่งพอมาเล่นจริง ๆ ก็ใช่ แต่เมื่อพูดกันตรง ๆ มันให้ระบบคล้าย Diablo มากกว่า
แต่เจตนาทีมงานคือ เค้าไม่ได้ต้องการทำเกม Live Service แต่เค้าต้องการทำเกม Complete Game ให้จบเนื้อหาสมบูรณ์ และสนุกตั้งแต่ต้น-กลาง-ปลายเกมไปเลย แบบไม่กั๊กไว้เลย
เริ่มตั้งแต่ เราเป็น Outriders จะมีให้เลือกคลาส 4 คลาส ก็มี Pyromancer (ร้อนดั่งไฟนรกโลกันต์) Trickster (รวดเร็วเหนือกาลเวลา) Devastator (แข็งแกร่งดังภูผา) และ Technomancer (พิษรักสั่งตาย)
แต่ละคลาสก็จะมีรูปแบบการเล่นสไตล์ที่แตกต่างกัน โดยยังคงมีพื้นฐาน Cover-Base Shooter อยู่ทุกตัวมี Skill 8 อัน แต่เลือกใช้จริงได้ 3 อัน การจะได้สกิลใหม่ได้ ก็ต่อเมื่อเลเวลเราถึงกำหนด
อีกทั้งยังมี Class Tree แบ่งเป็น 3 สาย ทำให้ระบบบิลด์ตัวละครค่อนข้างลึกพอสมควร ซึ่งจะใช้ Class Point ในการอัพสาย (ได้จากเลเวลอัพ) และเราสามารถ Reset ได้ตลอดเวลาอีกด้วย
ระบบไอเทม จะแบ่งความหายากเป็น 5 ระดับ ตามสี Common Unusual Rare Epic Legendary สิ่งแตกต่างเด่นชัดเลยคือ Mod เสริมที่ติดเข้ามายิ่งแร์เท่าไร ก็ติดได้เยอะและมี Mod Skill ระดับ Tier ที่สูงอีกด้วย
ก็ค่อนข้างหลากหลายเช่นกัน
Resource ของเกมจะมี Scraps ที่ใช้ซื้อขายไอเทม Leather เอาไว้คราฟต์เสื้อผ้า Iron คราฟต์อาวุธ Titanium เอาไว้อัพเกรดเลเวลไอเทม และ Shards เอาไว้อัพเกรด Attributes ของไอเทม การจะได้ Resource เหล่านี้ เกิดจากการ ย่อย (dismantle) ไอเทมหรือขายไอเทมแล้วเอา Scraps ไปซื้อเอา
ข้อดีของ การย่อย อีกอย่างคือ เมื่อเราย่อยไอเทมไหนที่มี Mod มันจะเซฟ Mod นี้เข้าระบบ Craft ให้เราสามารถ Mod skill นี้ ในไอเทมชิ้นใหม่ต่อไปได้
ระบบ Crafting ของเกม จะไม่ได้เชิงสร้างไอเทมใหม่ แต่เป็นปรับแต่งไอเทมของเราให้เป็นไปตามบิลด์ที่เราต้องการจะมี 5 ตัวเลือก คือ 1.อัพเกรดให้แรร์ขึ้นอีกระดับ 2.เพิ่มค่า ATTRI 3.ปรับแต่งสกิล MOD 4.เปลี่ยนประเภทปืน และ 5.อัพเลเวลไอเทม ซึ่งก็ต้องใช้ Resource ตามที่เกริ่นไป เป็นอะไรที่สะดวกและหลากหลายดี
ตัวเกมจะกำหนดจุดภารกิจออกเป็น 5 ประเภท เควสเนื้อเรื่องหลัก เนื้อเรื่องเสริม เควสล่าสัตว์ เควสล่าค่าหัว และเควสเก็บบันทึกประวัติศาสตร์ โดยจะค่อย ๆ ปลดล็อคทุก ๆ ฟีเจอร์ในเกมเมื่อเราผจญภัยไปแผนที่ต่อไปเรื่อย ๆ (เราสามารถทำเนื้อเรื่องหลักให้เสร็จก่อนแล้วค่อยกลับมาทำที่เหลือได้)
