เลื่อนกันมาอย่างยาวนานเกือบสองปีเต็ม สำหรับเกมสปินออฟของ Rainbow Six ที่คราวนี้เป้าหมายของทีมนี้ ไม่ใชหยุดแผนก่อการร้าย แต่หนักยิ่งกว่านั้นคือการรับมือกับเชื้อไวรัสสุดอันตราย แต่มันจะยอดเยี่ยมแค่ไหน ทำออกมาได้ดีหรือไม่ ขอเชิญพบกับ Review – Rainbow Six Extraction
Story
นี่คือเหตุการณ์สานต่อของอีเวนท์ Outbreak ที่เคยจัดขึ้นเมื่อปี 2018 ในเกมหลักอย่าง Rainbow Six Siege เมื่อเชื้อไวรัสเกิดการระบาดในโซนหนึ่งของนิวเม็กซิโก ทีม Rainbow ได้รับมอบหมายให้ไปตรวจดูสถานการณ์ ก่อนจะพบว่ามันร้ายแรงเกินกว่าจะแก้ไขได้ และเชื้อไวรัสก็ลุกลามไปทั่วแผ่นดินอเมริกา งานนี้ไม่ใช่แค่การก่อการร้าย แต่อาจเป็นไวรัสร้ายที่ทำลายโลกทั้งใบได้ และเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสลุกลามออกไปนอกประเทศ ทีม Rainbow มีหน้าที่ต้องหยุดมันให้ได้ และเพื่อการนี้จึงมีการจัดตั้งหน่วยพิเศษที่มีชื่อว่า REACT สำหรับรับมือกับเหตุการณ์นี้โดยเฉพาะ นำทีมโดย Ash และเหล่าเจ้าหน้าที่ที่เราคุ้นเคยกันดีจากเกมหลักมาเป็นตัวดำเนินเนื้อเรื่อง
แม้ว่าเกมนี้จะเป็นเกม Co-op แบบผ่านเป็นฉาก ๆ ไป แต่ส่วนมากแล้วเกมแนวนี้มักจะให้ความสำคัญกับเนื้อเรื่องเป็นส่วนรองลงมา แต่สำหรับ Rainbow Six การดำเนินเนื้อเรื่องจะพาผู้เล่นไปพบกับเหตุการณืและความจริงต่าง ๆ ของเชื้อปรสิต “คิเมร่า” ไปพร้อม ๆ กับเหล่าเจ้าหน้าที่ทีมเรนโบว์ภายในเกม นอกจากเนื้อหาหลักของเกมแล้ว Codex หรือ Lore ภายในเกมก็เยอะมากพอ ซึ่งผู้เล่นอาจจะรับรู้เรื่องราวหลัก ๆ จากการเล่นด้วยตัวเอง แต่ถ้าอยากรู้ว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์ ณ จุดนี้ ตรงนี้ ก็อาจจะต้องพึ่งการอ่านเหล่า Codex แทน แต่ก็ไม่ต้องห่วง เพราะเกมนี้มีการรองรับซับไตเติลภาษาไทยด้วย
หลายคนอาจจะรู้สึกขัดใจและแปลก ๆ นับตั้งแต่ตัวเกมประกาศเปิดตัว ว่าทำไมถึงกล้าเอาเนื้อหาจากอีเวนท์เล็ก ๆ มาต่อยอดเป็นเกมใหญ่ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วตัวเกมก็ทำออกมาได้ดี อาจจะฉีกแนวจาก Rainbow Six ต้นฉบับไปเยอะมาก แต่สเกลเนื้อเรื่องและการนำเสนอของเกมนี้นั้น ทำออกมาไม่แย่เลย ใครที่ชอบเรื่องราวของทีมเรนโบว์กันอยู่แล้ว เนื้อเรื่องของเกมนี้น่าติดตามมาก
Presentation
