Story
ตัวเอกในภาคนี้ คือ Basim คนเดียวกันกับภาค Valhalla นั่นแหละ แต่ Basim ในภาคนี้จะเป็นช่วงวัยรุ่นเลย สมัยที่เขายังเป็นโจรข้างถนน ลักเล็กขโมยน้อยอยู่ อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังลักลอบเข้าไปขโมยของจากคนมีฐานะ เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดทำให้เขาพลั้งมือฆ่าคนคนนั้น และลูกชายของคนตายก็มาเจอตัวเขา เขาและ Nehal หนีสุดชีวิต แต่กลับกลายเป็นว่าเพื่อนสนิทและคนรอบตัวของเขาถูกฆ่าทิ้งไม่มีเหลือ Basim โทษ Nehal ที่ชวนเขาไปปล้นบ้านคนใหญ่คนโต เขาจึงแยกทางกัน และไปเจอกับ Roshan ที่ฝึกสอนเขา และพาเขาเข้าสู่ The Hidden Ones เส้นทางการเป็นมือสังหารของเขาก็เริ่มต้นขึ้นในภาคนี้
จริง ๆ แล้วถ้าคุณไม่ใช่แฟน Assassin’s Creed มาก่อน ก็สามารถเล่นภาคนี้ได้รู้เรื่อง และจะอินยิ่งขึ้นถ้าคุณเล่นภาค Valhalla มา เพราะในภาคนี้ เราจะได้รู้ที่มาที่ไป และจุดกำเนิดของ Basim ก่อนจะเขาจะไปโลดแล่นใน Valhalla แต่มันก็ตามสไตล์ Assassin’s Creed ไม่สิ ต้องบอกว่าตามสไตล์เกม Ubisoft ที่เหมือนจะโยนเนื้อเรื่องเข้ม ๆ มาให้เรา แต่เราก็จะโดนระบบของเกม ดูดเวลาชีวิตจนลืมไปเลย กับภาค Mirage นี้ก็เช่นกัน แต่สิ่งที่ผมชอบในภาคนี้ คือการดำเนินเนื้อเรื่องคล้าย ๆ กับการสืบสวนสอบสวน ที่จะมีผังเรื่องราวคล้าย ๆ กับภาคเก่า แต่คราวนี้มันจะจบเป็นเรื่อง ๆ ไป แล้วค่อยมาขมวดปมรวมกันอีกทีในภายหลัง ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดี สนุกดี เวลาเราเชือดตัวการใหญ่ไป ก็จะมีคัทซีนสาธยายก่อนตายเหมือนกับภาคก่อน ๆ เป๊ะ ซึ่งเนื้อเรื่องในภาคนี้จะลากยาวไปจบถึงส่วนไหนก็ต้องลองไปเล่นกันเอง
และเพราะภาคนี้เป็นเหมือนภาคคั่นเวลา ก่อนไปลุยภาคหลักกันต่อในปีหน้า ดังนั้น เนื้อเรื่องของเกมภาคนี้จะอยู่ในจุดที่พอดี ๆ ไม่ได้พีค ไม่ได้หวือหวา แต่ก็ไม่ถึงกับแย่ โดยเฉพาะแฟน ๆ Basim นี่น่าจะชอบกันที่ได้เห็นจุดกำเนิดของหลาย ๆ เรื่องราวและที่มาที่ไปของเขานั่นเอง
Presentation
แม้ว่าสเกลเกมภาคนี้จะไม่จัดหนัก จัดเต็มเท่าภาคหลัก แต่มันก็ยังคงความเป็นเกม Open World อยู่ดี เพียงแต่คราวนี้ ขนาดของมันจะลดลงมา และลงลึกไปที่รายละเอียดต่าง ๆ แทน ยิ่งฉากหลังของเกมภาคนี้คือกรุงแบกแดดในยุคศตวรรษที่ 9 มันก็ยิ่งมีความติดดินมากขึ้น เราจะได้เห็นตรอกซอกซอยเล็กน้อยของแบกแดด เห็นวิถีชีวิตของผู้คนในยุคสมัยนั้น ไม่มากก็น้อย แล้วแต่พื้นที่ ถ้าเป็นเขตเมืองใหญ่ ใกล้เมืองหลวง เราจะพบเห็นประชาชนจำนวนมาก แต่ถ้าย่านชนบท ชานเมืองก็จะบางตาลงมา