เมื่อเราทำเควสอื่นที่ไม่ใช่เควสเนื้อเรื่องเสร็จก็จะการันตี ของรางวัลให้เลือก 1 จาก 3 ชิ้น เสมอ ถือว่าเป็นข้อดี ทำให้เราเลือกได้ว่า เราขาดอันไหนอยู่ จะได้หยิบมาใช้ต่อ
แผนที่หนึ่งมีพื้นที่หลายส่วน ทำให้ Fast Travel ย้อนหลังได้ ง่ายต่อการกลับมาทำย้อนหลัง ซึ่งแต่ละแผนที่ มีสภาพแวดล้อมแตกต่างกันออกไป รวมถึงศัตรูในแผนที่ก็เช่นกัน กว่าจะเล่นให้ครบหมดก็น่าจะ 20-30 ชั่วโมงไปแล้ว
พูดถึงด่าน การออกแบบเลเวล จะคล้าย ๆ รูปแบบเกมยิงยุค 2000 ทั่ว ๆ ไป ทุกครั้งที่เราเดินมาในพื้นที่ใหม่ ศัตรูก็จะมาแล้วสู้ ๆ กันไปจนจบ
ศัตรูจะมี 2 แบบใหญ่ ๆ คือ มนุษย์ และสัตว์ พื้นที่ศัตรูฝ่ายมนุษย์ จะสังเกตง่าย ๆ เลยคือมีที่กำบังให้เล่นเยอะ จะรู้เลยทันทีว่า เราได้เจอศัตรูที่เป็นมนุษย์ ในขณะที่ศัตรูที่เป็นสัตว์กลายพันธุ์ จะเป็นพื้นที่กว้าง ๆ ไม่มีที่หลบกำบังเท่าไร ตั้งแต่ต้นจนจบเกม จะเป็นแบบนี้ไปตลอด
ความยากระดับต่าง ๆ จะอยู่ในระบบ World Tier ในเกมนี้จะมีสูงสุด 15 ระดับ แต่ละระดับจะปลดล็อคของที่ดีกว่า แต่แลกกับความยากที่โหดกว่าเดิม ก็คือศัตรูที่เราสู้จะมีเลเวลเพิ่มขึ้นอีก ตามระดับ WT ที่เราเลือก
แน่นอนว่า ถ้าใครอยากเล่นแบบ Easy เลือกระดับ 1 ได้เลย แต่ของรางวัลก็จะคุณภาพตามระดับนั้น ทั้งหมดนี้ ไม่ส่งผลต่อ EXP เลเวลของตัวละคร อยากเลเวลไวก็จัด WT ต่ำได้เลย
ระบบอื่น ๆ ก็มีพวกตกแต่ง หน้าตาตัวละคร รวมถึงรถและธง เป็นฟีเจอร์ Cosmetic อีกทางเลือกสำหรับสายแฟชั่น
โดยรวมระบบ RPG นี้ ผู้เขียนมองว่ามีความรู้สึกคล้าย ๆ Diablo อยู่เหมือนกัน ทั้งเรื่องระบบ Build Skill รวมถึง Level Design อีกทั้ง Transition ของเกมที่จะต้องโหลดเสมอเวลาจะไปส่วนไหน
ในส่วนของ End Game Content ในเกมจะเรียกว่า “Expeditions” จะขึ้นโผล่ก็ต่อเมื่อเราจบเนื้อเรื่องเท่านั้น โดยจะแบ่งความยากใหม่เป็น ‘Challenge Tiers’ เป็นระดับความท้าทายของคนที่จะเข้า Expeditions แบ่งแยกกับ World Tier ไม่เกี่ยวกัน
