BY Aisoon Srikum
18 Oct 21 5:48 pm

รีวิว Back 4 Blood – มหกรรมยิงถล่มฝูงซอมบี้และการวัดดวงกับระบบการ์ด

322 Views

หลังความล้มเหลวของ Evolved ดูเหมือนจะทำให้ทาง Turtle Rock Studios ต้องกลับไปตั้งหลักกันสักพักใหญ่ จนในที่สุดก็ได้ไปอยู่ใต้ชายคาของ Warner Bros. Games และเลือกที่จะหวนกลับมาสู่แนวเกมที่พวกเขาถนัดอีกครั้ง และมันจะยอดเยี่ยมสมดีกรีทีมผู้พัฒนาหรือไม่ วันนี้มาหาคำตอบกันได้ในบทความรีวิว Back 4 Blood

Story

แม้จะออกแบบตัวละครแต่ละตัวมาได้น่าสนใจ แต่น่าเสียดายที่ Story หรือเนื้อเรื่องนั้น เป็นส่วนที่ถูกให้ความสำคัญน้อยที่สุด เรื่องราวของเกมนี้ไม่ได้บอกช่วงเวลาที่ชัดเจนหรือแน่นอน และไม่ได้มีสถานที่ใด ๆ โลกภายในเกมเป็นสถานที่สมมติที่มีชื่อว่า Fort Hope ที่เกิดเชื้อไวรัสปริศนาที่ระบาดไปทั่วโลก โดยสาเหตุในการเกิดเชื้อร้ายครั้งนี้ คือการทดลองปรสิตที่มนุษยชาติเป็นผู้ค้นพบ เชื้อเกิดรั่วไหลออกไปและทำให้ผู้คนที่ติดเชื้อกลายเป็นสิ่งมีชีวิตกระหายเลือดที่มีชื่อว่า Ridden เราในฐานะผู้เล่นจะรับบท (หรือเลือก) เป็นหนึ่งในแปดตัวละครที่ถูกเรียกว่า Cleaners และทำงานร่วมกับกองกำลังทหารเพื่อหาทางหลบหนีออกจาก Fort Hope และมองหาความหวังใหม่ให้มนุษยชาติต่อไป

แม้จะบอกว่าเนื้อเรื่องคือสิ่งที่เกมไม่ค่อยจะนำเสนอนัก แต่อย่างน้อยมันก็ยังมีคัทซีน มีบทสนทนาที่แฝงรายละเอียดในแต่ละฉากเอาไว้ระหว่างการเล่น ซึ่งพอจะทำให้เราเข้าใจเนื้อหาของเกมได้มากขึ้น (ถ้าละสายตามาอ่านทัน) แต่หากทีมสร้างต้องการนำเสนอมันให้มากกว่านี้ อย่างน้อยการสร้างเรื่องราวในโลกของเกมผ่านทางคำอธิบาย หรือ Note, Collectible ต่าง ๆ ก็น่าจะทำได้ แต่เสียดายที่พวกเขาไม่ทำเลย เหมือนเนื้อเรื่องเป็นเพียงส่วนที่เขาเก็บเอาไว้ทำในภายหลังเท่านั้น เพราะในหน้าเลือกตัวละคร หรือหน้าเลือกฉากการเล่น ก็ไม่มีคำอธิบาย หรือที่มาที่ไปของประวัติตัวละคร หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในฉากนี้ให้เราได้อ่านเพื่ออินไปกับเนื้อเรื่องได้เลย ดังนั้นใครที่คิดจะเสพเนื้อเรื่องเกมนี้ก็อาจจะมาผิดเกมไปสักหน่อย

และหลังจากฉากจบของเกมแล้ว ก็มีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตตัวเกมจะยังมีเนื้อเรื่องเพิ่มอีก แต่หวังว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว จะมีการอัปเดตและให้ความสำคัญกับเนื้อเรื่องเพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่านี้ อย่างน้อยก็เพื่อความอินของผู้เล่น

Presentation

ด้วยการนำเสนอตัวเกมที่คล้าย ๆ กับแบบเดิม คือเป็นเกมเส้นตรง แต่มีพื้นที่ให้เราได้สำรวจ เพื่อสืบหาไอเทม และตัวช่วยทั้งหลาย ดังนั้นขนาดของแผนที่ในเกมนี้จึงไม่ใหญ่มาก ให้อารมณ์คล้าย ๆ กับ Left 4 Dead แต่จะมีซอกเล็ก ซอกน้อยเยอะกว่า เป็นรางวัลให้คนช่างสำรวจ ได้พบเจอไอเทมที่มากขึ้น และทำให้เกมง่ายขึ้นด้วยจากไอเทมที่เราค้นพบ ดังนั้นผู้เล่นอาจจะไม่รู้ตัวว่า กว่าจะจบแต่ละฉากของเกมนี้ อาจกินเวลามากกว่าเกมอื่น ๆ เสียอีก เพราะนอกจากจะคอยถล่มฝูงซอมบี้อย่างเมามันแล้ว การวิง่สำรวจให้ครบทุกซอกทุกมุมก็กินเวลาไม่ใช่น้อยเลย