ถ้าเข้าเกมมาครั้งแรก แล้วรู้สึกว่าได้เล่นเกมเดิมอย่าง Rainbow Six Siege ก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะเรื่องของกราฟิก หรือแม้แต่เสียง หรือบางบทพูดก็แทบจะยกมาจาก Rainbow Six Siege แทบทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ทำให้มันแตกต่างไปจากเกมเดิมจริง ๆ คือเรื่องของบรรยากาศการเล่น ที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
จากความกดดันในการต่อสู้กับผู้เล่นด้วยกันเอง กลายเป็นความกดดันในการทำภารกิจที่ระบบกำหนด ศัตรูที่เป็นพวกอาร์เคียนส์ ก็ให้ความสยองขวัญทั้งจากการออกแบบที่บางตัวก็ดูไม่ค่อยมีอะไร บางตัวแค่เห็นก็ชวนอี๋แล้ว แต่ใครเคยเล่นพวกเกมยิงซอมบี้ ยิงเอเลี่ยนมาก่อน ผมว่าอาจจะชินชาไปแล้วก็ได้กับการออกแบบแบบนี้
Progression ของเกมนี้คือการบุกตะลุยไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วแผ่นดินอเมริกา ทั้งนิวยอร์ค ซานฟรานซิสโก อลาสก้า และนิวเม็กซิโก แต่ถึงแม้จะบอกว่าลุยไปทั่ว แต่เล่นจริง ๆ เราอาจจะรู้สึกว่ามันก็ไม่ต่างกันมาก เพราะส่วนใหญ่แล้วเวลาเล่นภารกิจ เราจะบุกเข้าไปลุยยังสถานที่เฉพาะ หรือภายในอาคารมากกว่า ไม่ใช่โลกเปิดจนทำให้เรามองเห็นความต่างได้
การออกแบบแผนที่จะมีความซับซ้อนเหมือนกับ Rainbow Six ต้นฉบับ ใครจำทางไม่เก่ง มีหลงแน่นอน และหลงเกมนี้ค่อนข้างอันตรายด้วย ถ้าเราไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ข้างหน้า หรือห้องถัดไป และเพราะแบบนี้ ผู้สร้างเขาเลยดัดแปลงให้ Operator หรือตัวละครแต่ละตัว มีความสามารถที่แตกต่างกันไป ตัวละครในเกมนี้จะมีทั้งหมด 18 ตัวด้วยกัน แต่ไม่ใช่ว่าเราจะปลดมาได้ทั้งหมดเลยแต่แรก ในช่วงแรกเราจะมี 9 ตัวเท่านั้น ส่วนอีก 9 ตัวต้องไปปลดจากการเล่นกันเอาเอง แต่ละตัวก็จะมี Loadout เป็นของตัวเองด้วย คืออาวุธชนิดต่าง ๆ ที่เราสามารถปรับแต่งได้ แต่ก็ไม่ค่อยเยอะสักเท่าไร และเกมนี้หลัก ๆ แล้วเรามักจะใส่ที่เก็บเสียงมากกว่าอยู่แล้ว ทำให้ระบบแต่งปืนเกมนี้ไม่น่าสนใจเอาซะเลย
ตัวละครแต่ละตัวจะมีเลเวลของตัวเอง ที่ยิ่งเลเวลสูงขึ้นจะทำให้สกิลของตัวละครนั้นมีประสิทธิภาพสูง และการจะทำให้เลเวลสูงขึ้นก็ต้องหยิบตัวละครนั้นมาเล่นบ่อย ๆ กลายเป็นที่มาของการ Grinding อย่างหนักและอาจจะกลายเป็นข้อเสียของคนที่ไม่ชอบเล่นอะไรซ้ำ ๆ
