บอกเล่าประสบการณ์กับเกม Call of Duty WWII ในโหมด Campaign ที่เปลี่ยนความซ้ำซากให้เป็นเสน่ห์ของตัวเกม
หมายเหตุ: บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวและอาจเปิดเผยถึงเนื้อเรื่องบางส่วน
Call of Duty ชื่อนี้คงกลายเป็นอีกหนึ่งหมุดสำคัญของวงการเกมที่แบ่งกลุ่มแฟนเกมออกเป็นสองฝั่งได้อย่างชัดเจนระหว่าง กลุ่มแฟนพันธ์แท้เดนตายที่ไม่ว่าจะกี่ภาคก็ยังคงอุดหนุนอยู่เสมอ กับกลุ่มแฟนพันธ์ท้ายที่แม้จะยี้และเบ้ปากให้กับเกมนี้เป็นประจำแต่ก็ยังคงติดตามและรับรู้ความเปลี่ยนแปลงของเกมนี้อย่างอดไม่ได้
ครั้งนี้ Call of Duty: WWII ได้กลับมาโลดแล่นในวงการเกมโดยผลงานการสร้างของ Sledgehammer Games ที่ผลงานในสองภาคก่อนหน้านั้นอย่าง COD: Modern Warfare 3 และ COD: Advanced Warfare เองก็ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก หลายคนปรามาสไว้ว่า Sledgehammer Games ทำนั้นคือการก้าวไม่พ้นรอยเท้าของ Infinity Wards ในยุคเฟื่องฟู ยิ่งเมื่อเทียบกับผลงานของ Treyarch ที่มีกลิ่นอายความดิบเถื่อนอันมีเอกลักษณ์ ก็ยิ่งทำให้หมองลงอย่างช่วยไม่ได้ จนทำให้ชื่อชั้นของ Call of Duty: WWII นั้นดูมืดดำลงมากกว่าที่ควรจะเป็น
วันนี้ผมจะมาบอกเล่าประสบการณ์กับเกม Call of Duty WWII ในโหมด Campaign ที่ต้องบอกว่าเหนือความคาดหวังอยู่สักหน่อย เล่นเอาผมใช้เวลา (ที่มีอันน้อยนิด) เล่นจบใน 6 ชั่วโมง จะดีจะแย่ยังไง มาลองอ่านกันได้ด้านล่างนี้ครับ
กลับสู่จุดเริ่มต้นในสมรภูมิ World War II
Setting ที่นำพาให้ Call of Duty โด่งดังในยุคแรกนั้นก็คือสงครามโลกครั้งที่สองที่หากย้อนไปในตอนนั้นสิ่งที่ทีมพัฒนาพยายามจะทำก็คือการล้มล้างความสำเร็จของ Medal of Honor ด้วยการบอกเล่าเรื่องราวในสมรภูมิเดียวกันผ่านมุมมองของทหารจากทั้ง 3 ฝ่าย ทั้งสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และโซเวียต
ในภาคนี้ ผู้เล่นจะได้กลับมาสัมผัสประสบการณ์ World War II อีกครั้งผ่านมุมมองของพลทหารสังกัดกองพลทหารราบที่ 1 แห่งกองทัพสหรัฐอเมริกา เรื่องราวไม่ได้ถูกนำเสนอผ่านภาพใหญ่ของสงครามโลกครั้งนี้ที่มีการนำเสนอในโลกวิดีโอเกมและภาพยนตร์จนช้ำ
ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Ronald “Red” Daniels หนุ่มเท็กซัสที่พกความหวังการกลับบ้านในฐานะวีรบุรุษของประเทศและคุณพ่อมือใหม่ การเข้าร่วมรบในสงครามครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งบททดสอบในชีวิตที่จะตัวเขาเองก้าวข้ามความกลัว ปลุกความกล้าหาญ และเอาชนะปมปัญหาในอดีตที่ยังคงฝังใจเขามาตลอด
เรื่องราวในเกมนี้จะเป็นการเดินทางของกองพลทหารราบที่ 1 ตามเส้นเรื่องทางประวัติศาสตร์โดยเริ่มตั้งแต่การยกพลขึ้นบกในวัน D-Day ณ หาดโอมาฮาที่แม้เราคุ้นเคย เดินทางสู่การปลดแอกฝรั่งเศสจากกองทัพนาซี บุกข้ามแม่น้ำไรน์และเข้าสู่สมรภูมิครั้งใหญ่ในเยอรมนี
การเล่าเรื่องที่ทำให้ผู้เล่นอินได้มากยิ่งขึ้น
