รอคอยกันมาอย่างยาวนาน กว่า 9 ปีเต็ม เกมภาคต่อเกาะนรกซอมบี้ ที่ภาคนี้ไม่ได้เดินเรื่องบนเกาะแล้ว จะคุ้มค่ากับการรอคอยหรือไม่ เชิญพบกับรีวิว Dead Island 2
Story
เรื่องราวของ Dead Island 2 เริ่มต้นขึ้นเมื่อเกิดสองเหตุการณ์ระดับวินาศสันตะโรเกิดขึ้นพร้อมกัน นั่นคือเชื้อซอมบี้แพร่ระบาด ยังไม่พอ ยังเกิดเหตุภัยพิบัติแผ่นดินไหวเกิดขึ้นท่ามกลางมหานครแห่งสรวงสวรรค์ของอเมริกา ที่คราวนี้ได้กลายเป็นนรกบนดินของแท้ ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น 1 ใน 6 ตัวละคร ที่พยายามขึ้นเครื่องบินโดยสารหลบหนีออกจากเมืองนี้ แต่ไม่รู้ตรวจสอบกันอีท่าไหน เครื่องบินลำนั้นกลับมีผู้ติดเชื้อขึ้นมาด้วย และจากหนึ่งตัวก็แพร่กระจายใส่ทั้งลำจนเกิดความวุ่นวายขึ้น แน่นอนว่าเครื่องบินดิ่งพสุธาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่มีหรือที่ตัวเอกอย่างเราจะตาย
นอกจากตัวละครของเราที่ไม่ตายแล้ว ยังมีผู้รอดชีวิตอีกกลุ่มหนึ่ง หนึ่งในนั้นคือ Emma Jaunt นักแสดงสาวชื่อดังแห่งวงการฮอลลีวูด เธอตัดสินใจพากลุ่มผู้รอดชีวิตที่เหลือกลับไปยังบ้านพักของเธอที่มีเสบียงกักตุนไว้เพียบ ทำให้อยู่ได้อีก 6 เดือนเต็ม แต่ตัวเราไม่ได้อยากจะติดแหง็กอยู่ที่นี่นานขนาดนั้น ปฏิบัติการขอความช่วยเหลือไปยังโลกภายนอกและหลบหนีออกจาก LA จึงได้เริ่มต้นขึ้น สาเหตุที่ต้องเป็นเรา เพราะเราพลาดท่าโดนซอมบี้กัดก็จริง แต่กลับไม่กลายพันธุ์ แถมยังได้พลังพิเศษเหนือมนุษย์มาอีกต่างหาก
ต้องเสริมกันสักหน่อยว่าเนื้อเรื่องในภาคนี้นั้น มีตัวละครจากภาคแรกโผล่มาแจมด้วย นั่นคือ Sam B พี่เบิ้มสายถึกจากเกมภาคแรก ซึ่งเขามีความสัมพันธ์กับ Emma Jaunt และทางผู้พัฒนาเองก็เผยว่าเนื้อหาของเกมภาคนี้จะเกิดขึ้นหลังจากภาคแรกนานถึง 17 ปีด้วยกัน แต่ตอนแรก ผมคิดว่า Emma Jaunt จะเป็นศูนย์กลางของเนื้อหาทั้งหมด แต่ปรากฎว่าพอไปในช่วงกลางเกม ท้ายเกม บทบาทเธอก็เหมือนโดนตัดออกไปเลย เกมจะพาเราไปเจอตัวละครใหม่ เนื้อหาใหม่ กลุ่มใหม่อีกเพียบ Emma จะกลับมามีบทบาทอีกทีคือช่วงท้ายเกมเลย
ไม่รู้เป็นเพราะสาเหตุจากการเลื่อนวางจำหน่ายมาอย่างยาวนานหรือเปล่า ตัวเนื้อเรื่องของเกมนี้ผมรู้สึกว่ามันธรรมดามาก ใครดูหนังซอมบี้มาเยอะ ๆ อาจจะคุ้นชินกับพล็อตและการกระทำต่าง ๆ ของตัวละครเหล่านี้ แค่เนื้อหาของเกมนี้มันคือการเปลี่ยนเราให้เป็นซูเปอร์ฮิวแมนในการออกไปไล่ฟาดฟันกับเหล่าซอมบี้จนเลือดสาดอย่างเมามัน แต่เกมมันก็มีจุดพล็อตทวิสท์ของเนื้อเรื่องอยู่บ้างในช่วงกลางเกมที่มีการเฉลยปม แต่ก็อย่างที่บอก ใครดูหนัง เสพสื่อเกี่ยวกับซอมบี้และมนุษย์มาเยอะ อาจจะเดาออกได้ราง ๆ ตั้งแต่ต้นเกมแล้ว