และที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ ภาษาไทย หลังจากทำให้แฟน ๆ ประทับใจกันไปอย่างมากในการแปลภาษาไทยของ Far Cry 6 แต่มาถึง Rainbow Six Extraction ก่อนอื่นคือเกมนี้มันไม่ได้มีศัพท์เฉพาะทาง หรือเหตุการณ์ที่ชวนให้เราอินเหมือนกับ Far Cry 6 ตอนเล่นเราเลยอาจะรู้สึกว่ามันอิมแพคท์ไม่เท่า คือส่วนของรายละเอียดเจ้าหน้าที่แต่ละคน และโคเดกซ์ที่เป็นเนื้อเรื่อง หรือ Lore ของเกม ต้องชมว่าแปลดีพอสมควร อ่านแล้วรู้เรื่อง แต่ในส่วนของการแปลตรงคัทซีน กลับมีปัญหาอย่างเห็นได้ชัด ทั้งบริบทคำพูดที่อ่านแล้วแปลก ๆ จับใจความไม่รู้เรื่อง และที่หนักกว่านั้นคือ ซับภาษาไทยในส่วนของฉากคัทซีน มันจะชอบแสดงผลตัวอักษรขาด ๆ เกิน ๆ ทำให้คำบางคำโดนตัดไปประโยคต่อไป อ่านแล้วงงเข้าไปอีก แต่ก็ต้องบอกก่อนว่าผมมีปัญหากับภาษาไทยแค่ตรงส่วนนี้เท่านั้น ส่วนอื่นถือว่าโอเคเลย แปลดีใช้ได้
ในตอนแรกที่เกมเปิดตัวมาด้วยราคาระดับ Triple A ผมก็หวั่น ๆ อยู่ว่าเกมมันจะไปรอดไหม แต่ตอนนี้ตัวเกมเขาลดราคาต้นลงมาแล้ว และดูจากคอนเทนต์ของเกม ถ้าจะเอาให้จบทั้งหมด แค่เนื้อเรื่องหลัก น่าจะต้องใช้เวลาขั้นต่ำ 20 ชั่วโมง และยังมี Endgame Content อย่างโหมด Maelstorm รออยู่อีก ก็ถือว่าไม่ใช่แค่การหยิบโหมด Outbreak มาขายขำ ๆ แต่เป็นการสร้างเกมใหม่ขึ้นมาทั้งระบบจริง ๆ ถ้าคุณชอบแนว Co-op หรือแนวสยองขวัญแล้วล่ะก็ ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคา
Gameplay
Knowledge is Power ความรู้คือพลัง นี่คือคำพูดที่เราจะได้ยินบ่อยมากในเกมนี้ การรู้มุม รู้แผนที่ รู้ตำแหน่งของศัตรู จะมีความสำคัญมาก สิ่งที่เราเคยทำใน Rainbow Six Siege คุณจะได้ทำแบบเดียวกันเป๊ะ ใช้โดรนวิ่งไปสำรวจแผนที่ วางกำแพงเหล็กเสริมการป้องกัน ค่อย ๆ ย่องไปตามพื้นที่ หรือ ยิงทะลุกำแพง ซึ่งมันจำเป็นต้องทำด้วย เพราะถ้าไม่ทำ เกมจะยากขึ้นทันที
เจ้าหน้าที่ทั้ง 18 ตัว จะมีสกิล มีความสามารถเฉพาะที่แตกต่างกัน บางตัวก็เหมือนกับในเกมหลักเลย แต่พอมาอยู่ในเกมนี้ จะทำการดัดแปลงสกิลเล็กน้อยให้เหมาะกับการเล่นแบบ PvE ยกตัวอย่างเช่น Pulse ที่ในเกมหลักจะใช้เครื่องสแกนการเต้นหัวใจในการระบุตำแหน่งศัตรู แต่ในเกมนี้ จะใช้ตรวจจับรังของศัตรูแทน หรือลอร์ดทาชังก้าของทุกคน ก็ยังขนป้อมปืนมาใช้ในเกมนี้ได้ด้วย
ทุกครั้งที่เราเริ่มเล่น ระบบจะสุ่มภารกิจขึ้นมา 3 แบบ จากภารกิจทั้งหมด 13 แบบ แล้วแต่เลยว่าจะสุ่มได้ภารกิจอะไรมา ภารกิจ ทั้ง 3 จะแบ่งออกเป็น 3 โซน ซึ่งบางภารกิจอาจจะทำให้ตัวละครใดตัวหนึ่งโดดเด่นขึ้นมาทันที ดังนั้นการเล่นกับเพื่อนในเกมนี้ จะทำให้ทีมของเรามีความสามารถที่ครบเครื่องเป็นอย่างมาก ขึ้นอยู่กับว่าจะหยิบเอาตัวละครอะไรมาใช้