Fort Hope หรือฉากหลังของเกมนี้ ถูกออกแบบมาให้คล้ายกับเกมเส้นตรงแต่ออกสำรวจได้ในเกมอื่น คือในฉากถัด ๆ ไป เราอาจจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง แต่มีการเปิดเส้นทางใหม่เพื่อไปสู่ฉากใหม่ ทำให้ผู้เล่นหลายคนอาจจะไม่ชอบ เพราะไม่ได้รู้สึกว่าเราได้เล่นด่านใหม่ แค่เป็นการกลับมาที่เดิม ไปทางใหม่เฉย ๆ และในด้านที่ผู้เล่นบางคนอาจจะรับไม่ได้ และเป็นที่ถกเถียงกันพอสมควรกับอนิเมชั่นการยิงหรือการรีโหลดอาวุธ ซึ่งผู้เขียนเองไม่ได้ชำนาญอะไรมาก แต่ใครที่ไม่ได้ซีเรียสอะไรมาก มันก็จะอยู่ในระดับที่มาตรฐาน ไม่ได้ดีหรือแย่จนเกินไปนัก

ต่อกันที่ด้านปริมาณคอนเทนต์ ในขณะที่หลายตนตั้งคำถามว่าทำไมราคาเกมแนวนี้ถึงสูงลิ่วทั้ง ๆ ที่มันเป็นแค่ FPS Co-op แต่แม้ว่าฉากในเกมจะมีการย้อนกลับมาจุดเดิมแล้วเปิดเส้นทางใหม่อย่างที่บอกไป แต่ก็ไม่ได้มีมากขนาดนั้น เนื้อหาในเกมนี้มีทั้งหมด 4 Act ใหญ่ด้วยกัน แต่ละ Act จะมี Stage ย่อยให้เราได้ลุยกันอย่างต่อเนื่อง และนับรวมแล้วเกมนี้จะมีทั้งหมด 33 ด่านถ้วน แต่ละด่านจะใช้เวลาเล่นต่างกัน แล้วแต่ภารกิจหรือสไตล์การเล่นของผู้เล่น ซึ่งจะไปว่ากันต่อในส่วนของเกมเพลย์ แต่รวม ๆ แล้วตัวผู้เขียนเองใช้เวลาในการเล่นจบครั้งแรกทั้ง 33 ด่าน ใช้เวลาประมาณ 10-11 ชั่วโมง อาจจะมากกว่านี้หรือน้อยกว่านี้แล้วแต่ผู้เล่น ซึ่งยังไม่รวมคอนเทนต์อื่น ๆ ของเกมอย่างโหมด Swarm PVP ซึ่งคนยังไม่ค่อยจะเล่นโหมดนี้กันสักเท่าไร เพราะมัวเสพเนื้อเรื่องฟาร์มการ์ดอยู่ ดังนั้นกับความยาวประมาณนี้ ความคุ้มค่าของแต่ละคนอาจไม่เท่ากัน แต่สำหรับตัวผู้เขียนนั้น คิดว่าคุ้มค่าแล้ว

นอกจากนั้นยังมีในส่วนของ Supply Line ที่ใช้ปลดล็อคการ์ดใหม่ ๆ รวมไปถึงแบนเนอร์และฉายาที่จะปลดให้เราสะสมเรื่อย ๆ โดยการเล่นซ้ำ ๆ รวมไปถึงพวกสกินของอาวุธและตัวละครต่าง ๆ ในเกมก็เช่นกัน และความยากของเกมในระดับที่สูงขึ้นที่ท้าทายผู้เล่นอย่างมาก ทำให้ Replayable หรือความคุ้มค่าในการเล่นซ้ำสูงมาก ต่างจากตอน Open Beta พอสมควร แต่นั่นหมายความว่าคุณต้องชื่นชอบเกมแนวนี้พอที่จะเล่นมันซ้ำ ๆ ด้วย เพราะถ้าใครเบื่อง่าย รอบเดียวจบก็พอแล้ว เกมนี้ก็อาจจะมีราคาสูงไปสำหรับคนประเภทนี้ ทีนี้เรามาดูกันว่า Gameplay ทำให้มันสนุกได้อย่างไร