โดยรวมผมว่าเนื้อเรื่องของมันอยู่ในระดับกลาง ๆ คือไม่ได้ดีมาก แต่ก็ไม่แย่จนรู้สึกว่ามันห่วยหรืออะไร มันน่าจะเป็นผลจากการที่เกมมันเลื่อนมายาวนานขนาดนี้ ทำให้เนื้อเรื่องขุนกันได้สุด ๆ แค่นี้ก็เจ๋งแล้ว อีกนิดนึงที่ผมชอบ มันอาจจะคาบเกี่ยวกับส่วนของ Presentation ด้วย ผมมีโอกาสได้ลองเล่นไป 2 ตัวละคร พบว่าบทสนทนาของตัวเรากับเหตุการณ์ต่าง ๆ มันจะต่างกัน บางตัวเกรี้ยวกราด เล่นมุกกวนประสาทชาวบ้าน เป็นพวก Asshole เลยก็ว่าได้ อีกตัวอาจจะเป็นสาวน้อยที่มีมารยาทหน่อย เล่นมุกพอประมาณ แต่ก็ไม่กวนบาทาตัวละครอื่น ๆ ในเกมตลอดเวลา อันนี้ผมชอบมาก ทำให้อยากรู้ว่าทั้ง 6 ตัวละคร เจอเหตุการณ์เดียวกัน มันจะพูด หรือสบถอะไรออกมา มันอาจไม่ส่งผลกับเนื้อเรื่องมาก แต่มุมมองที่มีต่อเหตุการณ์นั้นจะเปลี่ยนไปตามตัวละครที่เราเลือกเล่น ถือว่าเจ๋งดี
และตอนจบของเกม บอกเลยว่ามันทำให้เราคาดหวังจะได้เห็น Dead Island 3 หรือไม่ก็เป็น DLC ที่จะมาปิดเนื้อเรื่องของมันให้สมบูรณ์ ถ้าเป็น DLC ก็พอมีลุ้น แต่ถ้าจะเข็นภาค 3 กันออกมาจริง ๆ ก็หวังว่าภาคนี้จะมียอดขายที่ดีและน่าประทับใจพอ และอีกข้อ ก็คือหวังว่าเราจะไม่ต้องรอคอยกันนานเกือบสิบปีแบบภาคนี้ เท่านั้นแหละครับ
Presentation
รอคอยกันมาตั้ง 9 ปีกว่า ทีมงาน GamingDose ทุกคนก็สงสัยว่า แก้ใหม่ทำใหม่กันมานานขนาดนี้ เกมมันจะตกยุคไหม ทั้งงานภาพ กราฟิก และอื่น ๆ ต้องบอกว่ามันมีทั้งส่วนที่ดูตกยุค และทันสมัยอยู่ร่วมกัน เหมือนกับเขาพยายามกันเต็มที่แล้ว ส่วนที่ดูทันสมัยจริง ๆ สำหรับผมคือเรื่องกราฟิก เรื่องภาพสวยของแต่ละคนอาจจะมีมาตรฐานต่างกัน แต่สำหรับผม ผมรู้สึกว่า Dead Island 2 เป็นเกมที่ภาพสวยมาก สวยสมกับที่เป็นเกมยุคนี้เลย ทั้งบรรยากาศ ฉาก ตัวละคร โดยเฉพาะ NPC ผมรู้สึกว่าเกมนี้เขาเก็บรายละเอียด NPC ได้ดีมาก ทั้งการออกแบบ สีหน้าท่าทาง และพวก Texture ต่าง ๆ คือตามปกติแล้ว เกมอื่นเนี่ย เวลาเราคุยกับพวก NPC ด้วยมุมมอง First Person เราจะรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลก ๆ อยู่บนตัว NPC เสมอ รอยหยักบ้าง เส้นผมบ้าง รายละเอียด สีหน้าท่าทางบ้าง แต่กับ Dead Island 2 ผมรู้สึกว่าพวก NPC มันดูมีชีวิตชีวา มีตัวตนจริง ๆ เวลาเราไปคุยด้วย
ขนาดของโลกภายในเกมนี้ มันคือการเอาเมือง Los Angeles มาแบ่งโซนย่อย เกมนี้จะไม่ได้เป็นเหมือนเกมสมัยใหม่แบบปัจจุบันที่จะเล่นกันแบบไม่มีฉากโหลดนะครับ ใครนึกภาพไม่ออกให้นึกถึง Borderlands ที่แต่ละพื้นที่จะมีขนาดใหญ่ มีรายละเอียดยิบย่อย แต่ถ้าเราจะกลับไปฉากอื่น หรือฉากเดิม มันจะมีการโหลดอีกครั้ง ผมว่าใครที่เล่นเกมยุคใหม่มาเยอะ ๆ อาจจะขัดใจที่ต้องมีฉากโหลด แต่ส่วนตัวผมไม่มีปัญหานะ นอกจากมันจะโหลดไม่นานมากแล้ว ยังถือโอกาสพักสายตาจากเกมเพลย์ที่โคตรเดือด เดือดยังไง ไว้ว่ากันในช่วงเกมเพลย์