“นี่คือเรื่องราวเกี่ยวกับคนธรรมดาที่ทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่”
– Michael Condrey ผู้ร่วมก่อตั้ง Sledgehammer Games
สำหรับเกมเมอร์ที่เล่น Call of Duty กันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็พอจะจำความยิ่งใหญ่ของตัวละครที่เก่งกาจราวกับกองทัพอเวนเจอร์และเรื่องราวกับช่วยโลกให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของวายร้ายสุดยิ่งใหญ่กันได้ ในภาคนี้การเล่าเรื่องจะถูกบีบให้แคบลง เรื่องราวจะจำกัดลงจากภาพใหญ่ของสงครามโลกที่เราต้องรับรู้การต่อสู้ของแต่ละฝ่าย มาสู่การสนใจเรื่องราว ความสัมพันธ์และประสบการณ์ของตัวเอกภายในสังกัดเท่านั้น
การเล่าเรื่องจะพาเราไปสู่พื้นที่สำคัญของกองพลที่เราสังกัดตามที่ได้เขียนไปในหัวข้อข้างต้น ซึ่งทีมพัฒนาเลือกที่จะมาโฟกัสไปกับตัวละครต่างๆ หรือที่ทางทีมพัฒนาเรียกว่าระดับ Personal Level มากกว่าการรับรู้ความเป็นไปของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ส่วนสำคัญของตัวเกมคือการเล่าความสัมพันธ์ภายในกองพลควบคู่ไปกับเกมการเล่นอันดุเดือดให้ได้มากที่สุด ผู้เล่นจะได้สัมผัสกับมิตรภาพในสงครามครั้งใหญ่มากกว่าการเป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์อย่างที่เกมในอดีตเคยได้เล่าไปกันหมดแล้ว
ดังนั้นหากคุณเป็นคนที่อยากเสพภาพรวมของสงครามอาจผิดหวังไปบ้าง แต่สำหรับผมแล้ว แบบนี้มันสนุกและอินได้ง่ายกว่าเยอะมากจนถึงขั้นเกือบเสียน้ำตาให้กับวิดีโอเกมในช่วงท้ายกันเลยทีเดียว
ความรู้สึกตอนเล่นจริงที่โคตะระมันส์ แม้ว่าจะไม่อินสงครามครั้งนี้เลย
ต้องบอกว่าทาง Sledgehammer Games ทำได้เหนือความคาดหมาย เกมการเล่นทำได้ดีมาก การต่อสู้กับฝ่ายศัตรูภายในเกมนี้สนุก เข้มข้น ไม่น่าเบื่อ แม้ว่ารูปแบบการเล่นจะเป็นเส้นตรงให้เราได้ยิงต่อสู้กันไปตามเส้นเรื่องที่กำหนดไว้ แต่ก็ทำได้ต่อเนื่องและไม่มีจุดผิดพลาดให้ตะขิดตะขวงใจเท่าไหร่นัก
โดยส่วนตัวผมเองเป็นคนที่ส่ายหน้าทุกครั้งที่ต้องเสพคอนเทนท์ที่เป็นเนื้อหาสงครามโลกไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์หรือเกม อาจจะเพราะมันค่อนข้างไกลตัวและเป็นโลกที่เราไม่สามารถ related ใดๆ กับมันได้ ต่างไปจากสงครามยุคปัจจุบันที่ยังคงเห็นตามสื่อข่าวต่างประเทศ
แต่ด้วยกราฟิกอันงดงามที่เรียกได้ว่าสวยงามจนสร้างความสมจริงได้ในระดับหนึ่งแบบไม่กินสเปคเครื่อง ระบบเสียงแน่นปึ้กที่จำลองบรรยากาศการสู้รบท่ามกลางเสียงปืน เสียงของความเจ็บปวด การระเบิดภูเขาเผาบังเกอร์ตามแบบฉบับ Call of Duty การเล่าเรื่องราวผ่านเกมการเล่นไม่ใช่แค่ใน Cutscene ยิ่งเมื่อรวมไปถึงเสียงพากย์และการโต้ตอบระหว่างตัวละครก็ยิ่งทำให้ Call of Duty WWII ในโหมด Campaign นั้นมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น
ความเป็น Call of Duty ยังอยู่ครบ
ความเป็น Call of Duty คืออะไร ?