Gameplay

หากคุณจะมองว่ามันคือเกมแนวยิงซอมบี้ทั่วไป ก็ไม่แปลกใจนัก เพราะดูเผิน ๆ มันก็เป็นแบบนั้น จนกระทั่งคุณได้ลองเล่นเอง ความรู้สึกต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไป แม้หัวใจของเกมเพลย์การเล่นจะง่ายแสนง่าย ยิงมันให้หมด หาทางไปต่อจนจบด่าน แต่ในความเรียบง่ายนั้น ทีมพัฒนาเลือกที่จะสรรหาการใส่ระบบต่าง ๆ เข้าไปในเกมนี้ และทำให้มันสนุกแบบชวนติดพันได้อย่างง่ายดาย

ในเกมนี้ตัวละครทั้ง 8 จะมีความสามารถที่ต่างกันออกไป โดยมีทั้ง Passive ที่ส่งผลกับตัวเองเท่านั้น และ Team Effects หรือสกิลที่จะมีผลกับสมาชิกทุกคนในทีม และไม่มีตัวไหนที่มีความสามารถซ้ำกัน รวมไปถึงอุปสรรคในจำนวนด่านทั้ง 33 ด่านก็มีไม่ซ้ำกันอีกด้วย ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเลือกตัวละครมาดีแค่ไหน จัดเซ็ทการ์ดมายอดเยี่ยมเพียงใด เกมก็จะมอบความทุลักทุเลในการเล่นให้กับคุณได้อยู่ดี ถือเป็นความท้าทายอีกอย่างหนึ่งของการออกแบบฉากของเกม และที่ไม่บอกไม่ได้เลยคือ “นี่ไม่ใช่เกมง่าย” หากคุณคิดว่าจะเข้ามาเดินชิล ยิงซอมบี้สบาย ๆ ให้จบ ๆ ไปก็คิดผิดแล้ว เพราะเกมนี้มีความตึงมือและเล่นยากพอสมควร แม้จะเลือกเล่นในระดับง่ายที่สุดอย่าง Recruit การเล่นผิดพลาดเพียงนิดเดียวก็แทบจะทำให้มันยากขึ้นมาอีกหลายเท่า

และทุกครั้งในการเริ่มเล่นแต่ละฉาก คราวนี้ผู้เล่นจะได้บริหารจัดการตัวละครเอง โดยจะได้ซื้อของจาก Vendor Shop ที่มีการขายอาวุธและของแต่งปืนแบบสุ่ม นอกนั้นจะเป็นไอเทมประเภทอรรถประโยชน์ เช่นระเบิด กล่องอุปกรณ์ กล่องกระสุน รวมไปถึงขายกระสุนและเติมพลังชีวิต ทั้งหมดนี้ใช้หน่วยเงินในเกมอย่าง Copper ในการซื้อ Copper ในเกมนี้สามารถหาได้จากการสำรวจฉากภายในเกม เพราะแบบนี้การสำรวจจึงสำคัญมาก นอกจากนี้ยังได้จากการทำภารกิจเสริมที่ระบบมอบหมายให้ในช่วงต้นเกม หากทำสำเร็จก็จะได้โบนัส 500 Copper ด้วย

นอกจากการซื้อไอเทมช่วยเหลือแล้ว ยังมี Team Upgrade ที่มีราคาสูง แต่การอัปเกรดนี้จะมอบประสิทธิภาพให้กับสมาชิกทุกคนในทีม และมันเป็นสิ่งสำคัญมาก ดังนั้นจำเป็นต้องรวมเงินกันซื้อหากเงินไม่ถึงจริง ๆ การอัปเกรดประเภทนี้จะส่งผลให้ไอเทมช่วยเหลือมีประสิทธิภาพดีขึ้น เช่นระเบิดพกได้มากขึ้น แรงขึ้น ไอเทมฟื้นฟูเช่นฮีลแรงขึ้นเป็นต้น ส่วนประเภทอื่นก็อาจจะเป็นการเพิ่ม Max Stamina, Max Ammo หรืออื่น ๆ อีกด้วย ดังนั้นถ้าเงินเหลือในช่วงเริ่มต้นแต่ละเกมก็พยายามโยนให้ใครสักคนนำไปซื้อ Team Upgrade เพราะมันจะช่วยได้มาก

