Judgment จัดว่าเป็นหนึ่งในเกมม้ามืดประจำปี 2019 ของผลงานทีมงาน Ryu Ga Gotoku Studios ที่เกมเมอร์หลายคนรอคอยหลังจากกระแสความนิยมของเกมซีรีส์ Yakuza เริ่มโด่งดังมากขึ้นในฝั่งโลกตะวันตก และเป็นเกมภาค Spin-Off ตัวแรกของ Yakuza ที่พยายามฉีกแนวจากของดั้งเดิม แล้วคุณภาพของเกมจะสมกับการรอคอยหรือไม่ นี่คือบทความรีวิว Judgment ครับ
นำเสนอเนื้อเรื่องแบบใหม่ที่ไม่มีใน Yakuza มาก่อน
ในเกมผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Takayuki Yagami ทนายความที่สร้างปาฏิหาริย์ด้วยการปกป้อง Okubo Shinpei จนศาลตัดสินว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ทั้ง ๆ ที่คดีมีโอกาสตัดสินโทษว่าผิดจริงถึง 99.9 % ทำให้เขากลายเป็นทนายที่มีชื่อเสียงโด่งดังชั่วข้ามคืน
แต่แล้วช่วงเวลาความสุขก็อยู่ไม่นาน หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน Okubo Shinpei ก่อคดีอีกครั้งด้วยการฆาตกรรมแฟนสาวของตนเองแล้วก่อคดีวางเพลิงบ้าน เหตุการณ์นั้นได้สร้างบาดแผลลึกให้กับ Yagami และชื่อเสียงของเขาพังทลายลงในพริบตา จนช่วงเวลาหนึ่งเขาตัดสินใจเลิกเป็นทนายความในที่สุด
สามปีต่อมา Yagami ได้ผันตัวเป็นนักสืบเอกชนที่รับจ้างสืบสวนประทังชีวิตไปวัน ๆ แต่แล้วมีวันหนึ่ง เขาได้เข้ามาผัวพันกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องอย่างโหดเหี้ยม Yagami จะต้องหาหลักฐานมัดตัวคนร้าย และค้นหาความจริงที่เบื้องหลังเต็มไปด้วยเรื่องราวที่คาดไม่ถึง
เนื้อเรื่องของ Judgment จัดว่าเป็นฟีเจอร์หลักของเกม เพราะลักษณะการเล่าเรื่องจะคล้ายกับเกมตระกูล Yakuza ที่มีการดำเนินเนื้อเรื่องแบบช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไปเพื่อเก็บรายละเอียดแบบเจาะลึก, การลำดับเนื้อเรื่อง, ฉากคัตซีนแบบภาพยนตร์, และการหักมุมแบบคาดไม่ถึง ทำให้เนื้อเรื่อง Judgment มีความเข้มข้นน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบเกม
แต่เนื่องจากเนื้อเรื่อง Judgment จะเป็นแนวแอ็กชัน-สืบสวนฆาตกรรม ทำให้เนื้อหาของเกมจะมีความสมเหตุสมผลมากขึ้น รวมถึงมีโทนดาร์กหรือรุนแรงกว่าเดิม ฉะนั้นถ้าหากเปรียบเทียบกับเกม Yakuza ที่นำเสนอเนื้อเรื่องแบบมิตรภาพลูกผู้ชายและเกียรติยศ เกมนี้จะให้อารมณ์เหมือนเกมเมอร์กำลังรับชมละครโทรทัศน์ J-Drama ประเภทสืบสวนหรือซีรีส์ Netflix ซึ่งมีคุณภาพเยี่ยมไม่แพ้ภาพยนตร์เลย
แม้ความเข้มข้นของเนื้อเรื่องอาจจะดรอปลงเล็กน้อยบางช่วง เพราะการเล่าเรื่องจะต้องแบ่งช่วงแอ็กชันกับการสืบสวน และบางครั้งตัวเกมบังคับให้ผู้เล่นต้องทำมิชชั่นเสริมเพื่อดำเนินเนื้อเรื่องต่อ แต่โดยรวมแล้ว Judgment ยังจัดว่าเป็นเกมที่มีเนื้อเรื่องระดับเหนือชั้นเทียบเท่ากับเกมม้ามืดอีกหลายเกม