ว่าด้วยเรื่องกราฟิก ครั้งแรกที่ผมได้จับเกมนี้ ผมรู้สึกว่าภาพมันตกยุคมาก ผมว่าถ้าซีรีส์ Assassin’s Creed จะทำอะไรสักอย่างกับแฟรนไชส์นี้ ผมว่าเขาควรยกระดับ Engine ที่ใช้งานก่อนเลย แต่ผมรู้สึกว่าภาพมันดูตกยุคแค่ช่วงแรก ๆ ที่มันอยู่ในที่มืด แต่พอออกมาที่มีแสงสว่าง ฉากปกติ ได้ผจญภัยไปในแบกแดดเยอะขึ้น ผมว่ามันก็สวยแหละ แต่ถ้าเทียบกับเกมอื่นที่เขาทำได้ดีกว่านี้ หรือไกลเกินนี้ไปแล้ว ภาพของ Mirage จะกลายเป็นเกรดธรรมดาไปเลย คือมันธรรมดานะ ไม่ได้แปลว่าแย่ เพราะฉากที่เป็นพื้นที่เปิดกว้าง มีแสงอาทิตย์ ได้เห็นฉากกว้าง ๆ ผมว่ามันก็ไม่ได้แย่อะไร จะมีนิดนึงที่ผมรู้สึกแปลก ๆ คือภาคนี้ฉากหลังมันเป็นแบกแดด เน้นโทนร้อน ๆ บรรยากาศทะเลทรายคละคลุ้ง ซึ่งมันดันไปคล้ายกับภาค Origins ที่ทำไว้ค่อนข้างดี ภาคนี้ผมเลยรู้สึกว่ามันแห้งไปหน่อย อาจจะเพราะเรื่องของช่วงเวลาในเกมด้วย ที่มันย้อนไปค่อนข้างไกล และพวกแอนิเมชั่นหน้าตา คำพูดตัวละคร ผมว่ามันตกยุคไปแล้วเหมือนกัน ได้แต่หวังว่าในภาคต่อ ๆ ไป ไม่ต้องไปไกลเลย ภาค Red ที่จะเป็นภาคหลักเนี่ย ขอแบบจัดหนักเลยดีกว่า
ถึงแม้ภาคนี้จะไม่ได้มีโลกกว้างสุดลูกหูลูกตาให้เราไปสำรวจ แต่มันก็ถูกทดแทนมาด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ที่อัดแน่นทุกตรอกซอกซอย และยังคงเป็นโลก Open World เหมือนเดิม ชนิดที่ว่าเดินเลยไปซอยสองซอย เราก็อาจจะเจออะไรรอให้เราไปค้นพบ ไม่ว่าจะเป็นหีบสมบัติลับ หรือ Collectible ต่าง ๆ ใครสาย Perfectionism ชอบเก็บทุกอย่างให้ครบ ก็น่าจะยังเสียเวลาอยู่กับเกมภาคนี้พอสมควร และลืมความเป็น RPG ไปได้เลย สำหรับภาคนี้ เหมือน Ubisoft เขาเห็นฟีดแบคมาตลอด อยากได้ลอบเร้นนักใช่ไหม จัดให้เลย แต่เขาก็ไม่ได้ทำแบบลวก ๆ มันเหมือนเครื่องยืนยันว่า ถ้าเขาคิดจะทำ Assassin’s Creed หรือเกมใดก็ตามให้มีระบบลอบเร้นที่ดี เขาก็ทำได้ โดยเฉพาะใน Mirage นี้ ที่เขาเอาการลอบเร้นมาเป็นจุดชูโรง ผู้เล่นมีทางเลือกในการเข้าไปจัดการเป้าหมายได้หลากหลายวิธี จะค่อย ๆ เชือดนิ่มยามทีละคน เอาเงินไปจ้างนักดนตรีร้องรำทำเพลง ดึงดูดพวกยามมาดู หรือจะสร้างเสียงดังล่อ หรือจะตรวจเช็คทุกซอกทุกมุม และหาวิธีเข้าไปลอบฆ่าแบบโคตรนักฆ่าเลยก็สามารถทำได้ เนื่องจากผมเป็นคนที่ไม่ได้เล่น Assassin’s Creed สมัยลอบเร้นรุ่งเรือง คิดว่ามาจับภาคนี้จะน่าเบื่อ ที่ไหนได้ ติดหนึบวางจอยแทบไม่ลง มันสนุกกับการหาวิธีเข้าถึงตัวเป้าหมาย มันอาจจะไม่ได้ละเอียด ลึก เท่า Hitman แต่เท่านี้ผมว่าก็น่าพอใจแล้ว ไม่งั้นเกมน่าจะตึงเกินไป
ระบบ Skill Tree และความสามารถก็ยังอยู๋ แต่รอบนี้จะแบ่งชัดเจน 3 สาย จะเลือกลงแต้มให้สายไหนก่อนก็แล้วแต่ความอยากและความถนัดของผู้เล่น โดยการจะอัปเกรดสกิลในภาคนี้แน่นอนว่าต้องทำภารกิจรอง รวมไปถึงตามหา Collectible และภารกิจพิเศษบางอย่าง
Progression ในภาคนี้ ด้วยความที่ตัดความเป็น RPG ออกไปแล้ว แต่เราก็ยังมีการอัปเกรดตัวละครอยู่ แต่จะไม่ใช่การฟาร์มแหลกลาญอะไรแล้ว มันจะมีเพียงการอัปเกรดอาวุธและชุดแบบเป็นขั้นที่ไม่มากจนเกินไปใครขยันฟาร์ม ก็อาจจะลอบเร้นได้ง่ายขึ้น มีลูกเล่นในการทำภารกิจมากขึ้น แต่ใครจะดิ่งเนื้อเรื่องเพียว ๆ ก็เอาเลย มันอาจจะยากนิดหน่อย แต่ก็มีความท้าทายปนอยู่ เล่นได้ทั้งสองแบบ
ถ้าจะมีให้อะไรติ นอกเหนือไปจากกราฟิกที่ตกยุค ผมว่าระบบ Parkour ภาคนี้ก็เข้าขั้นย่ำแย่เลยด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่เราโป๊ะแตก โดนจับได้ เรายังมีทางเลือกในการหลบหนีจากการไล่ล่าของพวกทหารยาม แต่ให้ตายเถอะ ลองดูนี่ มันวิ่งไล่กันแบบ โคตรซอฟท์ โคตรเบา มันดูเหยาะแหยะมาก ๆ ผมลองกลับไปเปิดภาค Unity เล่นอีกรอบก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคนถึงสรรเสริญภาคนี้กันมาก ในเรื่องของ Parkour นี่ Mirage ค่อนข้างที่จะหนักเอาเรื่อง แถมเอาจริง ๆ เราอาจจะไม่ได้ใช้บ่อยด้วย เพราะเกมภาคนี้เน้นหนักให้เราไปลอบเร้นซะมากกว่า ถ้าไม่พลาดโป๊ะแตกบ่อยเกิน จังหวะการไล่ล่าก็แทบไม่เกิดขึ้นเลย แต่มันก็ยังน่าเสียดายอยู่ดี เพราะถ้าทำดี ๆ ตรงนี้จะเพอร์เฟคท์มาก
แม้จะเป็นภาคที่ลดสเกลลงมาแล้ว แต่หากจะเล่นกันแบบจริง ๆ จัง ๆ มันก็ยังใช้เวลาหลายชั่วโมง และเราจะได้ดื่มด่ำไปกับการย่องเงียบเป็นนักฆ่า ที่สมกับชื่อเกม Assassin’s Creed มากยิ่งขึ้นในภาคนี้
Gameplay
ตัด RPG ออกไป หวนคืนสู่ความเป็นนักฆ่าที่แท้ คือจุดเด่นของเกมภาคนี้ ใครที่คิดถึง Assassin’s Creed ในวันวาน ที่เราสามารถปามีดปักหัวศัตรูตายในครั้งเดียว หรือลอบฆ่าด้วยมีดเดียว ภาคนี้เป็นภาคที่คุณรอคอยเลยล่ะ