อีกอย่างที่ชอบคือ อาวุธภายในเกมนี้ทุกชนิด จะมีท่า Finisher ของมัน การจะทำท่านี้ได้ กับตัวละครอื่นเหมือนกันไหม ผมบอกไม่ได้ แต่ท่า Finisher นั้นจะแตกต่างไปตามอาวุธที่เราถือ ถือประเภทไหนอยู่ กด Finisher ก็จะได้ท่าของอาวุธประเภทนั้น บอกเลยว่าแต่ละท่า โคตรดุเดือด สะใจมาก และไม่รู้ภาคนี้ทีมงานเขาเก็บกดหรืออะไรกันแน่ ฉากแหวะ ๆ นี่เยอะมาก และพูดถึงความเลือดสาด เกมนี้มีฟิสิกส์และอนิเมชั่นซอมบี้ที่โหดและละเอียดมาก ถ้าเราโจมตีส่วนไหนของซอมบี้ เราจะเห็นถึงความเสียหายของมันแบบชัดเจน ตีแขน ขนขาด ห้อยรุ่งริ่ง ตีขา ขาขาดจนเดินไมไ่ด้ ถ้าเราซ้ำศพ เราจะเห็นอวัยวะภายในชัดเจน หนังหลุด กระดูกหลุดออกมา หรือถ้าโดนพิษกรดกัดกร่อน เนื้อหนังก็จะหายไปเลย ละเอียดและโหดมาก จนเราคิดว่าที่เขาทำกันมา 9 ปีนี่ น่าจะเสียเวลากับอนิเมชั่นซอมบี้ไปเยอะเลยทีเดียว แนะนำเลยว่าอย่าเล่นเกมนี้ตอนกินอยู่จะดีกว่า
ดีไซน์ของเกมก็จะเหมือนกับเกม Open World เกมอื่น ๆ ผู้เล่นจะมี Main Mission ให้ไปทำ แน่นอนว่า Side Mission หรือการเก็บของอย่างอื่นก็มีมาด้วย และเราจะเสียเวลาอยู่กับส่วนนี้ซะเยอะ เพราะเกมนี้ให้รางวัลที่คุ้มค่ากับผู้เล่นที่ช่างสำรวจ และสะสมไอเทม เราสามารถเจออาวุธดี ๆ หรืออัปเกรดอาวุธได้โหด ๆ ตั้งแต่แรก ถ้าขยันฟาร์ม แต่มันก็จะมีเพดานของมันอยู่เหมือนกัน เอาง่าย ๆ คือถ้าอยากเก่งเต็มที่ จนไม่รู้สึกเสียเปรียบศัตรู การฟาร์ม และออกสำรวจเป็นทางเลือกที่ดี แต่ใครขี้เกียจ จะตรงดิ่งไปเลยก็ได้ ไม่เสียหาย
แต่ผมแนะนำเลย ไปเสพบรรยากาศในเกมกันซะหน่อย คือสารภาพตรง ๆ เลย ก่อนเล่นผมไม่คิดว่าเขาจะนำเสนอโลกในเกมได้ดีขนาดนี้ Los Angeles ของเกมนี้มันไม่ใช่แค่ความหรูหรา ความไฮโซ มันยังมีซีนท่อระบายน้ำที่โคตรน่ากลัว มีโซนที่อยู่อาศัยที่ดึงดูดให้ผู้เล่นไปสำรวจและเจออะไรอีกมากมาย ฉากภายในบ้าน ในตึกร้านค้า หรืออาคารที่อยู่อาศัย เราก็ไม่ได้ทำลวก ๆ มันมีสิ่งของ มีความเป็นอยู่ของผู้คน หรือถ้าบ้านไหนโดนซอมบี้บุก เขาก็ใส่รายละเอียดลงไป
คือผมสัมผัสได้ถึงความประณีตในทุกพื้นที่ที่ผมลองไปสำรวจดูเลย ที่สำคัญคือ ใครจำตัวอย่างแรกของเกมนี้ที่เปิดตัวในปี 2014 ได้ ที่มันมีซอมบี้มาไล่กินคนตามชายหาดนั่นแหละ จะบอกว่ามันมีโลเกชั่นนึงที่มีความใกล้เคียงกับฉากนั้นอยู่ เห็นแล้วก็รู้สึกแบบ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคารวะตัวอย่างนั้น หรืออะไร แต่ในฐานะคนรอเล่นและติดตามข่าวมาตลอด มันน่าประทับใจมาก
