ทุกวันนี้ ทั่วโลกยังคงต้องเจอกับปัญหาชิปเซ็ตขาดแคลน ที่ส่งผลให้หลาย ๆ อุปกรณ์ไอทีล้วนหายากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ‘การ์ดจอ’ ซึ่งทำเอาเกมเมอร์ต้องเจ็บปวดใจกับราคาไปตาม ๆ กัน ชนิดที่ว่าต้องกอดการ์ดจอตัวเก่ากันไว้ให้แน่น ๆ และภาวนาให้อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปก่อน
ดูเหมือนว่าสถานการณ์ก็น่าจะยังไม่คลี่คลายลงในเร็ววัน เพราะเมื่อไม่นานมานี้ Intel ก็ออกโรงเตือนว่าเราอาจจะต้องอยู่กันแบบนี้ไปอย่างต่ำก็จนถึงปี 2023, ตรงกับที่หลาย ๆ บริษัทยักษ์ใหญ่เคยออกมาบอกไว้ในทิศทางเดียวกัน
เมื่อเห็นแบบนี้ การจะอัปเกรด PC สักเครื่องก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไร ในทางกลับกันก็ทำให้โน้ตบุ๊คกลายมาเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากขึ้นทีเดียว ด้วยราคาที่แน่นอน และยังคุ้มค่ามากกว่าเมื่อเทียบกับ PC แบบครบชุด (ณ เวลานี้)
และหนึ่งในโน้ตบุ๊คที่เราอยากจะมาแนะนำ ก็คือ ASUS TUF Dash F15 ตัวแรง ซึ่งถูกจัดสรรสเปคมาอย่างดีเยี่ยม และเป็นทางเลือกอันน่าสนใจมาก ๆ สำหรับใครที่กำลังมองหาการ์ดจอตัวแรงอย่าง RTX 3070 ซึ่งจะพาไปเปิดประสบการณ์ของเกมในยุคปัจจุบันได้อย่างเต็มอิ่ม
สเปคของตัวเครื่อง
CPU : Intel Core i7-11370H, 3.3 GHz (up to 4.8 GHz)
GPU : Nvidia Geforce RTX 3070 GDDR6 8 GB
RAM : 16 GB DDR4
Storage : 512 GB M.2 NVMe PCIe 3.0 SSD
Display : 15.6 นิ้ว Full HD
Refresh Rate : 144 Hz
รองรับ Wi-Fi 6 และ Bluetooth 5.1
มาพร้อม Windows 10 Home
น้ำหนัก : 2.0 กก. (ไม่รวม Adapter)
ไม่ใช่แค่แรง แต่ยังเบา และประหยัดพลังงาน
ถ้าว่ากันตามประสาของคนที่ไม่ได้ประกอบคอมพิวเตอร์อยู่บ่อย ๆ , สเปคที่ทาง ASUS ให้มานี้ถือว่าลงตัวมาก ๆ เลยทีเดียวสำหรับวงการเกมมิ่งในปัจจุบัน
โดยจุดเด่นของ ASUS TUF Dash F15 ก็คือการเลือกใช้ซีพียู Intel Core i7 Gen 11 ตัวล่าสุดในรหัส H ซึ่งไม่ใช่แค่มีประสิทธิภาพสูง แต่ยังจัดการพลังงานได้ดี ส่งผลให้ตัวแบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุดถึง 16.6 ชั่วโมง แถมยังมีน้ำหนักเบาเพียงแค่ 2 กิโลกรัมเท่านั้นเอง เรียกว่าสลัดภาพจำเดิม ๆ และก้าวเข้าสู่ยุคสมัยของโน้ตบุ๊คเกมมิ่งที่ทั้ง “แรง และพกพาสะดวก” อย่างเต็มตัวแล้ว