โดยเกมนี้จะมีระบบ Trauma แบบเดียวกับ Left 4 Dead นั่นคือหากตัวละครเราถูกโจมตี จะได้รับอาการบาดเจ็บ พลังชีวิตของเราจะแบ่งเป็นหลอดสีขาว / แดงเข้ม / ดำ หลอดสีขาวคือพลังชีวิตปัจจุบัน หมดก็ล้ม หลอดสีแดงคือหลอดที่เราสามารถใช้ยาฟื้นพลังเติมได้ ส่วนหลอดสีดำ คือหลอดอาการบาดเจ็บ ยิง่โดนตีมากยิ่งบาดเจ็บหนัก และพลังชีวิตสูงสุดของเราก็จะลดลง วิธีแก้คือต้องใช้ First Aid Cabinet หรือตู้ฮีลในการฮีลรักษา หรือให้ตัวละครสายแพทย์อย่าง Doc (และใส่การ์ด) ช่วยฮีลให้

และระบบที่เรียกได้ว่าเป็นตัวชูโรงที่ทำให้เกมนี้สามารถเล่นซ้ำได้เรื่อย ๆ นั่นคือระบบการ์ดและการจัดการ์ด การี่เราจะได้การ์ดมาคือเราต้องเล่นจบแต่ละด่าน แล้วจะได้แต้ม Supply Point นำไปปลดการ์ดใบใหม่ ๆ มาใช้ เมื่อได้การ์ดมาแล้ว ผู้เล่นสามารถนำมาจัด Deck ของตัวเองได้ การจัด Deck นั้นจัดได้ไม่จำกัด ในแต่ละ Deck เราจะใส่การ์ดไปได้มากที่สุดถึง 156 ใบด้วยกัน และการ์ดเกมนี้มีมากกว่าใบ ดังนั้นถ้าจะเล่นเก็บให้ครบก็ใช้เวลาขั้นต่ำเกิน 20 ชั่วโมงแน่ ๆ ซึ่งการได้การ์ดมาจะทำให้เราจัดรูปแบบการเล่นใหม่ ๆ ได้มากมาย เช่นสายยิง สายหาของ สายตีประชิด และทำให้การเล่นซ้ำในแต่ละรอบนั้นไม่เหมือนกัน แต่ก็ใช่ว่าเราจะสบาย เพราะในเกมการเล่นเอง ระบบก็จะมอบ Corruption Card ให้เรา Corruption Card จะทำหน้าที่เหมือนดีบัฟ หรืออุปสรรคต่าง ๆ ให้กับผู้เล่น เช่น ด่านนี้จะมีหมอกหนาจัดปกคลุม ทำให้การมองเห็นแย่มาก เสี่ยงต่อถูก Special Mutation ลอบโจมตีได้ง่าย หรือด่านนี้จะมีศัตรูที่สวมเกราะ ทำให้การยิงหัวไม่ตายในนัดเดียวเป็นต้น

อุปสรรคในเกมนี้นอกจากซอมบี้ที่เป็นศัตรูหลักแล้วยังมี Special Mutation หรือให้อธิบายง่าย ๆ ก็คือพวกตัวพิเศษที่มีความสามารถกดดันผู้เล่น เหมือนพวก Tanker, Charger ในช่วง Open Beta ผู้เขียนเคยแอบบ่นว่ามันใส่ศัตรูพิเศษมาน้อยไป ความท้าทายไม่ค่อยมี พอเป็นเกมเต็มเลยโดนจัดเต็มให้แบบหนัก ๆ เพราะนอกจากแบบเก่าจะถูกปรับปรุงให้เกิดถี่ซะจนหัวร้อน ยังมีตัวใหม่เข้ามาด้วย โดยตัวที่แสบไม่ใช่เล่นคือ Hag ที่พร้อมจะจับผู้เล่นกลืนลงท้อง หรือ Breaker ที่คล้าย Charger แต่ดุกว่ามาก และที่ขาดไม่ได้คือ Snitcher ตัวสร้างเสียง Horde ที่จะพาความหายนะมาให้ทีมเรา หากจัดการได้ไม่ไวพอ จริง ๆ แล้วถ้ามันเดินหน้ามาให้ยิงเลย มันก็อาจจะง่าย แต่เพราะมันเชื่อมกับระบบ Corruption Card และการ Spawn แบบโนสนโนแคร์ผู้เล่น บ่อยครั้งที่เราจะเจอฝูง Special Ridden 2-3 ตัวจนเคลียร์แทบไม่ทัน หรือเคลียร์ได้ก็เจ็บหนักจนไปต่อกันลำบาก และในฉากยังมีอุปสรรคสุดกวนประสาทอีกมากมาย ทั้งฝูงนก รถตำรวจ หรืออะไรก็ตามที่หากเราพลาดไปโดนจะทำให้เกิด Horde ขึ้นมา