และหากคุณคิดว่านี่เป็นเกมเดินหน้ายิงแหลกแล้วล่ะคุณ คุณคิดผิดแน่นอน Knowledge is Power ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในส่วนของเกมเพลย์นี้ด้วย สาเหตุที่เราเดินหน้ายิงแหลกไม่ได้ เพราะศัตรูพวกนี้มันไม่ใช่กระจอก เหล่าเอเลี่ยนในเกมนี้จะมีหลากหลายแบบมาก ในช่วงแรกที่เล่นก็อาจจะเจอไม่กี่ประเภท แต่พอเล่นไปไกล ๆ ไปฉากใหม่ ๆ ก็จะเริ่มเจอเยอะขึ้น มีทั้งตัวปกติทั่วไป ตัวระเบิดที่พร้อมจะวิ่งมาตู้มใส่หน้าเราที่เจอ ตัวที่หุ้มเกราะทั้งหมด หรือตัวยิงไกล เอาเป็นว่ามีแทบจะทุกประเภทศัตรู และแต่ละตัวก็จะมีจุดอ่อนให้เราได้ยิงด้วย ขอแค่ยิงโดนนัดเดียวก็เอาลงได้แล้ว แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ Gunplay ของเกมนี้ก็อิงมาจาก Rainbow Six การยิงรัว ยิงค้างจะทำให้ปืนดีด และความแม่นยำลดลงอย่างมาก การจะยิงเอเลี่ยนพวกนี้ คุณต้องเล็งให้ประณีตพอ ๆ กับการเล็งยิงหัวคนในเกมหลักนั่นแหละ Stealth แตกขึ้นมา บอกเลยว่างานยาก และเอเลี่ยนพวกนี้มันตีแรงมาก ย้ำว่ามาก ๆ ซึ่งถ้าหากเราพลาดท่าทำตัวละครตายในภารกิจขึ้นมา เราจะสูญเสียตัวละครนั้นไปชั่วคราว วิธีที่จะนำกลับมาใช้งานได้ใหม่ คือในการเล่นรอบต่อไป เราจะหยิบเอาตัวละครอื่นมาใช้แทน และระบบเกมจะสุ่มภารกิจช่วยเหลือตัวละครมาให้เราเล่นโดยอัตโนมัติ
นั่นทำให้ผู้เล่นต้องออกสำรวจแผนที่โดยใช้โดรน หรือค่อย ๆ ย่องไปดูเบาะแสด้านหน้า ว่ามีศัตรูประเภทไหน มีภารกิจอะไรที่ต้องทำ เพราะการบาดเจ็บของเราแต่ละครั้ง ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ในเกมนี้จะไม่มีการฟื้นฟูพลังชีวิตระหว่างการเล่น แต่จะมีกล่องปฐมพยาบาลที่ช่วยบูสท์พลังชีวิตชั่วคราวให้แทน หากตัวละครบาดเจ็บขึ้นมา วิธีเดียวที่จะทำให้พลังฟื้นกลับมาได้ คือจบเกมแล้วให้ตัวละครนั้นไปพัก พักก็คือการเปลี่ยนไปเล่นตัวละครอื่นชั่วคราวนั่นแหละ
คำถามสำคัญก็คือ สรุปแล้วเกมนี้ เล่นคนเดียวได้ไหม ? คำตอบก็คือ ได้ และอาจจะดีกว่าการเล่นกับคนอื่นด้วย ด้วยความที่เกมนี้จะปรับระดับความยากตามจำนวนผู้เล่น ยิ่งมีผู้เล่นมาก จำนวนของ Objective ก็จะยิ่งมากขึ้น อย่างการทำลายรังเอเลี่ยนก็จะมีมากขึ้นตามจำนวนผู้เล่น ยิ่งทำให้เราต้องใช้เวลากับภารกิจนั้น ที่ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงไปในตัว จริงอยู่ว่าการเล่นกับเพื่อนมันก็สนุกกับการได้แท็กทีมกัน แต่มันก็ไม่จำเป็นขนาดนั้น และบางคนอาจจะชอบการเล่นคนเดียวมากกว่า เพราะมันจะกลายเป็นเกม Tactical สยองขวัญเลยทีเดียว