กลับคืนสู่เหย้าที่ Kamurocho อีกครั้ง
Judgment จะใช้ฉากหลังเป็นย่านบันเทิง Kamurocho อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งการนำเสนอตัวเมืองยังสามารถเก็บรายละเอียดของฉากได้ดีและรู้สึกมีชีวิตชีวาเช่นเคย แต่เนื่องจาก Judgment เป็นเหตุการณ์หลัง Yakuza 6 เพียงไม่กี่ปี ฉะนั้นการออกแบบแผนผังเมืองจึงไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมซะเท่าไหร่นัก ซึ่งผู้เล่นบางคนอาจจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการผจญภัยในย่านเดิม ๆ ร้านอาหารเดิม ๆ ที่พวกเราคุ้นเคยเป็นอย่างดี
แต่โชคดีที่ตัวเกมมีกิจกรรมเสริมอย่าง Side Case หรือ Mini Games ให้เลือกทำเป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งระบบดังกล่าวก็เหมือนกับ Sub Stories ของเกม Yakuza ที่เราได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาชีวิต (เพี้ยน ๆ ) ประจำวันของชาว Kamurocho เช่นเดิม ถึงแม้เกมนี้ ผู้เล่นสามารถรับงานสืบสวนต่าง ๆ ได้จากบอร์ดสำนักงาน Yagami, Genda Law Office หรือวิ่งสำรวจตามแผนที่ของเกม แต่ถึงอย่างนั้น Side Case ก็ยังมีเนื้อหาตลกขบขันหรือลึกซึ้งกินใจตามสไตล์ Yakuza เช่นเคย
ระบบความสัมพันธ์ของตัวละครอย่าง Friend Event ก็กลับมาอีกครั้ง โดยกฎการเล่นก็คล้ายกับ Yakuza Kiwami 2 ที่ผู้เล่นต้องพูดคุยหรือแวะเยี่ยม NPC เพื่อเพิ่มค่าความสัมพันธ์ ซึ่งหากเกจค่าความสัมพันธ์เต็มแล้ว ผู้เล่นจะได้รับการเพิ่มเลเวล “ชื่อเสียงของตัวละคร” ที่จะช่วยปลด Side Case อื่น ๆ ตามมา และบางครั้ง NPC จะเข้ามาช่วยต่อสู้ หรือปลด Ex-Action พิเศษ หาก NPC อยู่ในบริเวณของผู้เล่นพอดี
แม้ Mini Games บางอย่างจะหายไป โดยเฉพาะโหมดร้องคาราโอเกะที่ไม่มีให้เล่นในเกมนี้ แต่ก็มีมินิเกมชนิดใหม่เข้ามาแทน เช่นการแข่งโดรน, บอร์ดเกม VR, Kamurocho of the Dead เกมยิงซอมบี้แบบ Rails Shooting, Pinball หรือสามารถออกเดตกับแฟนสาว ซึ่งคอนเทนต์ที่กล่าวจะช่วยให้เกมเมอร์ได้ผ่อนคลายจากการเล่นเนื้อเรื่องหลักซึ่งมีเนื้อหาซีเรียสพอสมควร
น่าเสียดายที่ Judgment ไม่มี Mini Games แบบเนื้อเรื่องแยกอีกต่อไป ซึ่งเท่ากับว่าสีสันของ Mini Games เกือบหายไปเกือบครึ่งหนึ่งเลยก็ว่าได้
แม้คอนเทนต์ของเกม Judgment แม้จะไม่เยอะเท่าเกมตระกูล Yakuza แต่อย่างน้อย Mini Games ตัวใหม่กับเนื้อหา Side Case ที่ยังคงรักษามาตรฐานได้ดี
บู๊แหลกเหมือนเคย ระบบนักสืบเป็นของแถม
