BY Aisoon Srikum
23 Sep 21 5:41 pm

รีวิว World War Z: Aftermath เกมเดิม เพิ่มเติมของใหม่ เร้าใจด้วยมุมมอง FPS

611 Views

ตัวเกมปล่อยออกมาเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว ไม่มีใครคาดคิดว่า ทางผู้พัฒนาจะยังคงอัปเดตและดูแลตัวเกมอยู่เสมอ จนกระทั่งมาถึงส่วนเสริมชุดใหญ่ของเกม เมื่อเหล่าซอมบี้ยังคงเดินหน้ายึดครองโลกด้วยจำนวนมหาศาล Aftermath จะพาผู้เล่นเดินทางไปอีก 2 ประเทศ เพื่อเอาตัวรอดและรับมือกับมหาวิบัติครั้งนี้ ส่วนเสริมใหม่อย่าง Aftermath จะคุ้มค่า คุ้มราคาหรือไม่ วันนี้มาดูกันใน World War Z: Aftermath และเราต้องย้ำกันอีกครั้งว่า World War Z: Aftermath ไม่ใช่เกมใหม่ ไม่ใช่ภาคใหม่ แต่ Aftermath คือ DLC และส่วนเสริมของเกมหลักเท่านั้น

Story

หากใครเคยเล่นเกม World War Z มาก่อนแล้ว จะรู้ว่าเนื้อเรื่องหลักของเกมนี้ ไม่ได้เป็นเส้นตรง หากอิงตามต้นฉบับนิยายของ Max Brooks เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน World War Z นั้น ไม่ใช่แค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง แต่เป็นโลกทั้งใบที่ได้รับหายนะจากการรุกรานของเหล่าซอมบี้ ตัวเกมก็จะดำเนินเรื่องคล้ายกัน การมาถึงของส่วนเสริม Aftermath นี้ จะเพิ่มเนื้อหาเข้ามา 2 Episode คือกรุงโรมของอิตาลี และคัมชัตคาของประเทศรัสเซีย โดยคัมชัตคานั้นจะมีเนื้อหาต่อจาก Episode 4 ของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย

ปัญหาของการเล่าเรื่องแบบแยกประเทศกันแบบนี้ เพื่อเคารพต้นฉบับนิยาย แต่พอมาอยู่ในรูปแบบเกมมันกลับทำให้ผู้เล่นไม่อิน และไม่ได้รู้สึกว่ามีส่วนร่วมใด ๆ กับเหตุการณ์ภายในเกมเลยแม้แต่น้อย ทำให้เหมือนกับเป็นเกมเล่นจบเป็นรอบ เป็นด่าน ๆ ไปมากกว่า และในแต่ละประเทศก็จะมีกลุ่มผู้รอดชีวิตอีกหลากหลายคน ซึ่งจะมีปูมหลังเป็นของตัวเองผ่านวิดีโออนิเมชั่นขนาดสั้น น่าเสียดายที่ หากทำให้ดีนั้น เนื้อเรื่องของเกมก็จะน่าสนใจได้ แต่เพราะการเคารพต้นฉบับนิยาย และความหลากหลายให้กับตัวเกม ด้วยฉากในประเทศหลาย ๆ ประเทศ ทำให้การเล่าเรื่องดูด้อยลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็อาจบอกได้ว่า คงไม่มีใครอยากจะซื้อ World War Z มาเพื่อนั่งเสพเนื้อเรื่องกันอยู่แล้ว เมื่อจุดเด่นที่เห็นกันมาตั้งแต่เกมออก คือการยิงฝูงซอมบี้จำนวนมหาศาลอยู่ดี

Presentation

ตามที่กล่าวไปในส่วนของเนื้อเรื่อง ใน World War Z เราจะได้เล่นฉากต่าง ๆ ในแต่ละประเทศทั่วโลก แต่ด้วยความที่เป็นส่วนของ DLC Aftermath สองประเทศที่เราจะได้ไปเล่นก็คือกรุงโรมของอิตาลี และคัมชัตคาของรัสเซีย ที่น่าสนใจคือภารกิจในประเภทใหม่ที่แม้จะได้แรงบันดาลใจจากเกมอื่นมา อย่างเช่นกันดันรถที่คล้าย ๆ กับการดัน Payload ใน Overwatch แต่อันนี้จะมีฝูงซอมบี้จำนวนมหาศาลคอยมากดดันเราแทนจากทุกสารทิศ หรือในคัมชัตคาของรัสเซียที่มีอากาศหนาวเย็น และผู้เล่นจะต้องคอยเคลื่อนที่ไปข้างหน้าพร้้อม ๆ กับการหา Heater ทำความร้อนด้วย ก็เป็นความพยายามที่จะแปลกใหม่ของ World War Z ดี ส่วนเอกลักษณ์เดิม ๆ นั้นยังมีครบ เช่นการเปลี่ยนเกมไปเป็นแบบ Tower Defense นิด ๆ ในบางช่วงสำคัญ ที่เราจะต้องหาแผงไฟฟ้า หาป้อมปืน มาตั้งรับมือกับฝูง Swarm ที่จะแห่กันมาแบบมืดฟ้ามัวดินเป็นต้น