การออกแบบ
TUF Dash F15 มากับบอดี้สี “Eclipse Grey” ดูหรูหรา ตรงบริเวณฝาหลังมีการสกรีนอักษร TUF เอาไว้เพื่อบ่งบอกถึงเอกลักษณ์อย่างชัดเจน แต่ก็ไม่เตะสายตามากเกินไป กลับกันยังดูเรียบร้อย และสามารถพกไปใช้ทำงานนอกสถานที่ได้แบบไม่เคอะเขิน
ความน่าสนใจอีกประการ ก็คือขนาดที่บางเพียงแค่ 1.99 เซนติเมตรเท่านั้นเอง เช่นเดียวกับหน้าจอที่ก็มาในดีไซน์ขอบบาง ชวนให้สัมผัสประสบการณ์บันเทิงแบบไร้กรอบจำกัด แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งชื่อชั้นของ “TUF” ที่มีความแข็งแรงเป็นเลิศอยู่เช่นเคย
โดยรุ่นนี้ก็ผ่านการทดสอบ MIL-STD-810H ซึ่งเป็นมาตรฐานอันเข้มงวดของกองทัพ ทำให้มั่นใจว่ามันจะทนต่อการกระทบกระแทกในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะพกพาไปที่ไหนก็หายห่วง ทั้งการตก, ความชื้น หรือเมื่อต้องเจอกับอุณหภูมิที่สุดขั้วก็ตาม
สำหรับตัวคีย์บอร์ดของเครื่อง จะเป็น Layout แบบที่ไม่มี Numpad ทำให้ได้พื้นที่การวางปุ่มที่กว้างขวางยิ่งกว่า มาพร้อมกับไฟสีเขียวใต้คีย์บอร์ด ซึ่งถึงจะไม่ใช่ RGB แต่ก็สามารถเลือกเอฟเฟคต์การกระพริบของไฟที่ต้องการได้ทันใจ ผ่านปุ่มลัด หรือเข้าไปปรับได้ที่ซอฟต์แวร์ของเครื่องโดยตรง
อีกจุดหนึ่งที่ต้องชื่นชมทาง ASUS เลย ก็คือการเลือกใช้วัสดุที่เป็นอลูมิเนียมอัลลอยด์และพลาสติกเกรดสูง ซึ่งใครที่ชอบพิมพ์กับคีย์บอร์ด หรือใช้งาน Touchpad ก็น่าจะต้องเคยเจอกับปัญหาที่ว่าเมื่อใช้งานไปนาน ๆ แล้วจะมีคราบมันหรือรอยนิ้วมือจนต้องมาเช็ดออกอยู่บ่อย ๆ แต่พอเป็นผิวแบบนี้ ก็ทำให้ง่ายต่อการทำความสะอาดมากขึ้นเยอะทีเดียว
ท้าชนทุกเกมในตลาด
ด้วยขุมพลังของ Intel Core i7 Gen 11 ประกอบกับการ์ดจอ RTX 3070 ก็คงไม่ต้องบอกว่านี่คือหนึ่งในสเปคที่ “เอาอยู่” แล้วกับทุก ๆ เกมในตอนนี้ แต่มันจะปรับกราฟิกได้มากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้เราก็ไม่รอช้า หยิบมาพิสูจน์เล่นจริงกับหลาย ๆ เกมฮิตที่หลายคนน่าจะอยากรู้กัน
เริ่มต้นด้วย Halo Infinite, ภาคล่าสุดของตำนานเกมชูตเตอร์จาก Microsoft ที่กลับมาผงาดได้ใจแฟน ๆ ในรอบหลายปี ซึ่งทางทีมงานเปิดโหมด Multiplayer มาให้เล่นกันได้ฟรี ๆ ก่อนแล้วเรียบร้อย
