จากเกม FPS คัลท์คลาสสิกสมัย PlayStation 2 สู่การ Remake พัฒนาใหม่ เพื่อลงในระบบเกมคอนโซล และ PC รุ่นปัจจุบัน แล้วเกมเวอร์ชันนี้จะสร้างความประทับใจให้เหล่าเกมเมอร์ทั้งแฟนเก่า กับผู้เล่นรุ่นใหม่หรือไม่ มาพบกับรีวิว XIII เวอร์ชัน Remake กัน
เนื้อเรื่อง
ในเกมนี้ ผู้เล่นรับบทเป็นสายลับคนหนึ่งที่ตื่นขึ้น พร้อมกับความทรงจำเสื่อม โดยจำได้เพียงแค่ว่าเขามีชื่อโค้ดเนม “XIII” เท่านั้น แต่ระหว่างพักฟื้น ก็ค้นพบว่ามีองค์กรปริศนากลุ่มหนึ่งกำลังไล่ล่า เพื่อสังหาร XIII โดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แถมโดนใส่ร้ายว่าเป็นคนสังหารประธานาธิบดีอีกด้วย XIII จึงตัดสินใจออกเดินทางปฏิบัติภารกิจรอบโลก เพื่อเอาตัวรอดจากองค์กรลับ พร้อมค้นหาความทรงจำของตัวเองกลับคืนมา
เนื้อเรื่องของ XIII ได้ดัดแปลงจากหนังสือคอมิกส์สัญชาติเบลเยียมในชื่อเดียวกัน ตีพิมพ์เล่มแรกในปี 1984 เขียนบทโดย Jean Van Hamme และศิลปิน William Vance โดยเนื้อเรื่องเวอร์ชันเกมจะอ้างอิงมาจากหนังสือเล่ม 1-5
เนื้อเรื่อง XIII เป็นการผจญภัยของสายลับ XIII ได้ออกเดินทาง เพื่อฟื้นความทรงจำของตัวเองกลับคืนมา และค้นหาหลักฐานพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้เป็นผู้สังหารประธานาธิบดี โดยตลอดทั้งการเล่น เนื้อหาจะมีการเปิดเผยปมปริศนาต่าง ๆ ว่าก่อนสูญเสียความทรงจำ ตัว XIII ได้ทำอะไรลงไปบ้าง
แต่อย่างก็ตาม ด้วยเนื้อเรื่อง XIII มีจังหวะการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างเร็วมาก แถมพล็อตเนื้อเรื่องเป็นภาพยนตร์แอ็กชันสูตรสำเร็จจากยุค 1980 ที่เน้นโชว์ทักษะความสามารถที่หลากหลาย กับความไหวพริบของตัวละครเอกเป็นหลัก มันทำให้เราไม่รู้สึกผูกพันกับตัวเอก XIII เท่าที่ควร นอกเหนือจากชื่นชมว่าเขาเป็นสายลับเทพ ๆ ไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไร ก็สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างง่ายดาย
ถึงอย่างนั้น ไม่ได้หมายความว่า XIII เป็นเกมที่มีเนื้อเรื่องแย่ เพราะหากลองเสพเนื้อเรื่องแบบปิดสมอง ความจริงแล้ว เนื้อเรื่อง XIII ก็มีความเพลิดเพลินในระดับหนึ่ง เพราะต้องยอมรับว่าการนำเสนอฉากคัตซีนสไตล์กราฟิกโนเวล มีส่วนช่วยให้การเล่าเรื่องน่าสนใจมากขึ้น แต่โดยรวมแล้ว เนื้อเรื่อง XIII ฉบับเกมก็ยังถือว่าธรรมดา เป็นหนังป๊อปคอร์นที่ดูเพลิน ๆ เหมาะสำหรับการฆ่าเวลาได้ดี แม้เนื้อเรื่องบางช่วงจะคาดเดาได้ง่ายก็ตาม
การนำเสนอ
ความจริงแล้ว XIII Remake ออกวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี 2020 แต่อย่างไรก็ตาม เกมนี้โดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างล้นหลามจากผู้เล่น ด้วยการนำเสนอภาพกราฟิกที่ไม่มี Cel-Shading เหมือนเกมเวอร์ชันต้นฉบับ รวมถึงตัวเกมขาดการขัดเกลาที่ดี ส่งผลลัพธ์ทำให้ล่าสุด ทีมงาน Tower five ต้องปล่อย Patch เวอร์ชันใหม่ที่เหมือนเป็นการ Remastered ในเกมเวอร์ชัน Remake อีกทีหนึ่ง