ยังมีภารกิจแปลก ๆ ที่ให้เราคอยวิ่งเสิร์ฟของให้กับ NPC ท่ามกลางฝูงซอมบี้ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ท้าทายใช้ได้ เพราะแม้จะเล่นระดับง่าย แต่ถ้าหากขาดการสื่อสารและรู้ว่าต้องทำอะไรในฉากนั้น เราอาจจะเสียเวลา เสียไอเทมมากกว่าที่ควรจะเป็น แม้เปลือกนอกของเกมจะดูเป็นเกมยิงซอมบี้เดือด ๆ แต่ระบบในเกมเองก็ต้องอาศัยทีมเวิร์คไม่น้อยเลยเหมือนกัน

อีกไฮไลท์ความน่าสนใจของ Aftermath คือ การมาของมุมมอง FPS ที่จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมให้กับเรามากยิ่งขึ้น แต่ต้องบอกว่าอย่าคาดหวังอะไรมาก เพราะเหมือนตัวเกมไม่ได้ตั้งใจจะใส่เข้ามาแต่แรก พอจะหาวิธีใส่เข้ามา เลยทำง่าย ๆ แบบเป็นฟังก์ชั่นเปิด-ปิด ได้ด้วย Setting และถึงแม้ว่าเราจะเล่นมุมมอง FPS ได้ แต่เราก็ไม่สามารถเข้าลำกล้องปืน หรือ Aim Down Sight ได้ แม้แต่ Iron Sight ก็ไม่สามารถยกปืนขึ้นมาเล็งได้ มุมมอง FPS ของเกมนี้ เวลาคลิกขวา มันจะเป็นการซูมหน้าจอเข้าไปใกล้ ๆ แทน คล้าย ๆ กับเกม Left 4 Dea ซึ่งมันอาจจะตกยกไปแล้ว แถมยังทำให้เกิดปัญหาการเล่นเช่น มองไม่เห็นซอมบี้ที่ข้างหลัง หรือมองไม่เห็น Objective บางอย่างที่สลับไปมาตลอดเวลาในบางฉาก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นการเพิ่มทางเลือกสำหรับคนที่อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศดูบ้าง แม้จะทำออกมาได้ไม่ค่อยดีนัก แต่การเผชิญหน้ากับเหล่าซอมบี้จำนวนมหาศาลด้วยมุมกล้องแบบ FPS World War Z น่าจะให้อารมณ์ร่วมที่ต่างจากเกมยิงซอมบี้เกมอื่นพอสมควร

และคลาสใหม่ที่เพิ่มเข้ามาก็คือ Vanguard สายอาชีพใหม่ประจำเกมที่ถูกเพิ่มเข้ามา โดยมีความสามารถในการกางโล่ไฟฟ้าแล้วชาร์จบุกฝ่าดงซอมบี้จนกระจุยกระจาย ในตัวอย่างอาจจะดูเท่ แต่การใช้งานจริงกลับไม่ค่อยเวิร์คสักเท่าไร เพราะหาโอกาสใช้ได้น้อยมาก ทำให้มันกลายเป็นคลาสที่ไม่ค่อยจะได้รับความนิยมนัก คนยังคงกลับไปเล่นคลาสเก่า ๆ อย่าง Gunslinger, Medic กันอยู่ดี เผลอ ๆ Dronemaster อาจจะยังมีคนเล่นเยอะกว่าด้วยซ้ำไป

นอกจากโหมดเนื้อเรื่องที่เพิ่มมาสองฉากแล้ว โหมดอื่น ๆ อย่าง Horde Mode หรือ Multiplayer ก็ไม่ได้เพิ่มเนื้อหาใหม่ใด ๆ เข้ามา หากเล่นที่ความยากระดับง่ายสูง DLC Aftermath อาจใช้เวลาในการเล่นจนจบ 2 Episode 6 ฉากย่อยในเวลาราว ๆ 2 ชั่วโมงเท่านั้น มองที่ราคา 269 บาท (สำหรับคนที่มีตัวเกมอยู่แล้ว และซื้อตัวอัปเกรดบน Epic Games Store) และได้มุมมอง FPS กับเพิ่มคลาสใหม่ Vanguard เข้ามา ก็ถือว่าสมราคา