สำหรับเกมนี้เราปรับจนสุดในระดับ Ultra ทุกการตั้งค่าเท่าที่เกมจะให้ปรับได้ รวมถึงเปิด Vsync เอาไว้ด้วย ผลลัพธ์ที่ได้ก็ออกมาน่าพอใจ เพราะ Framerate ที่ได้นั้นอยู่ที่ราว ๆ 65 – 80 และสามารถขึ้นไปแตะที่ 90 ได้ในบางช่วง ซึ่งถ้าใครอยากใช้ประสิทธิภาพของจอ 144 Hz ให้เต็มที่ ก็อาจจะปรับลดบางส่วนให้ลงมาเหลือ High ก็จะช่วยให้ตัวเกมยิ่งไหลลื่นมากขึ้นไปอีก
คราวนี้มาดูกันต่อที่ Call of Duty: Warzone ซึ่ง ASUS TUF Dash F15 ยังคงทำผลงานได้ดีในการตั้งค่าระดับ High ทั้งหมด ทำ Framerate ได้ราว ๆ 60 – 80 แถมตัวเครื่องก็ไม่ได้ร้อนจนเกินไปอีกด้วย
ขยับมาที่อีกหนึ่งเกมเด่นของปีนี้อย่าง Forza Horizon 5 ที่เพิ่งออกมาให้เกมเมอร์สัมผัสกับประสบการณ์ Next-gen กันได้ไม่นาน ซึ่งแม้จะขึ้นชื่อเรื่องความกินสเปก แต่เมื่อทดสอบตั้งค่าตามที่ NVIDIA แนะนำไว้ และเปิด Ray Tracing เพิ่มไปด้วยในระดับ High ก็พบว่าตัวเกมสามารถรันได้อย่างดีเยี่ยมกับ Framerate 70 – 80 พร้อมเงาสะท้อนตัวรถวิบวับรับทุกสภาพแวดล้อม อันเป็นผลพวงมาจาก Ray Tracing, จะเข้าโค้งกี่ทีก็มั่นใจ ซิ่งไปถ่ายรูปไปได้เพลิน ๆ ไม่มีติดขัด
หรือถ้าใครอยากให้ดีขึ้นกว่านี้อีก จะปรับการตั้งค่าส่วนใหญ่ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ High และเปิด Ray Tracing ไว้เหมือนเดิม ก็ยังได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจราว ๆ 60 FPS และบางช่วงไปแตะที่ 70 FPS ได้ก็มีเหมือนกัน
ปิดท้ายกับเกมยอดฮิตจากทีมงาน Respawn อย่าง Apex Legends ที่สามารถดันขึ้นไปจนสุดทุกการตั้งค่าได้แน่นอน และให้ Framerate สูงเกิน 100 เลยทีเดียว
ซึ่ง Framerate ระดับนี้ก็ถือว่าเหมาะมาก ๆ สำหรับแอ็กชันความเร็วสูงของเกม ช่วยลดความเวียนหัว เล่นกันลื่น ๆ ยิงคม ๆ ผ่านจอ 144 Hz จนต้องบอกว่าใครที่เคยชินกับการเล่นบนจอ 60 Hz มาก่อน ก็รับรองว่าจะติดใจจนกลับไปใช้แบบเดิมไม่ได้อีกเลย
มากกว่าแค่เกมมิ่ง เพราะรวมไว้ครบแล้วทุกไลฟ์สไตล์
ในด้านการเล่นเกมก็ชัดเจนว่า ASUS TUF Dash F15 สอบผ่านฉลุย ด้วยขุมพลังซีพียู Intel 11th Gen ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่เป็นมิตรกับวงการเกมมาอย่างยาวนาน และยังสามารถเข้าถึงแรม GDDR6 ของการ์ดจอได้ดีกว่า ทำให้ยิ่งเสริมประสิทธิภาพการถ่ายโอนข้อมูล จนออกมาเป็นประสบการณ์การเล่นบนความละเอียด 1080p (Full HD) ที่ลื่นไหลอย่างไม่มีสะดุด