ถ้าหากคุณเคยเล่นเกมตระกูล Yakuza มาก่อน เกมเมอร์จะเข้าใจวิธีการเล่น Judgment ทันที เพราะว่าระบบเกมเพลย์หลายอย่างยังคงคล้ายคลึง Yakuza 6 และ Yakuza Kiwami 2 ไม่ว่าจะเป็น User Interface, HUD, หน้าต่างการใช้งาน, การควบคุมตัวละคร ล้วนแทบยกมาจากเกมดังกล่าวเกือบทั้งหมด
แต่ Judgment ได้มีการออกแบบระบบการต่อสู้ใหม่ที่เป็นการผสมผสานระหว่าง Yakuza 6 กับ Yakuza 0 อย่างลงตัว โดย Yagami จะมีทักษะการต่อสู้สองแบบคือ Crane Style เหมาะสำหรับการโจมตีแบบวงกว้าง กับ Tiger Style เหมาะสำหรับการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ซึ่งสไตล์การต่อสู้ของ Yagami จะแตกต่างจาก Kiryu Kazuma อย่างสิ้นเชิง เพราะการเคลื่อนไหวของ Yagami จะมีความรวดเร็วและยืดหยุ่นกว่า ทำให้การออกแบบท่า Ex-Action มีความเท่ไม่ซ้ำใคร และแอนิเมชันท่าต่อสู้มีลื่นไหลและสนุกเร้าใจกว่าเดิม
ระบบการเรียนรู้สกิลก็เข้าถึงง่ายกว่าเดิม ในเกมนี้จะใช้หน่วยค่า SP ในการอัพสกิลเพียงอย่างเดียว ซึ่งค่า SP จะได้รับจากการดำเนินเนื้อเรื่อง, ต่อสู้กับกุ๊ยข้างถนน, และทำกิจกรรมเสริมเช่นทำ Side Case, Friend Event, Mini Games หรือทำ Achievement ใน KamuroGo เช่นการกินอาหารตามรายชื่อ, ทำคะแนนใน Mini Games ตามที่กำหนด และอื่น ๆ อีกมากมาย
แม้เกมเพลย์ของ Judgment จะมีความซับซ้อนน้อยลง แต่ความท้าทายก็ยังคงเท่าเดิม เพราะเกมนี้นำเสนอระบบความเสียหายแบบใหม่ที่เรียกว่า “Mortal Wound” หรือบาดแผลฉกรรจ์ ถ้าหากผู้เล่นถูกโจมตีด้วยท่าไม้ตายของบอส หรืออาวุธประเภทมีด ดาบ กับปืน จะทำให้หลอดเลือดสูงสุดของผู้เล่นลดลง (เหมือนระบบ Rads ของ Fallout 4) โดยวิธีการรักษาคือต้องใช้ไอเท็มเครื่องปฐมพยาบาล หรือไปหาหมอเพื่อขอเข้ารับการรักษาเท่านั้น ทำให้การต่อสู้จำเป็นต้องมีชั้นเชิงกว่าเดิม เช่น อาจใช้โล่มนุษย์เป็นที่กำบังกระสุนปืน หรือกำจัดศัตรูที่อันตรายที่สุดก่อน เป็นต้น
สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือระบบการสืบสวนที่ทีมงานโปรโมตว่าเป็นหนึ่งในฟีเจอร์หลักของ Judgment ซึ่งก็ต้องบอกว่าระบบเกมยังมีองค์ประกอบหลายอย่างที่เกมสืบสวนควรจะมี ตั้งแต่การมองหาหลักฐาน, แอบเดินตามเป้าหมาย, ถ่ายภาพหลักฐาน, วิ่งไล่ล่าคนร้าย, และการโชว์พิสูจน์หลักฐาน แต่น่าเสียดายที่เกมเพลย์ดังกล่าวค่อนข้างธรรมดาและมีความเป็นเส้นตรงเกินไปหน่อย เพราะถ้าหากผู้เล่นตอบผิด ก็เพียงแค่เลือกตอบใหม่ให้ถูกต้องก็สามารถดำเนินเนื้อเรื่องต่อไปได้โดยไม่มีการลงโทษผู้เล่นแต่อย่างใด (แต่จะรู้สึกอาย ๆ หน่อย เพราะ NPC จะด่าเราประมาณว่า “จริงจังหน่อยสิ!”)