Expeditions นั้นคล้ายๆ Raids ของเกมอื่นๆ จะมี 14 แห่ง จะเล่นคนเดียวหรือปาตี้ก็ได้ แต่เหมาะกับปาตี้มากกว่า โดย Default แล้ว จะมีให้เลือก 3 แห่งให้เล่นเท่านั้น แล้วจะค่อยๆเปลี่ยนทีละ 3 แห่งไปเรื่อยๆ ตามเวลา สำหรับที่ 14 ที่เป็นสุดท้าย จะชื่อ “Eye of the Storm” จะปลดล๊อคให้เข้าได้ ก็ต่อเมื่อ ผู้เล่นสามารถอยู่ระดับ Challenge Tier 15 และมี 40,000 Drop Pod Resources เป็นด่านที่ท้าทายที่สุด เหมาะกับผู้เล่นที่เก่งที่สุด
เป้าหมายใน Expeditions นั้น ง่ายก็คือให้ ฆ่าศัตรูให้เร็วที่สุด ก่อนเวลากำหนด ของรางวัลก็จะแบ่งเป็น 4 ระดับ Gold, Silver, Bronze และ ไม่ได้รางวัล
Drop Pod เป็น Resource ใหม่ของเนื้อหาท้ายเกม เอาไว้ซื้อของจาก Vendor และเพื่อปลดล็อคสู้กับบอสตัวสุดท้ายของเกม
ถือว่าเป็นเกมที่มีเนื้อหาครบสมบูรณ์จบในตัวเกม ไม่ต้องรอ Season Pass หรือ DLC มาเลย ก็อิ่มในตัวเรียบร้อย
Gameplay
ระบบกันเพลย์เกมนี้ มันเป็น Gears of War เวอร์ชันที่ดุดันกว่ามาก ๆ เพราะแต่ละคลาสทั้งสี่จะฟื้นฟูเลือดในรูปแบบที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับคลาสนั้น ๆ เลือดในเกมนี้ มีความสำคัญเหมือนทุกเกมตรงที่ เมื่อใดที่ 0 ก็ถือว่าตายทันที ตามปกติเราจะพยายามไม่ให้โดนยิงจนตายใช่ไหม ดังนั้นเราก็พยายามโดนศัตรูทำดาเมจให้น้อยที่สุดเสมอ จึงเล่นแบบเพลย์เซพกัน คอยหลบที่กำบัง
แต่สำหรับ Outriders แหกกฏข้อนั้นไปเลย ระบบฟื้นเลือดของเกม ขึ้นอยู่กับ ผู้เล่นฆ่าศัตรูได้เยอะและทำดาเมจเร็วแค่ไหนต่างหาก ยิ่งเราฆ่าเร็วหรือทำดาเมจเยอะ เลือดก็ฟื้นเร็วกว่า ศัตรูทำดาเมจใส่เราอีก แต่ถ้าเราพลาด ก็ตาย แน่นอนว่า เราจะกลับมาที่เชคพอยต์ก่อนเจอศัตรู ถึงแม้ว่าเราจะตายไป แต่เรื่อง loot และ xp ที่ได้ก็ไม่ได้เสียไป จึงรู้สึกว่า การตายของเกมนี้ ไม่ได้ส่งผลเสียอะไรขนาดนั้น
เกมเพลย์ระบบต่อสู้ทำให้นึกถึง DOOM เลย ไม่ได้มองว่าเป็นเกม Looter อื่น ๆ แต่อย่างใด มันแก็ปัญหาจุดนี้ได้เลย เราไม่ต้องมองหายาเติมเลือด ที่กำบัง (Cover) เป็นเพียงแค่ จุดพักสกิลคูลดาวน์ หรือพักหายใจ ตัดสินใจอีกชั่วครู่ว่าจะไปไหนต่อ เท่านั้นจริง ๆ
นอกเหนือจากยิงศัตรูแล้ว การมีพลังซุเปอร์ฮีโร่ มันก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็น ยอดมนุษย์ เพิ่มความเท่เข้าไปอีก พลัง Skill พวกนี้มีพลังไม่แพ้ปืนที่เราถือเลย แถมคูลดาวก็สั้น ๆ ใช้ได้เรื่อย ๆ มันกลายเป็นการผสมผสาน พลังพิเศษ+ยิงปืน ไปเรื่อย ๆ ได้สนุกสนานตลอดเวลา แล้วยิ่ง Coop ด้วยกัน จะเป็นการสร้างคอมโบที่บันเทิง ไม่รู้จะหาความสนุกกว่านี้ได้ที่ไหนอีกในเกม Looter แนวนี้อีกแล้ว