ทั้งนี้ ASUS TUF Dash F15 ก็ยังรองรับการใช้งานในด้านอื่น ๆ โดยสามารถนำมาตัดต่อวิดีโอได้สบายมาก ซึ่งสำหรับใครที่อยากตัดต่อไปด้วย เชื่อมต่อกับกล้องไปด้วย ตัวเครื่องนี้ก็ยังมีพอร์ต Thunderbolt 4 ให้ได้ใช้กันด้วยความเร็วการโอนถ่ายข้อมูลที่สูงถึง 40 Gbps, เรียกว่าครบ จบในตัว ตัดงานเสร็จก็พร้อมเรนเดอร์และเตรียมนำไปใช้ได้ทันที
นอกจากนี้ ตัวซีพียู Intel 11th Gen ก็ยังแรงมากพอที่จะทำให้เราสามารถไลฟ์สตรีมเกมผ่านโน้ตบุ๊คกันได้อย่างไม่ยากเย็น ด้วยความอัจฉริยะของการลบพื้นหลังในวิดีโอ, ได้ความละเอียดสูงสุด 4K และเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi 6 อันเป็นเทคโนโลยีล่าสุดในยุคปัจจุบัน ซึ่งรองรับความเร็วได้ถึง 9.6 Gbps
ปิดท้ายกันด้วยฟังก์ชันการทำงานทั่ว ๆ ไป ซึ่งก็อย่างที่บอกว่า Intel Gen นี้แบตอึด อยู่นานมากจริง ๆ ทำให้เราสามารถพกพาออกไปนอกสถานที่ได้ จะใช้พิมพ์เอกสาร, เล่นโซเชียล หรือเทรดเหรียญคริปโตฯ ก็รับรองว่าไม่พลาดทุกจังหวะสำคัญแน่นอน
จุดเด่น
- ได้ซีพียู Intel 11th Gen ตัวแรงของตลาด
- ซอฟต์แวร์ Armory Crate ที่ใช้ปรับแต่งฮาร์ดแวร์ได้หลากหลายมาก ๆ
- ได้ Windows 10 Home ในตัว, พร้อมสำหรับการอัปเกรดเป็น Windows 11 ทันที
- บาง น้ำหนักเบา แต่ทนทาน
จุดสังเกต
- ไม่มีกล้อง Webcam ติดมาในตัว แลกกับขอบจอที่บางโดนใจ
- ขอบเขตการแสดงสีอยู่ในระดับใช้งานทั่วไป ใครที่ทำงานเน้นกราฟิกจริงจัง อาจจะต้องต่อจอที่ให้สีตรงกว่าเพิ่มเข้ามา
- เสียงพัดลมดังพอสมควร แต่ปรับตั้งค่าได้ผ่านซอฟต์แวร์ Armory Crate แลกกับประสิทธิภาพที่ลดหลั่นกันไป
ASUS TUF Dash F15 มีราคาวางจำหน่ายอยู่ที่ 49,990 บาท ซึ่งหากดูจากสิ่งที่ให้มาแล้ว ก็ต้องบอกว่านี่คืออีกหนึ่งโน้ตบุ๊คสุดคุ้มค่าอย่างไม่ต้องสงสัย ซื้อตัวเดียวใช้ได้ยาว ๆ ในทุกกิจวัตรประจำวัน ไม่ว่าจะอยู่กับบ้าน หรือออกไปทำงานนอกสถานที่ก็ตาม
สำหรับใครที่สนใจ ก็สามารถหาซื้อกันได้แล้วที่ร้าน BaNANA ทุกสาขาซึ่งมีอยู่มากมายทั่วประเทศไทย หรือใครไม่สะดวกจะออกไปช็อปช่วงนี้, ทาง BaNANA ก็มีบริการส่งถึงบ้านให้ด้วยเหมือนกัน ผ่านหน้าร้านค้าออนไลน์ : https://bit.ly/3r8oOtZ
โดยมีการรับประกันให้นานถึง 2 ปี พร้อมโปรโมชันสุดคุ้ม ทั้งแลกซื้อ Microsoft 365 Personal เพียง 999 บาท และสามารถผ่อน 0% ได้นานสูงสุด 24 เดือน