ด้วยความโหดของเหล่าศัตรู จึงทำให้ผู้เล่นจำเป็นจะต้องวางแผนในทุก ๆ การเล่น ระวังทุกการเดินไปข้างหน้า หรือตามมุม ตามเหลี่ยมต่าง ๆ เพราะหากจ๊ะเอ๋กับศัตรูเข้ามาแล้วเกิด Alert ก็รับมือยากแน่นอน การติดตั้งกำแพงเหล็ก การพีคยิง ยังคงใช้ได้กับเกมภาคนี้ด้วย เราสามารถใช้เทคนิคเหล่านี้เข้ามาช่วยเหลือในการเล่นได้ ยิ่งใครเคยเล่น Rainbow Six มาก่อน ก็จะเข้าใจเกมการเล่นได้ไม่ยาก ถ้าใครอยากได้เกม co-op วางแผนกลยุทธิ์ แต่ก็ไม่ Hardcore จนเกินไป คุณก็น่าจะชอบเกมนี้
เกมการเล่นของภาคนี้จะแปลกใหม่ก็ต่อเมื่อคุณเจอภารกิจนั้น ศัตรูตัวนั้นเป็นครั้งแรก แต่หลังจากนั้นคุณจะเริ่มชิน เริ่มจับตำแหน่ง จับจุดการเล่นได้ และเมื่อถึงเวลานั้น คุณจะเล่นคนเดียวก็ยังไหว ดีไม่ดีง่ายกว่าด้วย เพราะอย่างที่บอกว่าความยากของเกมมัน Generate ตามจำนวนผู้เล่น แต่มันก็ยังมีซีนปะทะบอสที่เล่นคนเดียวอาจจะลำบาก หรือโหมดบางโหมดที่ต้องเล่นกับเพื่อนจะดีกว่า เล่นคนเดียวก็ได้ เล่นกับเพื่อนก็ดี แต่บอกก่อนว่า เพื่อนที่มาเล่นด้วยกันนี้ จะต้องมีเกมเซนส์ และเรียนรู้กันพอสมควร ไม่อย่างนั้นหัวร้อนแน่นอน แต่การเล่นคนเดียวของเกมนี้ก็ทำให้ผมเจอปัญหาของมัน ไม่ใช่ความยาก ไม่ใช่ความสนุก แต่คือหากเราเล่นคนเดียว ไอ้ระบบสกิลประจำตัวของตัวละคร มันจะไม่มีความหมายเลย คือมันได้ใช้แหละ แต่ไม่บ่อยมาก การเล่นคนเดียวจะเป็นการเน้นใช้โดรนระบุตำแหน่งศัตรู แล้วลอบเร้นมากกว่า สกิลไม่ค่อยได้ใช้
แต่.. หลังจากผมได้ลองเล่น Public Match ไป 2-3 รอบ ผมก็รู้สึกว่าสกิลบางตัวไม่มีประโยชน์อยู่ดี เพราะคนส่วนใหญ่ มันเปลี่ยนเกมให้กลายเป็น Call of Duty เลย วิ่งยิงกระจาย Stealth อะไร ไม่สนสักอย่าง คือเกมมันก็ยังมีภารกิจแบบอสไฟท์ที่ให้เรายิงอย่างเดียว แต่บางภารกิจ การลอบเร้นมันง่ายกว่ามาก แต่คนเล่น โน ไม่ มาเพื่อยิงเท่านั้น มันเลยทำให้อรรถรสเกมเสียหายไปบ้าง ทางที่ดีผมแนะนำว่า ถ้าอยากเล่นลอบเร้น เป็นหน่วยรบกลยุทธ์เทพ ๆ เล่นคนเดียวไปเลย หรือไม่ก็หาเพื่อนที่สื่อสารกันได้มาเล่นด้วยกัน แต่ถ้าอยากบู๊ อยากยิงกระจุยกระจาย แล้วก็ไปล้มบ้าง ตายบ้าง ลองกดเล่นสาธารณะดู ไม่รู้ว่าเจอกันบ่อยไหม แต่ผมกดทีไร เจอแต่พวกนี้ตลอด โดรนไม่ต้องกด กำแพงไม่ต้องกัน วิ่งยิงกันอย่างเดียว ไม่รู้เล่น Rainbow Six หรือ Resident Evil..