มันเหมือนทีมงานจงใจให้เรา เล่นเอาตัวเข้าใส่ ดุดันเข้าไว้ อย่ามาปอดแหก เข้าหลบกำบังแล้วยิงเอา เพราะศัตรูเกมนี้ Aim Bot จริง ๆ ยังไงก็ต้องโดนแน่นอน แถม AI ศัตรูฉลาด มี Tactic ในการจู่โจม ตีทางปีกบ้าง ส่งตัววิ่งใส่เข้าไปบ้าง โยนระเบิดหรือสไนเปอร์คอยส่องทันทีที่ออกจากที่กำบัง พยายามบีบเราให้ไม่แคมป์
อีกจุดหนึ่ง คือ เกมนี้เต็มไปด้วยตัวเลือก Quality-of-Life ที่ยอดเยี่ยม มีตัวเลือกให้เราย้อนกลับมาเล่นแต่ละส่วนของเนื้อเรื่องได้ ปรับความยากได้ ระบบ Crafting ที่ให้เราปรับแต่งไอเทมให้เหมาะกับบิลด์เดิม ๆ ได้สะดวกตลอด รวมถึง Skill Tree ที่รีเซ็ตได้ตลอด กลายเป็นคลาสนึงเราจะเล่นสไตล์แบบไหนก็ได้ เลียนแบบ Build ดัง ๆ ตาม Youtuber ได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาสร้างตัวใหม่
Pacing ของเกมนี้ จะทยอยค่อย ๆ หยอดอะไรใหม่ ๆ ลงไปเรื่อย ๆ ให้ผู้เล่นไม่รู้สึกเบื่อก่อน ตั้งแต่สกิล ก็จะปลดล็อคให้ใช้สกิลใหม่ได้ เมื่อเลเวลถึงกำหนด แถม Class Point ก็ทำให้ตัวละครเก่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จะไม่เหมือนบางเกมที่ ตัวละครจะไม่เก่ง จนกว่าจะจบเนื้อเรื่องก่อน ค่อยเก่งตอนนั้น
ระบบ World Tier ค่อนข้างทำให้ผุ้เล่นทุกคนสนุกได้ทุกแนว ในขณะที่ตัวละครในเกมของทุกคนก็จะดำเนินไปพร้อม ๆ กันในเรื่องของ Exp สายชอบความยากก็สนุกด้วยความท้าทายที่โหด ได้ของรางวัลตอบแทน สายชอบเล่นง่าย ๆ ถึงแม้จะไม่ได้ของรางวัลที่ดีเท่า แต่สุดท้ายก็จะตามทันเอง ไปจบกันที่ Expendition เหมือนกันทุกคน
Performance
ผู้เขียนรันเกมด้วย PS5 บอกเลยว่า คุณภาพคอนโซล Next-Gen ตัวนี้ สามารถรันเกมภาพ 4K 60 FPS ลื่น ๆ ไม่เคยเจอปัญหาเรื่องกราฟฟิกแต่อย่างใด ตั้งแต่ต้นจนจบ ถือว่าปรับแต่งมาอย่างดี
สำหรับฟีเจอร์ระบบ Dual-Sense ไม่ค่อยส่งผลเท่าไร ทำให้ฟีเจอร์เรื่อง จอย ไม่ได้มีความแตกต่างกับ เวอร์ชั่น PS4 เท่าไร ก็ถือว่าผิดหวังกันไป สำหรับคนที่อยากจะลองฟีเจอร์ใหม่ของจอย
แต่ปัญหาหนักที่สุด นั้นคือ ตัวเกมส์นั้นบังคับออนไลน์ตลอดเวลา (ต่อให้เล่นคนเดียวก็เถอะ) ทำให้การจะเล่นเกมส์ได้นั้น ขึ้นอยู่กับ 2 อย่างคือ 1.อินเตอร์เน็ตของผู้เล่น 2.เซอเวอร์