และที่สำคัญที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจอจากการเล่นเกมนี้ คือพาร์ทที่มันมีความเป็น Horror หรือความสยองขวัญ อันนี้อาจจะต้องชมการสร้างบรรยากาศระหว่างภารกิจ คือเกมมันมีระบบกลางวันกลางคืนด้วย บางทีก็กลางวัน บางทีก็กลางคืน ซึ่งช่วงกลางคืนเนี่ย บรรยากาศมันน้อง ๆ Dying Light เลย เกมนั้นมันตึงกว่าเพราะมีศัตรูพิเศษ แต่เวลากลางคืนของ Dead Island 2 มันจะทำให้วิสัยทัศน์เราน้อยลงมาก ซอมบี้มาจากทางไหนบ้างก็ไม่รู้ กลางคืนผมเลยชอบวิ่งหนีมากกว่าจะลุยเอง และบางภารกิจเขาก็ดีไซน์มาได้แบบ โคตรน่ากลัว ทั้งเสียง ทั้งสถานที่ที่ไป และศัตรูที่โผล่มา คือถึงแม้มันจะเป็นเกมแอ็คชั่นที่เรากระทืบซอมบี้ยับ ๆ แต่พาร์ทที่มันน่ากลัว ผมว่าคนจิตอ่อนบางคนอาจไม่ไหวกับตรงนี้เหมือนกัน
แต่ก็ใช่ว่ามันจะดีไปซะหมด ส่วนหนึ่งที่ผมไม่ชอบเลยในเกมนี้คือดีไซน์ภารกิจ มันไม่ใช่ว่าภารกิจมันซ้ำซากอะไร แต่เงื่อนไขในการไปต่อของมันนี่แหละซ้ำซาก หลัก ๆ แล้วดีไซน์ภารกิจของ Dead Island 2 คือการไปช่วยคน ตามรอยคน แต่เพราะเนื้อหามันเป็นแบบนี้ เวลาเราจะไปต่อทางมันก็จะถูกล็อค ไม่ก็ไม่มีไฟฟ้า ต้องหาทางอ้อม หาคีย์การ์ด หากุญแจ ไม่ก็หาเบรคเกอร์มาใส่ คือไม่รู้ว่ามันจะล็อคอะไรกันนักกันหนา บางภารกิจมี 3 ส่วน ล็อคมันทั้ง 3 ส่วน ใจนึงคือแบบ ถ้ามีเทรนเนอร์โกงเกมแล้วปลดล็อคทุกอย่างได้ โดยไม่สนอะไรนี่ ผมจัดแน่ รำคาญมาก
เพราะมันทำให้ Pacing ของเกมสะดุด บู๊กำลังมัน เนื้อเรื่องกำลังเข้ม ต้องไปวิ่งหาคีย์ไอเทมมาปลดล็อค และมันส่งผลกระทบต่อด้วยก็คือเขาไม่ค่อยไกด์ผู้เล่น เอาจริง ๆ อันนี้ยอมรับเลยว่าผมโง่เอง บางคีย์ไอเทมมันก็อยู่ใกล้ ๆ แถวนั้นนั่นแหละ สำรวจดี ๆ หน่อยก็เจอ แต่พอใจมันอยากบู๊ มันรำคาญ มันรีบ ไอ้ความรีบนี่แหละที่ทำให้ผมหาอะไรไม่ค่อยเจอ ทั้งที่บางทีมันอยู่ใกล้มาก ๆ แต่ก็อย่างว่า เขาดีไซน์ทางไปต่อที่มันดูซ้ำซากกันเยอะไปหน่อย เอะอะล็อค ๆ
กับอีกอย่างที่น่าจะเป็นปัญหาของเกมที่มันทำมานานไปหน่อย ผมรู้สึกว่า UX/UI ของเกมนี้ มันดูเชยไปหน่อย แต่ในความเชยของมันเต็มไปด้วยกลิ่นอายจาก Dead Island ภาคแรก เหมือนกับจะให้คนเล่นรู้ว่า นี่คือภาคสองต่อ ภาคต่อจากเกมที่เรารอกันมาเกินสิบปี แต่ผมว่าถ้าเขาจะทำจริง ๆ มันน่าจะทำให้ดูสวย ดูดีกว่านี้ได้แหละ
ในเรื่องความยาวและคอนเทนต์ของเกม เกมนี้รองรับแค่การเล่นในรูปแบบ Co-op เท่านั้น น่าเสียดายที่ในช่วงที่เราได้รับเกมนี้มารีวิว เราไม่มีคนเล่นด้วยเลย เพราะดูแล้วมันดีไซน์เกมมารองรับระบบ Co-op พอสมควร ด้วยจำนวนซอมบี้ ขนาดแผนที่ และของดรอปที่ค่อนข้างเยอะมาก ถ้าเล่นด้วยกันนี่น่าจะสนุกมาก และนอกจากโหมด Co-op แล้ว สิ่งที่มีให้เราทำในเกมก็เยอะมาก นอกจากภารกิจหลัก ยังมีภารกิจรอง ภารกิจพิเศษตามหาคนหาย และอื่น ๆ อีกมากมาย และตอนแรก ผมมองข้ามภารกิจเหล่านี้ไปเลย เพราะขี้เกียจทำ