นอกจากระบบลอบสังหารที่สมกับเป็นมือสังหารจริง ๆ แล้ว กลไกการเล่นหลายอย่างก็ถูกเปลี่ยนหมดจากการที่มันไม่ใช่เกม RPG อีกต่อไปแล้ว คราวนี้เราจะมีระบบค่าหัว ถ้าอธิบายง่าย ๆ ก็เหมือนระบบดาวใน GTA นั่นแหละ แต่มันจะซับซ้อนน้อยกว่า คราวนี้ที่มุมขวาล่างของเราจะมีค่าสถานะการโดนล่าอยู่ โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ระดับแรก อาจจะแค่ไปเฉียดพวกทหารยามลำบาก ระดับที่สองจะเริ่มโดนตามล่า พวกทหารยามจะสอดส่องออกลาดตระเวณบ่อยขึ้น และระดับสุดท้าย เต็มหลอดเลย อันนี้แม้กระทั่งพวกชาวบ้านก็จะจำหน้าเราได้ และคอยตะโกนแจ้งพวกทหารยามด้วย ทำให้เราไปไหนมาไหนลำบากขึ้น อันนี้ผมชอบมากนะ เวลาที่พวก NPC ชาวบ้าน มันตะโกนว่า เฮ้ย นี่คนร้ายอยู๋นี่ มาจับมันเร็ว มันดูระทึกดีมาก
การที่ค่าหัวเราจะเพิ่มขึ้นนั้น ถ้าเป็ฯการลอบสังหารแบบนิ่ม ๆ ไม่มีใครรู้ใครเห็น ค่าหัวเราก็จะไม่ขึ้น แต่ถ้าไปทำใครตายต่อหน้าประชาชน หรือทำให้เกิดเรื่องเอิกเกริกขึ้น นั่นแหละ ค่าหัวคุณถึงจะขยับ โดยเราสามารถจัดการลดระดับความต้องการตัวได้ง่าย ๆ คือไปฉีกโปสเตอร์ใบประกาศจับที่จะติดอยู่ตามซอกมุมต่าง ๆ ในเมือง กับอีกวิธีคือ ไปจ่ายสินบนเพื่อลบค่าหัว โดยวิธีนี้จำเป็นจะต้องใช้ Token 1 เหรียญ และจะลบค่าหัวทั้งหมดที่มีไปเลย แต่เราก็ต้องขยันหา Token พวกนี้ติดตัวไว้ด้วยยามฉุกเฉิน ซึ่ง Token เหล่านี้ ก็ได้จากการทำภารกิจเสริม โดยจะมี Token 3 แบบ ใช้ลบล้างค่าหัว หรือใช้เปิดกล่องสมบัติและอื่น ๆ
ความสามารถของ Basim ในภาคนี้ ก็จะเหลือเพียง 3 ผัง คือ Phantom, Trickster และ Predator อย่างสาย Phantom จะเหมาะ ส่วนสาย Predator อันนี้ผมอัปเต็มสายแรกเลย เพราะมันทำให้เจ้าเหยี่ยว Ekidu ของเรา ตรวจจับได้กว้างขึ้น แทร็คศัตรูได้ดีขึ้น แต่ถ้าอยากมีอุปกรณ์ มีทางเลือกเยอะ ๆ ก็ต้องไปสาย Trickster หรือถ้าจะสู้เก่ง ๆ หลบหนีคล่อง ๆ สาย Phantom ก็จำเป็น สรุปคือทุกสกิลมีค่า มีความหมายหมด ใครขยันฟาร์ม จะอัปจนเต็มก็ได้ แต่ถ้าใครรีบเล่น รีบจบ ก็ต้องหาวิธีอุดจุดอ่อนของตัวเองเอา ซึ่งผมว่าเขาทำได้ดีเลย อย่างผมเล่นแต่สาย Predator เนี่ย ก็จะต้องเล่นอย่างรัดกุม รอบคอบ เช็คให้หมดว่าศัตรูอยู๋ไหน แล้วอาศัยการลอบเร้นแบบช้า ๆ และใจเย็นเข้าไปแทน