ปัญหาแรก ถ้าเน็ตบ้านเราหลุด ตัวเกมก็จะหลุดตามทันที รู้เลยทันทีว่า มีการเชื่อมต่อตลอดเวลา ก็ถือว่า ใครที่จะเล่น ก็ต้องมีอินเตอร์เน็ตดี ๆ สักหน่อย แน่นอนว่า การ Co-op นั้นขึ้นอยู่กับ Host ด้วยเพราะใช้ระบบ Peer-To-Peer ในการเชื่อมต่อ
ปัญหาที่สอง คือเซอเวอร์ ในช่วงที่ผู้เขียนได้รับเกมมารีวิวนั้น คือ ช่วงที่เกมเปิดตัวเต็มพอดี ทำให้ คนแห่เล่นกันเข้ามามาก จนทำให้เข้าเกมได้ยากลำบาก แถม 2-3 วันแรก มีการปรับปรุงเซอเวอร์กระจาย แต่ปัญหา น่าจะแก้ได้ ดีขึ้นหลังจากการประกาศจากทีมงาน ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่เท่าไรถ้าแก้ไขได้แล้ว
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจอีกนึงคือ Cross-Platform เราจะสามารถเล่นกับเพื่อน PC- Console ได้แล้ว แต่ว่าจากปัญหาข้อ 2 ทำให้ ฟีเจอร์นี้ถูกปิดชั่วคราว เลยไม่ได้ทดสอบส่วนนี้ โชคดีที่ Platform เดียวกันยังเล่นด้วยกันได้อยู่
มาพูดถึงบัคกันบ้าง ใช่ว่าจะไม่มี แน่นอนว่า ทุกเกมส์ย่อมมี แต่จะมากหรือน้อย แค่นั้นเอง มาดูกันว่า ผู้เขียนเจอบัคอะไรบ้าง
เควสบางเควส ไปต่อไม่ได้ ระบบเข้าใจว่า ยังคำนวณไปเส้นทางเควสก่อนอยู่
บัคปืนสไนเปอร์ของศัตรู เราะจะไม่ได้ยินเสียงยิงจากศัตรู
บัคปักธง ไม่สามารถปักธงเพื่อเซฟจุดวาปได้
ทั้งหมดนี้มีวิธีแก็คือ ต้องกดเข้าออกใหม่ทุกครั้ง ก็ค่อนข้างหงุดหงิดเหมือนกัน เพราะบางครั้งต้องเล่นใหม่อีกรอบ
Verdict
โดยรวมแล้ว ถ้าคุณชื่นชอบ Looter-Shooters นี่อาจจะไม่ใช่เกมที่ดีที่สุดในสายนี้ แต่ Outriders มีบางสิ่งที่แก้ปัญหาของเกม Looter อื่น ๆ ที่เคยออกเกมช่วงแรกเหมือนกันคือ นี่คือเกมเนื้อหาครบสมบูรณ์จบในตัวมันเอง ไม่ต้องรอ เนื้อหาอนาคตใด ๆ อีกทั้งเกมเพลย์สุดมันที่สนุกตั้งแต่ต้นจนจบเกม
Outriders คือปีศาจแฟรงเก้นสไตล์ของ People Can Fly เกิดส่วนผสมหลาย ๆ เกม ไม่ว่าจะเป็น Borderlands, Diablo, Division, Gears of war, Fallout, Warframe และเกมอื่น ๆ ในปัจจุบัน จนเกิดเป็นสิ่งใหม่
ถึงแม้จะสร้างความประทับใจครั้งแรกไม่ได้ ตัวเกมดูมีแผลเหวอะ ดูแบบไม่เหมาะสมกับเกม Next-Gen เท่าที่ควร แต่ถ้าเราอยู่กับมันเรื่อย ๆ เราจะพบความเซอไพรส์ ความสนุกจนลืมเวลาที่เล่นไปเลย ถือว่าอีกเกมที่มีความเป็น Guilty Pleasure อยู่เหมือนกัน