แล้วผมมาเริ่มทำช่วงท้าย ถึงพบว่ามันมีของรางวัลที่ควรค่ากับการทำมาก เพราะมันคือ Blueprints ที่ใช้ในการคราฟท์อาวุธใหม่ ๆ หรือสถานะใหม่ ๆ ที่อาจจะทำให้เราเก่งขึ้น ถ้าผมทำตั้งแต่ช่วงต้นหรือกลางเกม ผมน่าจะสู้กับพวกซอมบี้ง่ายกว่านี้ ผมเล่นเกมจบเนื้อเรื่องรอบแรก ถึงรู้ว่ายังมีสกิลการ์ดอีกมาก และ Blueprints อีกหลายอันที่ยังไม่ได้ปลดล็อค ซึ่งมันจะได้จากการทำภารกิจรอง และการออกสำรวจพื้นที่ในเกม เอาจริง ๆ เราก็จบเกมได้แหละ แต่ถ้าไปทำพวกนี้เสริมด้วย มันน่าจะง่ายขึ้นพอสมควร เพราะเราจะมีทางเลือกในการต่อสู้มากกว่านี้ด้วย ดังนั้น ทำไว้ก็ดี เพื่อการต่อสู้ที่สะดวกสบายขึ้น
ต่อมาคือเมื่อเป็นเกมซอมบี้ มันจะขาดการ Jump Scare ไปไม่ได้ เกมนี้เขาก็ใส่ Jump Scare มาเยอะมาก แต่เขาชอบใส่มาในจุดซ้ำ ๆ กัน นั่นคือหลังประตู เจอบานแรก ๆ ยอมรับเลยว่า มีสะดุ้งอยู่เหมือนกัน แต่พอเจอบ่อย ๆ เราจะเริ่มจับทางได้ มีประตูใช่ไหม จะออกมาล่ะสิ เราก็จะถอยออกมาทัน แต่ถ้ารีบเล่น ใจร้อน อยากเคลียร์เนื้อหาไว ๆ รับรอง สะดุ้งกันหลายรอบในเกม แต่อย่างที่บอก เขาชอบใส่มันไว้หลังประตู ใครเล่นนาน ๆ หรือสำรวจเยอะจนอยู่กับเกมนาน จากน่ากลัวมันจะกลายเป็นรำคาญแทน
และสุดท้าย อาจจะไม่ใช่ข้อเสีย แต่ชื่อเกมกับสิ่งที่เกมนี้นำเสนอ มันดูจะไม่แมทช์กันเท่าไร เราแซวกันตั้งแต่ตอนเกมเปิดตัวจริง ๆ แล้ว ว่าชื่อเกม Dead Island แต่ไหงมันมาอยู่ใน Los Angeles เกมเต็มก็อย่างนั้นแหละครับ ไม่มีเกาะเลย นี่คือเมืองล้วน ๆ แต่ไม่หักคะแนนนะ มันไม่มีผลอะไร แค่ขอแซวนิดนึงละกัน
Gameplay
เราเคยคุยกันเล่น ๆ ว่า เกมซอมบี้ยุคหลัง ๆ มาเนี่ย มันมีแต่แนวที่เราต้องเอาตัวรอดจากซอมบี้ คือนอกจาก Dead Rising ผมก็นึกไม่ออกแล้วว่ามันมีเกมไหนที่เราจะได้สนุกสนานไปกับการรังแกเหล่าซอมบี้ได้อีก ใครนึกออกช่วยบอกผมที แต่อย่างน้อยวันนี้เรามี Dead Island 2 ให้ได้เล่นกันแล้ว ถึงมันจะไม่ได้ Easy เท่า Dead Rising ก็เถอะ
ก่อนอื่น ตั้งแต่ช่วงเลือกตัวละคร เราจะมองเห็นภาพรวมของตัวละครตัวนั้น ว่าทำอะไรได้บ้าง น่าเสียดายที่ผมไม่มีโอกาสลองเล่นจนครบทุกตัว ตัวที่ผมเลือกเล่นคือ Amy ที่เน้นความคล่องแคล่วว่องไวเป็นหลัก ในภาคนี้ระบบสกิลของเราจะเปลี่ยนเป็นระบบการ์ด ที่ต้องยอมรับเลยว่าเขาทำได้สร้างสรรค์ หลากหลาย แล้วก็สนุกมาก ในเกมนี้ระบบ Skill Card ของเราจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภท รวมแล้วเราจะติดตั้งการ์ดได้ 15 ใบ และจะมี 2 ใบที่เป็นการ์ดแบบล็อค ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ที่เหลือเราจะปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา สกิลการ์ดทั้ง 4 ประเภท
แบ่งออกเป็น Abilities / Survivor / Slayer และ Numen โดยเราจะสามารถตามหาการ์ดใหม่ ๆ ได้ จากการเลเวลอัพ การทำภารกิจเนื้อเรื่อง โดยเฉพาะการ์ด Numen นี่ กว่าจะได้มาใส่ ก็ช่วงท้ายเกมกันโน่นเลย การติดตั้งการ์ดต่าง ๆ จะทำให้ประสิทธิภาพ และความสามารถในการโจมตีของเราบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป แต่ส่วนมากจะเป็นการบูสท์ดาเมจ หรือบูสท์สถานะชั่วคราวจากการต่อสู้ อย่างเช่น ถ้าหลบหลีกสำเร็จ จะทำให้ศัตรูเสียหลักแล้วฟันซ้ำ จะได้เลือดเพิ่ม การตั้งการ์ดจะได้รับดาเมจน้อยลง หรือที่ผมชอบมาก ๆ คือการเปลี่ยนท่ากระโดดเตะของเรา จะขาเดียวหรือขาคู่ก็เลือกได้ และจะมีการ์ดเสริมท่ากระโดดเตะเหล่านี้ด้วย เราสามารถสลับสับเปลี่ยนการ์ดที่เราใส่ได้ตลอดเวลาผ่านทางหน้าเมนู ทำให้รูปแบบการเล่นของเราเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อย ๆ
และหากว่ามันยังไม่สะใจพอ เมื่อผู้เล่นทำภารกิจเนื้อเรื่องไปถึงจุดจุดนึงแล้ว จะมีการปลดล็อค Fury Skill อันนี้ผมไม่รู้เหมือนกันว่า Fury Skill แต่ละคนมันเหมือนกันไหม แต่อย่างของ Amy มันจะเป็นการใช้ฝ่ามือตบแหลก ตบยับ ตบจนเลือดท่วมจอ และในโหมด Fury เราสามารถกดใช้สกิลพิเศษที่ติดตั้งได้จากระบบการ์ดด้วย
แต่ก็ไม่ใช่ว่าตัวละครเราจะเกินหน้าเกินตา ตบซอมบี้ทุกตัวได้หมด ระบบเลเวลของเกมนี้จะเป็นการ Generate เลเวลของศัตรูตามเลเวลของเรา นั่นหมายความว่าเราเก่งขึ้น ศัตรูก็เก่งขึ้นด้วย แม้จะกลับมายังที่เดิมที่เคยเคลียร์ไปแล้ว ตรงนี้มันอาจเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือเกมมันจะยังคงท้าทายตลอดเวลา ไปไหนมาไหนก็ต้องระวัง แม้จะเป็นโซนแรกสุดตอนเริ่มเกม ข้อเสียก็คือมันน่ารำคาญแน่นอน ของเราก็ดีขึ้น เลเวลก็สูงขึ้น แต่ยังต้องมานั่งระวังภัยคุกคามเดิม ๆ แถมมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปเลยนอกจากความอึดที่มากขึ้นเท่านั้น
ในด้านของอาวุธ เกมนี้จะมีอาวุธทั้งหมด 4 ประเภทด้วยกัน Headhunter ประเภทนี้จะโจมตีที่หัวได้แรงมากกว่าที่อื่น ๆ Frenzy ประเภทนี้ยิ่งโจมตีต่อเนื่อง โอกาสติดคริติคอลก็จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ Maiming อาวุธชนิดนี้จะตัดแขนตัดขาศัตรูได้ไวมาก และ Bulldozer อาวุธประเภททำลายล้างวงกว้างที่มีประโยชน์ในการต่อสู้กับฝูงซอมบี้ขนาดใหญ่ คือเราไม่สามารถบอกได้ว่าอาวุธประเภทไหนดีที่สุด เพราะผู้เล่นจำเป็นจะต้องมีอาวุธทุกประเภทติดตัวไว้ ในระบบ Weapon Wheel เราสามารถติดตั้งอาวุธลงไปได้ 8 ชิ้น และสลับเอาอาวุธในตัวมาใช้ได้ตลอดเวลา สะดวกสบายมาก และอาวุธแต่ละชนิดจะสามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมได้อีก 3 ส่วนด้วยกันคือ Mod Perk และ Fix Perk ช่อง Mod และ Fix Perk อาวุธบางชิ้นอาจถูกล็อคเอาไว้ ไม่ให้เปลี่ยนได้ ส่วนมากจะเป็นอาวุธจากภารกิจหลักและภารกิจรอง เราจึงเปลี่ยนได้แค่ Mod และ Perk เท่านั้น
อาวุธแต่ละชนิดจะมีเกรดสีของมันคล้าย ๆ กับเกม RPG เลย เกรดที่ดีขึ้น นอกจากดาเมจจะดีกว่าแล้ว ยังติดตั้ง Mod และ Perk ได้มากกว่าด้วย ดังนั้น เลือกใช้อาวุธเกรดสีสูง ๆ ไปเลยก็ได้ และภาคนี้ถ้าหากว่าเราติดใจอาวุธชิ้นไหน อยากใช้ไปยาว ๆ มันก็มีระบบ Match Level ให้เราอัปเกรดอาวุธนั้นให้มีเลเวลสูงเท่ากับตัวละครเรา ทำให้ได้ดาเมจที่แรงขึ้นเช่นกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วไปใช้อาวุธเกรดสีที่เราหาได้ในตอนนั้นจะดีกว่า การปรับแต่งอาวุธที่หลากหลาย และพกติดตัวได้เยอะ เป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะจะทำให้เรามีทางเลือกในการจัดการศัตรูที่สนุกสนานและบันเทิงมาก
และภาคนี้จุดเด่นของการต่อสู้เลยคือการนำระบบธาตุเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทั้งสภาพแวดล้อมและอาวุธของเราจะมีธาตุที่ติดตั้งได้ อย่างสภาพแวดล้อม ถ้าตรงนั้นมีน้ำอยู่แล้วเราเอาอาวุธธาตุสายฟ้าไปโจมตี มันก็จะเกิดกระแสไฟฟ้าช็อตทั่วพื้นที่ หรือถ้าตรงนั้นมีน้ำมันไหลอยู่ เราเอาอาวุธธาตุไฟไปตีก็จะเกิดไฟไหม้ ถ้าเอาธาตุไฟฟ้าไปตี ก็จะเกิดทั้งไฟไหม้และการระเบิด ธาตุพิษจะมีฤทธิ์กัดกร่อนจนทำให้พวกซอมบี้ผิวลอกออกมาหมดจนเห็นหนังแท้ น่ากลัวใช่ย่อย เราสามารถบริหารจัดการการต่อสู้ด้วยการใช้ธาตุ และสภาพแวดล้อมให้เกิดประโยชน์ได้ แต่ก็ต้องระวังด้วย ธาตุประเภทเดียวกันจะไม่เกิดผล เช่นศัตรูตัวติดไฟอยู่ เราจะใช้อาวุธธาตุไฟตีไม่เข้า เป็นต้น ทำให้เราต้องพกอาวุธที่หลากหลายไว้กับตัวเอง และทางที่ดีคือ สร้างอาวุธที่มีไม่ติดธาตุใด ๆ ไว้เลย เพื่อจะได้โจมตีได้ทุกสถานการณ์
เลเวลของเราเองก็มีผลกับการต่อสู้แต่จะน้อยมาก ๆ เพราะศัตรูมันก็ Generate ตามเลเวลของเราอยู่แล้ว แต่การที่เรามีเลเวลสูง จะทำให้เราเข้าถึงอาวุธเกรดดี ๆ ได้มากขึ้น มีพลังชีวิตที่สูงขึ้นด้วย การเก็บเลเวลในเกมนี้ วิธีที่รวดเร็วที่สุดคือการทำภารกิจทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นภารกิจหลัก ภารกิจรอง แต่หากเราดิ่งภารกิจหลักอย่างเดียว เกมจะจบโดยที่เลเวลเราจะอยู่ที่ประมาณ 23-24 แต่ถ้าแวะทำภารกิจจนครบ เกมนี้จะมีเลเวลตันที่ 30 การจะเก็บเลเวลให้ตัน ยังไงก็ต้องเคลียร์ทุกอย่าง เพราะค่า EXP ที่ได้จากการฆ่าซอมบี้ มันน้อยมาก ๆ น้อยจนไม่คุ้มค่า แต่ศัตรูจะดรอปแทบจะทุกอย่างให้เราแทน ทั้งแท่งโปรตีน และเครื่องดื่มฟื้นพลัง ไปจนถึงอุปกรณ์คราฟท์ต่าง ๆ