และด้วยความที่ภาคนี้เน้นการลอบเร้น การสู้ตรง ๆ แบบซึ่ง ๆ หน้า แม้จะสามารถทำได้ แต่มันก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ซึ่งถ้าจะให้แนะนำจริง ๆ ก็คือ ไม่ควรเลยด้วยซ้ำ แม้การต่อสู้โดยตรงจะมีกลยุทธ์ที่ง่าย แต่ศัตรูก็แสบใช่เลย มันจะโจมตีในแบบที่เรา Parry ได้ กับไม่ได้ ถ้า Parry ได้ เราสามารถสวนด้วยการ Parry และ One Shot Kill ศัตรูได้เลย แต่กับพวกศัตรูระดับสูงนั้น ไม่ใช่ มันมีเกราะหนา และไม่สามารถ One Shot Kill ได้เลย ถ้าไม่ลอบเร้น และเจ้าพวกเกราะหนา ยังมีประเภทเกราะหนาไม่พอ สามารถส่งสัญญาณเตือนภัยได้อีก ที่หนักยิ่งกว่านั้นคือ มันกินยาเพิ่มเลือดระหว่างต่อสู้ได้ด้วย กินได้ไม่จำกัดอีกต่างหาก ดังนั้นการปะทะตรง ๆ ในภาคนี้ ต่อให้ฝีมือการเล่นคุณเก่งแค่ไหน แต่มันก็ไม่ควรอยู่ดี
กลับกัน ทางเลือกในการเล่นแบบลอบเร้นของเราจะเยอะมาก ๆ เพราะเรามี Tools หรืออุปกรณ์ที่จะช่วยเหลือในการลอบเร้นเป็นจำนวนมาก หลัก ๆ เลยคือมีดสั้นปลิดชีพศัตรู แต่ในบางภารกิจเสริมนั้น การปลิดชีพศัตรูก็จะไม่ให้โบนัส เห็นไหม ว่าภาคนี้เขาเน้นลอบเร้นจริง ๆ แถมพยายามให้เราหลีกเลี่ยงการฆ่าด้วย เราจึงมีทางเลือกอื่นรองลงมา เช่น Blowing Dart หรือเข็มยาสลบ หรือ Noisemaker ที่สร้างเสียงล่อศัตรู และเพราะภาคนี้เราอัปเกรด Gear ของเราได้ไม่เยอะ เราจึงสามารถอัปเกรด Tools เหล่านี้ได้ และสามารถเลือกความสามารถเสริมเพิ่มเติมได้ เช่น Blowing Dart ที่เมื่ออัปเกรดเลือกสายแล้ว สามารถทำให้ศัตรูคลุ้มคลั่งฆ่าฟันกันเองได้ หรือจะทำให้มันสลบนานขึ้นก็ได้เช่นกัน อยากพกแบบไหนไปก็แล้วแต่ความชอบและสไตล์การเล่นของเรา ขอบอกเลยว่าถ้าฟาร์มปลดล็อคความสามารถพวกอุปกรณ์เสริมพวกนี้ การเล่นจะง่ายขึ้นมากเลยทีเดียว
การอัปเกรดอื่น ๆ นอกจาก Tool ก็จะเป็นเสื้อผ้าและอาวุธ แต่มันจะอัปเกรดได้แค่สามขั้นเท่านั้น และแต่ละขั้นจะใช้วัตถุดิบพิเศษที่เราต้องไปทำภารกิจเสริม หรือบุกเข้าพื้นที่ยาก ๆ เพื่อรับวัตถุดิบมา ทำให้การอัปเกรดของเราค่อนข้างต้องเลือกหน่อยว่าจะลงให้กับอะไรบ้าง โดยการอัปเกรดชุดหรืออาวุธจะเพิ่มโบนัสและทำให้เล่นสะดวกขึ้น เช่นเสียงในการลอบสังหารเบาลง หรือหากอัปเกรดพวกอาวุธ จะทำให้การโจมตีหลังการ Parry แรงขึ้น ซึ่งจริง ๆ ยังมีชุดอีกหลากหลายแบบ หลากหลายความสามารถให้เราได้ไปตามหา และนำมามิกซ์แอนด์แมทช์เพื่อใช้ในแต่ละสถานการณ์