แน่นอนว่าอัปเดตล่าสุดของ XIII Remake ทำให้ตัวเกมมีการปรับปรุงหลายอย่างไปในทิศทางถูกต้องมากขึ้น ทั้งการเพิ่มกราฟิก เปลี่ยน Texture เป็นแบบ Cel-Shading ให้เหมือนเกมเวอร์ชันต้นฉบับ, ปรับปรุงคัตซีนช่องการ์ตูนที่ปรากฏตัวระหว่างเกมเพลย์, ออกแบบระบบ Ragdoll ใหม่ และเพิ่มเอฟเฟกต์ตัวอักษรบนหน้าจอ
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้การนำเสนอต่าง ๆ ในเกม XIII Remake จึงมีความแตกต่างจากเกมเวอร์ชันแรกอย่างเห็นได้ค่อนข้างชัด ซึ่งแฟน ๆ เห็นแล้วอาจจะต้องชื่นใจมากขึ้น แม้ว่าสไตล์ของเกมเวอร์ชันนี้ไม่ได้จัดจ้านเหมือนภาคต้นฉบับ แต่อย่างน้อย ก็มีการปรับปรุงไปในทิศทางที่ดีขึ้น แม้น่าเสียดายที่ฉากคัตซีน Pre-Render ยังคงเป็นภาพกราฟิกจากเกมเวอร์ชันแรกที่ไม่ได้ปรับปรุงตามเกมเวอร์ชันปัจจุบันก็ตาม
แม้การนำเสนอยังไม่ดีเท่าเกมต้นฉบับ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ากราฟิก Cel-Shading และการเล่าเนื้อเรื่องสไตล์คอมิกส์ / กราฟิกโนเวล เป็นจุดชูโรงที่ทำให้เกม XIII Remake ดูน่าหลงใหล และเป็นเอกลักษณ์
ส่วนคอนเทนต์ภายในเกม XIII Remake ไม่ค่อยมีอะไรให้กล่าวถึงมากนัก เพราะเกมดังกล่าวไม่มีเนื้อหาเสริมอย่างอื่นให้ทำ นอกจากเล่นเนื้อเรื่อง Singleplayer ที่สามารถจบได้ภายใน 5-6 ชั่วโมง และเก็บ Collectables ซึ่งกระจัดกระจายทั่วแผนที่ เพื่อล่าคว้า Achievement สำหรับประดับโปรไฟล์เท่านั้น
แล้วด้วยเกมดำเนินเนื้อเรื่องเป็นเส้นตรง ไม่มีฉากจบหลายฉาก ไม่มีระบบการเปลี่ยนเส้นทางการดำเนินสตอรี่ ทำให้หลังจากเล่นเนื้อเรื่องจนจบแล้ว จึงไม่ค่อยมีแรงดึงดูดอยากจะกลับมาเล่นใหม่อีกครั้งสักเท่าไหร่นัก
เกมเพลย์
ถึงแม้ XIII เป็นเกมเวอร์ชัน Remake แต่ระบบเกมการเล่นยังคงเหมือนภาคต้นฉบับเกือบทุกอย่าง คือเป็นเกม FPS ที่ดำเนินด่านเป็นเส้นตรง ผู้เล่นจะต้องทำ Objective ต่าง ๆ ระหว่างการทำภารกิจ แล้วเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง เพื่อปลดล็อกเนื้อเรื่องเข้าสู่ด่านถัดไป
นอกจาก XIII Remake ได้ใส่ฟีเจอร์ ADS (Aim Down Sight) เพื่อเพิ่มรสชาติให้เกมเพลย์ทันสมัยมากขึ้นแล้ว องค์ประกอบเกมการเล่นที่เหลือของ XIII ถือว่าตกยุคอย่างชัดเจน เพราะตลอดทั้งการเล่น เกมเมอร์จะใช้เวลาส่วนใหญ่กับการยิงศัตรู หรือไม่ก็ลอบเร้นตบศัตรูให้สลบจากด้านหลัง
ปัญหาหลักของ XIII Remake คือพฤติกรรม AI ทั้งฝ่ายเรากับฝ่ายตรงข้ามไม่ค่อยฉลาด ศัตรูหลายตัวเกมนี้มักจะบุกเข้าหาผู้เล่นตรง ๆ หรือยืนนิ่งให้โดนยิงเล่น ส่วนคู่หูฝ่ายเราก็ยิงปืนไม่ค่อยแม่นสักเท่าไหร่ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้ XIII Remake เป็นเกมที่เล่นง่าย ไม่ค่อยมีความท้าทายสักเท่าไหร่ แม้จะปรับเกมเป็นระดับความยากสูงขึ้นแล้วก็ตาม