Performance
ปกติแล้วเกมของค่าย Ubisoft จะไม่ใช่เกมที่เกินหน้าเกินตาอุปกรณ์ยุคปัจจุบันอยู่แล้ว ยิ่งกับ Rainbow Six Extraction นี้ ยิ่งสบายเลย ใครที่เล่นเกมหลักได้อยู่แล้ว ผมว่าเกมนี้ก็เล่นได้สบาย และที่สำคัญคือ มันกินพื้นที่ในการติดตั้งน้อยกว่าตัวเกมหลักซะอีก และระหว่างการเล่น ผมก็ไม่ค่อยเจอปัญหาเกมแลค หลุด กระตุก ค้าง เกมล่ม หรือหลุดระหว่างเล่นเลย
แต่.. ปัญหาหลัก ๆ ที่ผมเจอเลยในช่วงการเล่น ต้องบอกก่อนว่าผมได้ตัวเกมมาก่อนที่มันจะวางจำหน่ายจริง ตัวเกมมันมีปัญหาค่อนข้างมาก เอาที่ชัดที่สุดเลยในช่วงแรก คือการติดตั้งเกมด้วยภาษาไทยนั้น ทำให้เกมล่มตอนเริ่มต้นเล่น ตอนแรกผมงงมาก แก้ยังไงก็ไม่หาย สุดท้ายลองลบเกมลงใหม่ ติดตั้งเป็นภาษาอังกฤษ ผ่าน เล่นได้เฉย แล้วค่อยไปปรับเป็นภาษาไทยในเกมทีหลัง แต่ปัญหานี้น่าจะได้รับการแก้ไขใน Day 1 Patch หรือวันที่เกมออกแล้วแน่นอน เอาเป็นว่าใครที่ลองติดตั้งเกมเป็นภาษาไทยแล้วมีปัญหา ลองเปลี่ยนภาษาตอนลงเกมดูก่อน เผื่อมีคนเป็นเหมือนผม
ส่วนของการตั้งค่า อันนี้ขอชื่นชม เพราะละเอียดยิบมาก ดูเหมือนว่าช่วงหลัง ๆ Ubisoft เขาจะให้ความสำคัญกับการ Setting ที่ยืดหยุ่นมาก ๆ ที่ผมชอบเป็นพิเศษเลย คือ ส่วนของความดังของเสียงเวลา Voice Chat ตอนที่เราอัดวิดีโอ คือบางทีการที่เราจะเล่นเก็บฟุตเทจ เก็บภาพในเกม แล้วต้องเล่นกับเพื่อน เสียงเพื่อน เสียงคุยกันในเกม มันจะทำให้เราเอาไปใช้งานยากมาก หรือไม่ก็ต้องเหนื่อยตัดต่อเพิ่ม เกมนี้ แต่เกมนี้ทำได้ เราตั้งได้ ว่าจะให้เสียง Voice Chat เราดังแค่ไหน ดีมาก ๆ
ใครที่ชอบเล่นกับเมาส์แบบละเอียด เกมนี้ก็ทำได้ตามมาตรฐาน ความไวแนวตั้งแนวนอน และทุก ๆ การเคลื่อนไหวของเราด้วยคีย์บอร์ด ไม่ว่าจะเป็นการเล็ง วิ่ง ยิง คลาน สามารถตั้งค่าสลับไปมาระหว่างกดทีเดียวกับกดค้างได้ อันนี้ก็น่าจะเป็นเซ็ตติ้งที่หลายนคนชื่นชอบ
ส่วนของซับไตเติลที่ทำมาแบบ ละเอียดมาก เพราะเราปรับซับไตเติลได้ตั้งแต่ขนาดของซับไตเติล ไปจนถึงสีของซับไตเติล ที่มาแบบ ครบทุกเฉดสี เอาเลยเต็มที่ และฟีเจอร์สำหรับคนตาบอดสีแบบจัดเต็มมาก ๆ ภาพรวมของ Performance และระบบ Setting ของเกม ถือว่าทำได้ดีตามมาตรฐานของ Ubisoft เลย
Verdict
ถือเป็นการสานต่อที่แปลกใหม่ และนำพาซีรีส์ Rainbow Six ไปทำอะไรใหม่ ๆ และส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันสนุกมาก ถึงจะไม่ใช่เกมระดับ AAA มาสเตอร์พีซ แต่ถ้ามีโอกาส ลองหามาเล่นดู อาจจะถูกใจคุณก็ได้