Gameplay

World War Z จะมีเกมเพลย์คล้าย ๆ เกมยิงซอมบี้เกมอื่นทั่วไป คือจบเป็นรอบ ๆ ไป และนำเอาของรางวัลที่ได้มาอัปเกรด Progression ของตัวละคร คลาส และอาวุธของเรา

ด้วยความที่เป็นส่วนเสริม ดังนั้นเกมเพลย์ของ Aftermath จะไม่ได้แตกต่างออกไปจากเดิมนัก ที่เพิ่มเติมคือลูกเล่นภารกิจใหม่ ๆ การมาของคลาสใหม่อย่าง Vanguard อาจทำให้ทีมของเรามีความสามารถในการรับมือกับฝูงซอมบี้ได้ดีขึ้น ด้วยความสามารถกางโล่ฝ่าฝูงซอมบี้ได้ และยิ่งอัปเกรดสกิลขั้นหลัง ๆ ก็ทำให้ความสามารถของโล่มีสูงขึ้น สิ่งที่คลาสนี้โดดเด่นกว่าคนอื่นคือการเคลื่อนที่ฝ่าฝูงซอมบี้ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในบางฉากจะสามารถทำให้ภารกิจง่ายขึ้นได้ด้วย เพราะต้องมีการเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว แต่ในข้อดีแบบนี้ก็อาจมีข้อเสีย เพราะถ้าเราฝ่าไปแล้วไม่รอด เรานี่แหละจะโดนเหล่าซอมบี้รุมตบซะเอง ลำบากเพื่อนต้องมาช่วยเราอีก

รูปแบบเกมเพลย์ใหม่ที่เห็นได้ชัดคือการดันรถคล้าย ๆ กับ Payload ที่แม้ว่าระหว่างทางจะมีกระสุนให้เก็บบ้าง แต่ถ้ายิงไม่คิดหน้าคิดหลังก็อาจจะกระสุนหมดก่อนได้ ทำให้คลาส Fixer ยังคงมีหน้าที่สำคัญ หรือให้คลาส Hellraiser เคลียร์ฝูงซอมบี้ได้อยู่ดี ใครที่เล่นเกมนี้มาตั้งแต่ช่วงเกมเปิดแรก ๆ จะรู้ว่า เหล่าศัตรูนั้น ไม่ได้มีความน่ากลัวอะไรเลย แต่ความตึงมือของเกมนี้จริง ๆ แล้วจะอยู่ที่ฝูง Swarm ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่เราต้องเจอแทบจะทุกฉาก ไม่เว้นแม้แต่สองฉากใหม่อย่างกรุงโรมและคัมชัตคา

ฝูง Swarm คือการที่เราจะต้องร่วมมือกับทีม นำเอาอุปกรณ์ป้องกันต่าง ๆ ไปติดตั้งในพื้นที่ จากนั้นคอยตั้งรับฝูงซอมบี้จำนวน “มหาศาล” แบบในหนังที่จะโถมเข้ามา ตรงนี้แหละคือสิ่งที่เราต้องพยายามรับมือให้ได้ เพราะถ้าปล่อยซอมบี้หลุดเข้ามาสักเวฟ เกมอาจจะล่มได้เลยทีเดียว หรือถ้าใครห้าว เดินหลุดออกจากทีมไปนิดหน่อย แล้วเกิดเจอ Special Zombie ขึ้นมา ก็ลำบากกันแน่นอน ดูเผิน ๆ เหมือนเป็นเกมถอดสมองยิง แต่ถึงเวลาเล่นจริงนั้น ทีมเวิร์คสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด โดยเฉพาะในส่วนของเนื้อเรื่องเสริมอย่างคัมชัตคากับกรุงโรม

ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้เลย สำหรับส่วนเสริมนี้คือศัตรูใหม่อย่างเจ้าพวกหนูมหากาฬ

ในการจบเกมแต่ละรอบเราจะได้ค่า EXP ประจำคลาส และเงินเมื่อจบเกม เงินนั้นจะสามารถนำไปปลดล็อคสกิลของคลาสใหม่ ๆ ได้ ทำให้คลาสนั้นของเราเก่งขึ้น ซึ่งสกิลจากคลาสก็จะปลดล็อคจากการอัปเลเวลของเรานั่นเอง ท้ายที่สุดแล้วเมื่อเลเวลคลาสสูงขึ้น เหล่าผู้เล่นในเกมก็จะยกระดับความท้าทายด้วยการไปเล่นในความยากที่สูงขึ้น ส่วนอาวุธปืนนั้น ยิ่งใช้ก็จะยิ่งปลดล็อคของแต่งใหม่ ๆ ทำให้ปืนมีประสิทธิภาพมากขึ้นเช่นกัน