แต่สิ่งที่น่ารำคาญมากคงหนีไม่พ้นเรื่องนิสัยของ A.I. ในโหมดแอบติดตามเป้าหมาย เพราะประมาณทุก ๆ 20 วินาที หรือทุกครั้งที่มีวัตถุให้เราสามารถหลบซ่อนตัวได้ ฝ่าย NPC จะมีแพตเทิร์นในการกลับหลังหันไปหาผู้เล่นทุกครั้ง ทำให้โหมดดังกล่าวค่อนข้างยืดเยื้อ หงุดหงิด และเสียเวลาโดยไม่จำเป็น
พลัง Dragon Engine มีการปรับปรุงที่ดีกว่าเดิม
Judgment จัดว่าเป็นเกมที่สามของ SEGA ที่ใช้ขุมพลัง Dragon Engine ซึ่งมีความโดดเด่นเรื่องการสร้างวิชวลเอฟเฟกต์ที่คมสวยงาม และโมเดลตัวละครมีรายละเอียดสูง ซึ่งแน่นอนว่าเอนจินดังกล่าวมีการพัฒนาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น ทำให้การแสดงผลของแสงที่สะท้อนเข้าหาวัตถุหรือตัวละครมีความสมจริง โดยรวมแล้วกราฟิกของเกมต้องจัดว่าดูดีกว่า Yakuza 6 อย่างแน่นอน
และการเล่นเกมบนเครื่อง PlayStation 4 Pro แทบไม่พบกับปัญหาเฟรมเรตกระตุกหรือดรอปลงแต่อย่างใด (เกมรันที่ 30 FPS ระดับ Full HD) ยกเว้นคัตซีนบางฉากที่ใช้แสงเอฟเฟกต์หรือมีวัตถุเยอะมาก ค่าเฟรมเรตอาจจะตกล่วงจนถึง 20-25 นอกจากนี้ ถ้าหากผู้เล่นยืนนิ่งอยู่เฉย ๆ จะสังเกตเห็นว่าแอ่งน้ำบนท้องถนนจะมีอาการชักกระตุกอย่างชัดเจน ซึ่งนี่เป็นปัญหาของเกม Yakuza 6 และ Yakuza Kiwami 2 ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขซักที
แม้ว่าผู้เขียนจะไม่ค่อยซีเรียสกับรายละเอียดยิบย่อยของภาพกราฟิกมากนักและโดยรวมยังคงเล่นได้ตามปกติ แต่ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า Dragon Engine จำเป็นต้องมีการขัดเกลาที่ดีกว่านี้
สรุป
ถ้าหากสงสัยว่าทำไมผู้เขียนต้องเปรียบเทียบระหว่างเกม Judgment กับ Yakuza 6 ? เพราะว่าระบบเกมหลาย ๆ อย่างมีความคล้ายคลึงเป็นอย่างมากทั้งระบบเกมเพลย์และหน้าตาการใช้งาน
แต่ Judgment ก็ได้มอบประสบการณ์เกมที่ดีให้ทั้งกลุ่มแฟนเกม Yakuza กับเกมเมอร์ทั่วไปด้วยเนื้อเรื่องน่าติดตาม, การเล่าเรื่องเหนือชั้น, ตัวละครน่าจดจำ, และเนื้อหา Side Case ผ่านการเขียนมาอย่างดี ถึงแม้เกมจะมีข้อเสียไม่อาจมองข้ามได้ แต่ความสนุกสนานโดยรวมยังอยู่ในระดับเกมเยี่ยมเช่นเคย
สำหรับใครป็นแฟนซีรีส์ Yakuza หรือคนที่ชื่นชอบเกมเน้นเนื้อเรื่องและมีระบบเกมเพลย์สนุก เกม Judgment จัดว่าเป็นเกมที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งครับ