ก่อนที่ผมจะได้สัมผัสกับ DLC ตัวล่าสุดของ Assassin’s Creed Valhalla ตัวนี้ ทีมงาน Ubisoft ที่ผมได้พูดคุยด้วยย้ำอยู่เสมอว่า Dawn of Ragnarok จะเป็น DLC ของเกมตระกูล Assassin’s Creed ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยสร้างกันมา
และหลังได้สัมผัสกับตัว DLC แบบเต็ม ๆ เพื่อมาทำการรีวิว ผมเองก็ไม่แปลกใจที่ทำไม Ubisoft ยืนยันในคำพูดดังกล่าว Dawn of Ragnarok อัดแน่นด้วยเนื้อหามากมาย ทั้งภารกิจหลัก ภารกิจรอง กิจกรรมเสริม และสารพัดของให้ตามไปเก็บบนแผนที่แบบเดียวกับที่แฟน ๆ Assassin’s Creed ภาคหลัง ๆ คงคุ้นเคย
นี่คือเนื้อหาเสริมที่ต้องใช้เวลาราว ๆ 35 – 40 ชั่วโมงในการเล่น และถ้าคุณยังโหยหาเนื้อหาใหม่ ๆ ของ Assassin’s Creed Valhalla แล้วล่ะก็ DLC นี้ก็จะมาช่วยเติมเต็มความอยากของคุณได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับแฟนเกมคนอื่นหรือเกมเมอร์ทั่วไป เจ้า DLC ตัวนี้มันนำเสนออะไรบ้างคุ้มค่าขนาดไหน มีอะไรน่าสนใจ ไปดูกันเลย
Story
*คำเตือนเนื้อหาหลังจากนี้ Spoil เนื้อเรื่องสำคัญของ Assassin’s Creed Valhalla*
เนื้อหาใน Dawn of Ragnarok จะหยิบเอาการนำเสนอส่วนหนึ่งของตัวเกม Assassin’s Creed Valhalla มาขยายปมให้ไกลขึ้นไปอีก Eivor ในฐานะร่างกลับมาเกิดใหม่ของ Odin ได้เริ่มฝันเห็นภาพนิมิตรเกี่ยวกับ Odin
หลังจากนั้นก็เป็นคิวของผู้เล่นที่จะต้องออกผจญภัยในฐานะ Odin ไปในดินแดนของเหล่าคนแคระ Svartalfheim โดยมีภารกิจหลักคือช่วยเหลือบุตรชายอย่าง Baldr ที่ถูกยักษ์ไฟจับตัวไป ก็เป็นการหยิบเอาตำนานของเหล่าชาวนอร์สมาเหล่าใหม่ผ่านเลนส์ของโลก Assassin’s Creed
โดยรวมแล้วจุดเด่นของ DLC ตัวนี้น่าจะเป็นเรื่องของการขยายตัวละคร Odin ที่ไม่ค่อยมีเวลาให้เฉิดฉายมากนักในตัวเกมภาคหลัก โดยภายใน DLC นี้เราจะได้ไปสำรวจมองเห็นความคิด เป้าหมาย และแง่มุมที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้นของตัวละครนี้
โดยเฉพาะการที่ Odin ในเกมภาคหลักนั้นถือได้ว่าเป็น “ตัวร้าย” คนสำคัญของเนื้อเรื่อง การได้มาสวมบทเป็น Odin อีกครั้ง (แม้ในเกมภาคหลักเราจะได้เล่นเป็น Odin อยู่แล้วก็ตาม) ก็นับเป็นสิ่งที่แฟนพันธุ์แท้ในส่วนของเนื้อเรื่องของ Assassin’s Creed สามารถมองหาความสนุกจากส่วนนี้ได้
จุดที่ต้องชื่นชมก็คือตัว Odin ใน DLC นี้มีพัฒนาการของตัวละครที่น่าสนใจกว่าในเกมภาคหลักอย่างมาก เพราะในขณะที่เกมภาคหลักนำเสนอ Odin เป็นไอ้จอมเทพสุดเลวที่เห็นแก่ตัว (และใน DLC นี้จริง ๆ ก็ไม่ต่างกัน) แต่ใน DLC นี้ผู้เล่นจะได้เห็นมุมมองอื่น ๆ ของตัวละครนี้มากขึ้น
Presentation
ตัวการนำเสนอนั้นก็เรียกได้ว่ายกมาจากตัวเกมภาคหลัก กิจกรรมของผู้เล่นก็จะยังคงวนเวียนอยู่กับการต่อสู้ การลอบเร้น การสำรวจแผนที่ ทำภารกิจ และแม้ตัวเกมจะมีความพยายามในการใส่ระบบใหม่ ๆ เข้ามา (ซึ่งเราขอยกยอดไปพูดถึงทีเดียวในช่วง Gameplay) แต่โดยรวมแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณจะได้ทำใน DLC ตัวนี้ก็คือทุกอย่างที่คุณเคยทำมาแล้วทั้งนั้นในตัวเกมหลัก