ไม่แน่ใจว่าต้องอธิบายมั้ย แต่ความเป็น Call of Duty สำหรับผมมันก็คงมีอยู่ไม่กี่อย่างที่ทาง Infinity Ward ได้ใช้จน register มันให้เป็นเอกลักษณ์ของตระกูลเกมนี้และยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน เช่น ฉากระเบิดที่ผู้เล่นต้องโดนระเบิดระยะประชิดและรอดตายอย่างปาฏิหาริย์พร้อมกับอาการมึนงงในดงปืน ฉากการลอบเร้นบุกฐานที่มั่นศัตรูก่อนเปิดฉากบู๊ถล่มด้วยการบ่อนทำลายจากภายในประสานงานกับการเข้าปะทะจากภายนอกที่มีเอกลักษณ์ การตัดภาพไปบังคับอากาศยานหรือยานพาหนะหุ้มเกราะเข้าช่วยเหลือพลทหารเดินเท้าที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต การช่วยเหลือเพื่อนพ้องสะท้อนมิตรภาพท่ามกลางฝุ่นควัน และฉากขับรถไล่ล่า/หนีตายด้วยความเร็วสูง
สิ่งเหล่านี้คือองค์ประกอบที่จำเป็นต้องมีใน Call of Duty ซึ่งมันยังคงอยู่ครบถ้วนเหมือนเดิม เพียงแต่ถูกนำเสนอผ่านงาน Visual ที่ได้รับการอัพเกรดจนสวยสดงดงามและสร้างประสบการณ์อันดีงามให้กับผู้เล่นได้เช่นเดิม
มีอะไรใหม่บ้าง ? แล้วข้อเสียล่ะ ?
หากคุณไม่ใช่แฟนเกม Call of Duty ขาประจำและกำลังถามหาความแปลกใหม่ของตัวเกมในภาคนี้ ต้องบอกว่าสำหรับโหมด Campaign ความเปลี่ยนแปลงในภาคนี้ก็คงจะมีเพียง Minor Change ไม่กี่อันที่ไม่ได้สำคัญหรือเห็นกันได้บ่อยๆ เท่าไหร่นัก ซึ่งถ้าให้ลิสต์ก็คงจะเป็นประมาณนี้ครับ หากมีอีกและไม่ได้พูดถึงก็ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้า ณ ที่นี้ จำได้แค่นี้จริงๆ
- เกมการเล่นที่มีตัวเลือกเพิ่มขึ้นในด่านที่ผู้เล่นจะต้องลอบเร้น ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่ด่าน
- Quick Time Event ที่เพิ่มลูกเล่นเข้าไปเล็กน้อย
- การเรียกขอความช่วยเหลือจากตัวละครอื่นๆ ในฉากที่มีความสามารถแตกต่างกันในแต่ละตัวละคร
ส่วนข้อเสียสำหรับเกมนี้ ต้องบอกว่าหากคุณต้องการความคลาสสิคของเกม Call of Duty ที่มีมาในทุกภาคก็คงเต็มอิ่มกับเกมนี้พอสมควรและไม่ได้เจอข้อเสียอะไรเท่าไหร่นักนอกไปจากชั่วโมงในโหมดแคมเปญที่สั้นมาก ผมเล่นจบแบบตายแล้วตายอีกเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้นสำหรับความยากระดับ 2 ข้อเสียเดียวที่ผมเห็นคือเฟรมเรทที่ร่วงหล่นในบางจังหวะแบบไม่มีเหตุผล ตอนแรกก็คิดว่าอาจเป็นเพราะฉากนี้ต้องเรนเดอร์แสงเงาจำนวนมาก แต่ทว่าพอรีสตาร์ทและกลับมาเล่นฉากเดิมใหม่ มันกลับลื่นมากซะอย่างนั้น
แต่หากคุณไม่ได้เป็นแฟนพันธ์แท้เกมนี้ หรือต้องการซื้อเกมมูลค่าสองพันบาทมาเพื่อเล่นโหมดเนื้อเรื่องเพียงอย่างเดียว ก็คงแนะนำให้ไปซื้อเกมอย่าง Wolfenstein II: The New Colossus ที่ออกในช่วงเวลาใกล้เคียงกันจะดีกว่า เพราะเกมมันสั้นมากและไม่ได้มีความแปลกใหม่อะไรตามที่ได้เขียนไปข้างต้น
สรุปเกมนี้เป็นยังไง ?
Call of Duty: WWII คืออีกหนึ่งภาคของเกม Call of Duty ที่ออกรายปีและไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ ถามว่าความแปลกใหม่นั้นเป็นสิ่งจำเป็นหรือ A Must ขนาดนั้นมั้ย สำหรับผมมันไม่จำเป็นเท่าไหร่นัก ผมเล่น Call of Duty เพื่อเสพความเป็นมัน เปรียบกับการกินกาแฟลาเต้เย็นแก้วเดิมเพื่อเสพรสชาติและความรู้สึกเดิม ๆ เพื่อเติมความสดชื่น แบบไม่ต้องการอะไรที่แปลกใหม่ และก็ไม่ต้องการอะไรที่ห่วยลงด้วยเช่นกันซึ่ง Call of Duty: WWII – Campaign นั้นก็เป็นอะไรที่เหมือนเดิมแต่ดีกว่า ไม่แปลกใหม่ และไม่แย่ลง
ถ้าให้นิยามสั้นๆ ก็ต้องบอกว่า “เหมาะสำหรับแฟนเกม Call of Duty ระดับติ่งรายปีหรือเกมเมอร์ผู้หลงใหลในบรรยากาศสงครามโลกครั้งที่สอง” ก็ว่าได้ครับ