แต่สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดสำหรับเกมนี้คือไม่ค่อยมีใครรู้จักกับโหมด Multiplayer หรือว่าโหมดออนไลน์เท่าที่ควร โหมดนี้จะแบ่งแยกออกเป็นอีกหลากหลายโหมดที่เราคุ้นเคยกันดี เช่น Team Deathmatch, Scavenge Raid, Vaccine Hunt และอื่น ๆ ปัญหาคือคนไม่ค่อยจะสนใจสักเท่าไร และเล่นกันอยู่โหมดเดียวมากกว่าคือ King of the Hill อธิบายง่าย ๆ โหมดนี้คือโหมดยึดจุด เพื่อทำคะแนนให้กับทีมเราเรื่อย ๆ แต่ความระทึกคือระหว่างยึดจุดนี้ จะเกิดฝูงซอมบี้มาคอยรบกวนทั้งทีมเราและทีมศัตรู ทำให้เกมพลิกผันตลอดเวลาในการเล่น และการเล่นโหมด Multiplayer นี้ จะมีระบบคลาสแยกออกไปจากโหมดเนื้อเรื่องอีกทีด้วย เป็นโหมดที่ไม่ค่อยมีใครจะสนใจอย่างที่ควร สวนทางกับความสนุกของมัน และการมาของเกมนี้บนเวอร์ชั่น Steam ก็ไม่ได้ทำให้คนเล่นเยอะขึ้นเท่าที่ควรด้วย

Aftermath ถือเป็นส่วนเสริมที่ไม่ได้ยกระดับมาตรฐานเกมขึ้นมาให้สูงขึ้นเลย เป็นเพียงเนื้อหาใหม่ที่เพิ่มฉากใหม่เข้ามา ใครที่คิดว่ามันจะดูดีขึ้นก็อาจจะต้องลดระดับความคาดหวังลงหน่อย แต่อย่างน้อยความสนุกแบบมาตรฐานของมันก็ไม่ได้ลดหย่อนลงไปแต่อย่างใด

Performance

ด้วยความที่เป็น DLC นั้น Performance ของเกมก็ไม่ได้ต่างจากเดิมมากนัก ปกติแล้ว World War Z เองก็ไม่ใช่เกมที่มีปัญหาด้านประสิทธิภาพเกมอะไรอยู่แล้ว แต่ในการมาของ Aftermath ที่มีมุมมอง FPS เข้ามาด้วย ทำให้เกมเพิ่มตัวเลือกในการปรับตั้งค่า Scale หน้าจอในมุมมองของ FPS ซึ่งแยกจากส่วนของ FOV ไปอีกที ใครที่รู้สึกว่าหน้าจอมุมมอง FPS มันแคบเกินไป ก็สามารถปรับเพิ่มได้

การมาถึงของ DLC นี้ ไม่ได้ลดประสิทธิภาพของเกมลง และในฉากที่มีซอมบี้จำนวนมหาศาลออกมาพร้อม ๆ กัน คอมพิวเตอร์สเปคกลาง ๆ ก็ยังสามารถรันได้อย่างลื่นไหล และตัวเลือกการปรับราฟิกที่มีค่อนข้างเยอะ ทำให้เราสามารถปรับแต่งตัวเกมให้รันบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่แตกต่างกันได้อย่างหลากหลาย

สุดท้ายนี้อย่าลืมว่า Wolrd War Z ไม่ใช่เกมใหม่ ที่สำคัญคือมันเคยแจกฟรีไปแล้วด้วยบน Epic Games Store เรื่องประสิทธิภาพเกมนั้น ไว้ใจได้ หายห่วงอย่างแน่นอน และตอนนี้ตัวเกมก็เปิดให้เล่นบน Steam อีก 1 ช่องทาง และตัวเกมในตอนนี้ก็อาจจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบแล้วในเรื่องประสิทธิภาพของตัวเกม ใครที่กำลังมองหาเกมยิงซอมบี้มัน ๆ เล่นแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ณ ตอนนี้เกมนี้คือตัวเลือกที่ดี และเราต้องมารอดูเกมในแนวเดียวกันอีกทีอย่าง Back 4 Blood ที่กำลังจะมาถึงในเดือนหน้านี้

 

 

 

SHARE

Aisoon Srikum

Back to top