การนำเสนอของตัวเกมก็เป็นอีกจุดเด่นของ DLC ดินแดน Svartalfheim นั้นเต็มไปด้วยวิวที่สวยงาม ตัวเกมนั้นอัดแน่นด้วยความแฟนตาซีเต็มรูปแบบฉีกแนวจาก Assasin’s Creed แบบเดิม ๆ ที่เราคุ้นเคย ยิ่งไปกว่านั้นการนำเสนอของ DLC นี้ก็มุ่งเน้นให้ผู้เล่นได้รู้สึกถึงการออกสำรวจโลกด้วยตัวเองมากกว่าเดิม ภารกิจรวมไปถึงระบบหลักอย่างการตามหาที่ซ่อนตัวของเหล่าคนแคระนั้นมีตัวช่วยที่ชี้ชัดน้อยลง โดยรวม ๆ แล้วทำให้ DLC ตัวนี้ให้ความรู้สึกของการออกสำรวจและการผจญภัยมากกว่าตัวเกมภาคหลักหรือ DLC อื่น ๆ ที่ผ่านมาของ Valhalla
แต่น่าเสียดายที่แม้ฉากหน้าของเกมจะฉาบด้วยความหวือหวาของแสงสีแฟนตาซี แต่โดยรวมแล้วการนำเสนอของ Dawn of Ragranok ก็ไม่ได้แตกต่างจากประสบการณ์เดิม ๆ ที่เราเคยได้รับ
หากจะพูดให้เห็นภาพชัดก็คือว่าถ้าคุณเป็นคนที่ Burn Out หรือเบื่อกับเนื้อหาของ Assassin’s Creed Valhalla ไปแล้ว ใน Dawn of Ragrarok ก็ไม่ได้มีอะไรใหม่ ๆ เพียงพอให้คุณหวนกลับมาสู่ตัวเกมได้ แต่ในทางตรงกันข้ามหากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบระบบการเล่นและสนุกกับ Assassin’s Creed Valhalla และต้องการเนื้อหาใหม่ ๆ DLC ตัวนี้ก็เข้ามาตอบโจทย์คุณแบบเต็ม ๆ
Gameplay
อย่างที่เราพูดกันไปข้างต้น ระบบการเล่นทั้งหมดของ DLC ตัวนี้เป็นการยกเอาตัวเกมภาคหลักกลับมาใช้ใหม่ แต่ทาง Ubisoft ก็ได้ใส่ลูกเล่นใหม่ ๆ เข้ามาใน DLC นี้ด้วยเหมือนกัน
Odin จะมาพร้อมกับความสามารถในการดูดพลังชีวิตของศัตรู เพื่อนำมาใช้ร่ายอาคมพิเศษ โดยในเกมจะมีอาคมให้เลือกใช้อยู่ 5 รูปแบบ แต่ผู้เล่นจะสามารถเลือกติดตั้งได้เพียงแค่ 2 อันเท่านั้น ซึ่งความสามารถเหล่านี้ก็เข้ามาช่วยเสริมเกมการเล่นหลักทั้งในส่วนของการต่อสู้ การไขปริศนา หรือการลอบเร้น ยกตัวอย่างเช่นความสามารถแรกที่ตัวเกมมอบให้กับเรา ส่งผลให้ Odin สามารถกลายร่างศัตรูเผ่ายักษ์ไฟ ทำให้สามารถลอบเร้นเข้าหาศัตรูชนิดเดียวกันและมีความสามารถในการเดินบนลาวาไฟได้
ระหว่างการเล่นผมสัมผัสได้ว่าทีมงาน Ubisoft พยายามมอบความสามารถหลาย ๆ อย่างให้ผู้เล่น และในการเล่นจริงก็มีความคาดหวังว่าผู้เล่นจะปรับเปลี่ยนพลังเหล่านี้ให้เข้ากับสถานการณ์หรือรูปแบบการเล่นเฉพาะตัว ซึ่งน่าเสียดายมากที่การออกแบบทั้งในส่วนของปริศนาและการต่อสู้นั้นมันยังไม่ “ดี” ถึงขั้นที่ทำให้เรารู้สึกฟินเวลาใช้พลังต่าง ๆ เหล่านี้เอาชนะอุปสรรค
นอกจากพลังใหม่ที่ถูกใส่เข้ามา ใน DLC นี้ก็ยังมาพร้อมกับ Skill ใหม่ ๆ ให้ได้ปลดล็อค อาวุธใหม่อย่างง้าวยาว atgeir และชุดเกราะใหม่ให้ไล่ล่าตามหามาสะสม
สรุป
โดยรวมแล้ว Assassin’s Creed Valhalla: Dawn of Ragnarok ก็เหมือนอาหารจานเก่าที่ยกไปปรุงรสโรยเกลือใหม่แล้วเอากลับมาเสริฟอีกครั้ง มันมีรสชาติใหม่ ๆ ถูกเสริมเข้ามาแต่จานหลักโดยรวมก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างออกไป
ใครที่สนุกกับ Assassin’s Creed Valhalla อยู่แล้ว และต้องการเนื้อหาใหม่ ๆ เพื่อจะกลับเข้าไปสนุกกับตัวเกมอีกครั้ง Dawn of Ragnarok ก็จะตอบโจทย์นั้นของคุณได้แบบตรงจุด
มันมีโลกในเกมและเนื้อเรื่องหลักที่น่าสนใจ โทนแฟนตาซีของเกมก็ทำออกมาได้ดีพอช่วยตัดเลี่ยนจากเกมหลักได้บ้าง
แต่สำหรับแฟนเกมทั่วไปหรือผู้เล่นธรรมดาที่ผ่านการผจญภัยใน Valhalla มาแบบยาวนานแล้ว ความแตกต่างที่ Dawn of Ragnarok นำเสนอยังไม่เพียงพอให้ถือเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นและห้ามพลาดแต่อย่างใด
ข้อดี
เนื้อเรื่องและตัวละครน่าสนใจ
ฉากหลังสวยงามเพลิดเพลิน
ความสามารถใหม่บางอันใช้งานได้สนุก
ข้อด้อย
ขาดการนำเสนอหรือไอเดียใหม่ที่น่าตื่นเต้น
ระบบการเล่นหลักเหมือนเดิม