อีกอันที่ค่อนข้างชอบ คือเรื่องของระบบ Pickpocket หรือการล้วงกระเป๋าชาวบ้าน การล้วงกระเป๋าชาวบ้าน จะมีจุดหมายสองอย่าง เอาของไปขายเป็นงานเสริม กับเป็น Artifact ที่ต้องนำไปส่งให้ Dervis โดยการล้วงกระเป๋านั้นจะเป็น Quick Time Event ที่เราต้องกดให้ทันจังหวะที่ขึ้นมาบนหน้าจอ ซึ่งถ้าหากล้วงพลาด เราก็อาจจะโดนตะโกนแจ้งจับได้ ซึ่งบางที เป้าหมายที่เราต้องไปล้วงกระเป๋าก็คือพวกทหารยามนี่แหละ เข้าถึงตัวก็ยาก กระเป๋าก็ต้องล้วง เป็นเกมที่ต้องใจเย็นใช้ได้เลยทีเดียว
ความสนุกของ Mirage คือการหาทางเข้าถึงตัวเป้าหมาย หรือกล่องสมบัติต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในดงศัตรูที่มีการป้องกันเป็นจำนวนมาก เราจะได้วางแผน ได้ลอบเร้นเข้าไปแบบเนียน ๆ ฉกของหรือทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ และบางภารกิจเสริมจะเพิ่มโบนัสเข้าไป เช่น ฆ่าศัตรูด้วยไฟ ห้ามโดนดาเมจ หรือไม่โดนจับได้ พวกนี้ยิ่งทำให้เกมสนุกขึ้น แต่จะทำหรือไม่ทำก็ได้ อยู่ที่เรา แต่ถ้าทำก็จะได้รางวัลเพิ่ม และสนุกมากขึ้น โดยเฉพาะภารกิจที่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องที่เราต้องไปลอบสังหารบุคคลสำคัญเนี่ย อันนี้ดีไซน์ฉากสนุกมาก บางอันผมรีเซฟบ่อยมาก เพื่อจะหาวิธีเล่นใหม่ ๆ หรือทำยังไงก็ได้ให้ไม่ Alert
คือโดยรวมแล้ว จากใจคนที่ไม่ทันได้เล่น Assassin’s Creed ฉบับ Stealth ภาคแรก ๆ ผมนึกว่าภาคนี้จะน่าเบื่อ แต่สำหรับผมแล้ว มันสนุกมาก สนุกกว่าที่คิดไว้เยอะ ได้ลอบเร้น ได้วางแผน ได้เชือดศัตรูแบบนิ่ง ๆ เนียน ๆ ถ้าจะให้พูดถึงข้อเสียเลย ก็เหมือนกับช่วง Presentation จังหวะไล่ล่ามันน่าเบื่อมาก เราไม่ได้รู้สึกว่าโดนไล่เลย เหมือนเด็กวิ่งไล่จับกันซะมากกว่า แอนิเมชั่นกับสปีดของปากัวร์ในภาคนี้มันเทียบไม่ได้เลยกับภาคก่อน ๆ และความเอ๋อของ A.I. ก็ยังเป็นเหมือนสิ่งที่แก้ไม่หายจริง ๆ ในเกมแนวนี้ ย่องอยู่ข้างหลังในระยะประชิด ถ้ามันไม่หันมาเจอก็คือไม่เห็น เป่าเพื่อนมันจนตายไปแล้ว ถ้าไม่หันมาก็คือไม่เจอ ใครชอบความสมจริง สมบูรณ์แบบ ผมว่าตรงนี้น่าขัดใจไม่น้อยเลย แต่เอาน่ะ ทำได้ขนาดนี้ สำหรับผมก็โอเคแล้ว ไม่คิดว่าจะสนุก แต่ก็ทำให้สนุกได้ ซึ่งคนอื่น ๆ จะชอบหรือไม่ชอบกัน ผมก็บอกได้แค่ว่า ต้องไปลองด้วยตัวเองกันต่อแล้วล่ะ
Performance