ในขณะที่ความยากของเกมนี้นั้นจะมีทั้งหมด 3 ระดับคือ Recruit / Veteran / Nightmare ที่ผู้เล่นทุกคนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า ระดับ Veteran คือระดับที่ทำให้เกมนี้สนุกมาก แต่การจะเล่นระดับนี้ต้องมีการ์ดที่ดีพร้อมในระดับหนึ่งด้วย รวมถึงผู้เล่นต้องมีประสบการณ์มากพอสมควรในการรับมือกับศัตรู รวมไปถึงวางแผนสื่อสารกันเป็นทีม ไม่อย่างนั้นรับรองว่าล้มเหลวกันรัว ๆ แน่นอน เพราะความผิดพลาดเพียงนิดเดียวของโหมด Veteran นั่นแทบจะหมายถึงความล้มเหลวในเกมการเล่นนั้น ๆ ชนิดที่ว่า ถ้าเจอคนเล่นไม่เป็นงานในโหมดนี้ เล่นกับบอทยังดีซะกว่า เราไม่พูดถึงบอทคงไม่ได้ เพราะบอทเกมนี้ค่อนข้างจะมีประโยชน์ในการเล่นระดับสูง สาเหตุเพราะว่ามันจะตามเราตลอด ไม่เป็นผู้นำ ดังนั้นบอทเกมนี้จะไม่ทำอะไร Alert หรือเรียก Horde มาแน่นอน รวมไปถึงมันยังคอยแจกกระสุนให้เรา คอยหาไอเทม และเงินให้เราอีก จากประสบการณ์ผู้เขียนพบว่าบางครั้งการเล่นกับบอท ยังดีซะกว่าการเล่นเป็นคนที่ไม่เป็นงานซะด้วยซ้ำไป

น่าเสียดายที่ตอนนี้โหมด Swarm หรือโหมด PVP ของเกมนั้น แทบจะหาห้องเล่นไม่ได้ เพราะผู้คนน่าจะติดใจกับการฟาร์มการ์ด และยิงกันในโหมดแคมเปญมากกว่า แต่ใครที่เล่นเกมนี้ ต้องบอกเลยว่าสนุกกับความเดือดของเกม เดือดจนหัวอาจจะร้อนได้เลยด้วยซ้ำไปในบางฉากและบางภารกิจ

Performance

Back 4 Blood ไม่ใช่เกมที่กินสเปคคอมพิวเตอร์มากแต่อย่างใด ดังนั้นปัญหากินสเปคแทบจะไม่เกิดขึ้น แต่ปัญหาหลัก ๆ มันอยู่ที่ภายในเกมที่มักจะเจอบั๊กแปลก ๆ อยู่บ้าง เช่นตัวละครบอทที่เดินติดโน่นติดนี่ และปัญหาที่น่ารำคาญเอาเรื่องอย่างการหาห้องในการเล่น ทั้งที่มีปาร์ตี้ครบทีม แต่ตอนกดเล่น ยังต้องรอหาห้องที่ว่างอีก แถมยังรอนานพอสมควรด้วย ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่ จึงต้องใช้เวลาในการหาห้องนานจนเกินควร

ส่วนการ Setting ต่าง ๆ ของเกมก็มีให้เลือกปรับมากมาย ละเอียดกว่าหลากหลายเกม แต่ที่น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่งคือ การไม่มีภาพหรือวิดีโอตัวอย่างการปรับแต่งมาให้เราดูเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่มันมีพื้นที่ว่างเอาไว้ทางขวา แต่กลับไม่ถูกใช้ให้เป็นประโยชน์แต่อย่างใด

แต่นอกเหนือไปจากนี้ อาจจะบอกได้ว่าผู้เขียนเองโชคดีที่แทบไม่เจอปัญหาใด ๆ เลยระหว่างการเล่นอย่างต่อเนื่อง 40 ชั่วโมง ในเรื่อง Optimize เกมก็ถือว่ายอดเยี่ยม ส่วนบั๊กนั้น มีบ้างประปราย แล้วแต่คนจะเจอ

Back 4 Blood ถือเป็นอีกเกมที่มีคอนเทนต์มากกว่าที่เราได้เห็นหรือสัมผัสกันในช่วง Open Beta ที่ผ่านมา หากคุณชื่นชอบการเดินหน้ายิงยับแบบ Left 4 Dead แต่ต้องใช้

Score 8.5

SHARE

Aisoon Srikum

Back to top