ศัตรูในเกมก็ถือว่าขาดความหลากหลาย โดยฝ่ายตรงข้ามจะมีองค์กรสวมชุดธรรมดา ถืออาวุธครบมือ และเจ้าหน้าที่ทหารสวมชุดเกราะ แล้วถืออาวุธสงครามที่อึดตายยากกว่าคนทั่วไป แต่สุดท้ายแล้ว ผู้เล่นจะสามารถเอาชนะมันได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่สาดกระสุนไม่ยั้ง หรือยิงหัวซ้ำ ๆ เท่านั้น
นอกจากนี้ วิธีการเอาชนะบอสก็เหมือนกับการปราบศัตรูทั่วไป ก็คือต้องสาดกระสุนไม่ยั้ง โดยสิ่งที่บอสนั้นแตกต่างจากลูกน้อง ก็คือมีการเคลื่อนไหวรวดเร็ว โจมตีแรงกว่าปกติ มีโชว์หลอดเลือด และอาจมีวิธีการสร้างความได้เปรียบ ด้วยการใช้กลยุทธ์ตุกติก ซึ่งก็ไม่ได้มีวิธีการซับซ้อนขนาดนั้น ถ้าหากผู้เล่นมีทักษะการเล่นเกม FPS มาก่อน หรือเป็นคนที่ใช้เมาส์เล็งปืนแม่นอยู่แล้ว เรามั่นใจว่าคุณต้องสามารถเอาชนะบอสได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก
ด้วยองค์ประกอบเกมการเล่นเด่น ๆ ที่ระบุมาทั้งหมด จึงมีความรู้สึกว่า XIII Remake เป็นเกมยิงทั่วไปที่เล่นแล้วอาจเพลิดเพลินในช่วงแรก และเวลาต่อมา อาจเริ่มมีความรู้สึกเบื่อจำเจ (Repetitive) เพราะระบบเกมเพลย์ ศัตรู และการออกแบบภารกิจทั้งหมด มีความตกยุคเหมือนเป็นเกมสมัย PlayStation 2 ที่เล่นสนุกสนานในยุคนั้น แต่อาจจะไม่สนุกตามที่คาดหวังในยุคนี้
กราฟิก / ประสิทธิภาพ (PS5)
จากการเล่น XIII Remake ในคอนโซล PlayStation 5 ด้วยขุมพลังฮาร์ดแวร์ที่ทรงพลังทั้ง CPU กับ SSD รวมถึง Patch ล่าสุด มีการปรับปรุงประสิทธิภาพ (Performance) แบบยกใหญ่ ทำให้ตัวเกมสามารถรันอย่างลื่นไหลตลอด 60 FPS ซึ่งอาจจะด้วยภาพกราฟิกที่เป็นสไตล์การ์ตูนที่มี Texture เรียบเนียนอยู่แล้ว และไม่ใช่เกม Open-World ที่ต้องประมวลผลเกือบตลอดเวลา จึงทำให้เกมนี้ไม่กินทรัพยากรหนักตั้งแต่แรกแล้ว
ถึงอย่างนั้น ตัวเกมยังคงมีบั๊กจุกจิกขัดใจเล็กน้อยให้เห็นเป็นบางครั้ง ไม่ว่าจะเป็นบั๊กภาพกราฟิก และบั๊กการทำงานของ AI แต่โดยรวมแล้ว ตัวเกมมีประสิทธิภาพดีขึ้นมากจากเกมเวอร์ชันแรก โดยบั๊กต่าง ๆ เช่น บั๊กเสียงพากย์หาย และบั๊กเสียงปืนหายได้รับการแก้ไขแล้ว
สรุป
การอัปเดตล่าสุดได้ปรับปรุงคุณภาพเกมโดยรวมแบบยกใหญ่จนเหมือนเป็นการ Remastered ในเวอร์ชัน Remake และเปลี่ยนแนวทางการนำเสนอไปในทิศทางอย่างที่ควรเป็นตั้งแต่แรกก็จริง แต่น่าเสียดายที่คอร์เกมเพลย์หลัก และระบบการยิงยังคงตกยุค พร้อมเนื้อเรื่องแอ็กชันสายลับค่อนข้างธรรมดา จึงเป็นเกมยิงที่เล่นจบแล้วไม่มีอะไรน่าจดจำ หรือรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ นอกจากการเล่าเรื่องสไตล์คอมิกส์ / กราฟิกโนเวล ที่เป็นเอกลักษณ์ชูโรงของเกมนี้
ข้อดี
- กราฟิก Cel-Shading และการเล่าเรื่องสไตล์คอมิกส์ / กราฟิกโนเวลเป็นเอกลักษณ์
- Patch เวอร์ชันล่าสุด มีการอัปเกรดคุณภาพเกมอย่างก้าวกระโดด
- รันได้ลื่นไหลใน PlayStation 5
ข้อเสีย
- ระบบเกมเพลย์ตกยุค และความท้าทายโดยรวมง่ายเกินไป
- เนื้อเรื่องไม่มีอะไรน่าจดจำ
- ยังคงมีบั๊กประปรายให้เห็นเล็กน้อย
คะแนน 5.5/10