สำหรับ Assassin’s Creed Mirage นี้ เราก็ได้สัมผัสตัวเกมบนเครื่อง PlayStation 5 อย่างที่บอกว่าภาคนี้ ดูดีทุกอย่าง ยกเว้นความตกยุคของกราฟิก แน่นอนว่ากับเครื่องคอนโซลที่ค่อนข้าง Stable อยู่แล้ว ก็เล่นได้แบบไร้ปัญหาใด ๆ แต่อันนี้ไม่รู้เป็นที่ทีวี หรืออะไร ครั้งแรกที่ผมหยิบเกมนี้มาเล่น คือเล่นบนทีวีขนาดใหญ่ 65 นิ้ว ภาพมันแตกแบบยับเยิน แย่มาก รู้สึกว่าเป็นเกมภาพห่วยทันที อันนี้เล่นบนโหมดเน้นเฟรมเรทนะ คือเกมมันลื่นเลยล่ะ 60 เฟรมเรทนิ่ง ๆ ผมเลยหยิบเอามาต่อกับจอคอมขนาด 27 นิ้ว ที่รันความละเอียดได้ที่ 2K และมี HDR เออ ภาพสวยขึ้นมาหน่อย อาจจะเพราะมันไม่ได้อัปสเกลจนภาพแตก แต่อันนี้มันอาจจะผิดที่ผม ที่ไม่ได้เช็คตั้งค่าทีวีก่อนก็ได้ ไม่เชี่ยวชาญมาก ใครมีทีวจอใหญ่ ๆ เล่นลองไปปรับกันดูได้
พอเล่นบนคอนโซล ปัญหาก็น้อยอยู่แล้วด้วย เพราะมันต้อง Config มาให้เครื่องคอนโซลเล่นได้ ทำให้การตั้งค่ามีน้อยตาม อย่างหมวดหน้าจอภาพเนี่ย ปรับได้แค่โหมดเฟรมเรทกับโหมดความละเอียดภาพ มีปรับฟิลเตอร์สี ปรับแสงสว่าง และพวก HDR เท่านั้น คือเป็ฯปกติของคอนโซลเลย เกมจัดมาให้แบบไหนก็เล่นไปแบบนั้นแหละ ปรับได้น้อย ส่วนของ Controller อันนี้ผมขัดใจหน่อย ๆ ปกติแล้วเกมอื่น ปุ่มหลบมันจะอยู่ตัว O แต่อันนี้มันไปอยู่สี่เหลี่ยมซะงั้น ก็โชคดีที่เราสามารถ Customize ปุ่มได้ทั้งหมด และบน PlayStation 5 จะมีการตั้งค่า Aim Assist ได้ด้วย ใครใช้มีดสั้นเล็งด้วยจอยไม่แม่น เปิดซะ ช่วยได้เยอะ
นอกนั้นก็เป็นการปรับตัวไป พวกการแสดงผลของโลกในเกม การปรับไซส์ฟอนต์ซับไตเติล หรือสีแบคกราวของ HUD ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ทได้ดี ส่วนตัวเกมก็รันได้ลื่น ๆ ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว โดยรวมแล้วถือว่าทำได้ดีเลย ซึ่งอาจจะเพราะรันบน PlayStation 5 ใครเล่นบน PC ก็ลองไปวัดดวงกันเอาอีกทีว่าจะเจออะไรไหม
Assassin’s Creed Mirage เป็นภาคที่ แฟน ๆ ได้ลอบเร้น ลอบสังหารกันสมใจอยาก และทีมสร้างได้พิสูจน์ตัวเองว่าสามารถผสมผสานแนวทางเก่าและใหม่ให้ไปด้วยกันได้อย่างลงตัว แต่ต่อจากนี้ จะไปเน้นหนักที่ลอบสังหาร หรือไปเน้นหนักที่ RPG ผมว่ายอดขายเท่านั้นแหละที่ชัดเจนและบ่งชี้ว่า ภาคีมือสังหารกำลังจะไปในทิศทางใดต่อไป ค่ายเกมเขาทำได้อยู่แล้ว แต่ทำอันไหนได้เงินมากกว่านั้น เท่านั้นแหละครับฃ