ความหลากหลายของศัตรูเองก็ถือว่าน่าสนใจ นอกจากเรื่องธาตุแล้ว ศัตรูบางตัวยังใส่หรือพกของแปลก ๆ มาด้วย เช่นซอมบี้ประเภทตำรวจหรือหน่วยดับเพลิงที่มีเกราะหุ้มทั้งตัว อาวุธประเภทไร้คม อย่างไม้เบสบอล หรือค้อน อาจตีไม่เข้า ต้องใช้พวกของมีคมแทน หรือศัตรูบางตัวพกถังน้ำอันเบ้อเร่อมาด้วย ให้เราใช้อาวุธไฟฟ้ายิงเล่นก็มี แต่น่าเสียดายที่ศัตรูพี่เบิ้มที่ทำให้เราตึงมือตัวต่าง ๆ มันออกแบบมาได้แย่มาก มีอยู่ไม่กี่ท่า วิ่งอ้อม วิ่งวนหน่อยก็ชนะแล้ว ส่วนตัวอื่น ๆ พวกตัวระเบิด หรือตัวใหญ่ ๆ ก็จัดการได้ค่อนข้างง่าย บอกได้ว่าศัตรูไม่ค่อยจะหลากหลายเท่าความสามารถที่เรามีก็ว่าได้
และอีกข้อเสียเลยก็คือนี่คือเกม RPG แบบจ๋า ๆ เลย ใครที่ไม่ชอบการที่เรายิงปืนอย่างแรง แต่มันไม่ตาย หรือเลือดลดไปนิดเดียว หรือของมีคมฟาดขนาดนั้น กลบัไม่ได้ดาเมจเท่าที่ควรก็อาจจะไม่ชอบเกมนี้ ผมว่ามันมีความเป็น RPG มากกว่าเกมภาคแรกมาก ๆ ใครชอบก็ชอบเลย ไม่ชอบก็เกลียดไปเลยสำหรับระบบทั้งหมดที่ว่ามา แต่อย่างน้อย หลายสิ่งหลายอย่างจาก Dead Island 1 ก็ถูกนำมาต่อยอดได้ดี บางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์จากภาคแรก ก็ยังคงอยู่ด้วย เรียกได้ว่าเป็นการรอคอยอันยาวนานที่คุ้มค่าสำหรับเกมนี้
Performance
ตัวเกมที่เราได้เล่นนี้ เป็นตัวเกมบนเวอร์ชั่น PS5 ก็จริง แต่จากการที่เรานั่งดู Option ของมันแล้ว ปรากฎว่าในส่วนของงานภาพ เราไม่สามารถตั้งค่าอะไรกับมันได้เลย เหมือนตัวเกมล็อกมาให้ โดยไม่สามารถปรับอะไรได้เลย ไม่มีโหมด Quality หรือ Performance ให้เราเลือกปรับ จากที่เราเล่นมา มันคือความละเอียดระดับ 4K 60FPS เท่านั้น แต่ถึงแม้จะปรับอะไรในส่วนของวิดีโอแสดงผลไม่ได้เลย แต่เกมยังสามารถปรับ Field of View หรือความสว่างหน้าจอได้ และจะไปเน้นหนักที่การปรับตั้งค่าส่วนของ HUD และ UI ได้แทน เราอยากให้เกมโชว์อะไรให้เราเห็นบ้างใน สามารถตั้งค่าได้ทั้งหมดอย่างละเอียด
ทีนี้ในด้านประสิทธิภาพของตัวเกม อย่างที่บอกไปว่ามันคือ 4K 60FPS ที่ขัดเกลามาดีมาก ผมเล่นเกมนี้ไป 30 ชั่วโมงถ้วน ไม่มีอาการเฟรมเรทตกเลยแม้แต่น้อย แต่มีบั๊กอยู่หลายจุด และเป็นบั๊กที่ไม่เกี่ยวข้องกับเกมเพลย์เลย ส่วนมากจะเป็นบั๊กในด้านการแสดงผลซะเป็นส่วนมาก อย่างฉากนี้ บั๊กตัวละครจมดินลงไปเลย แล้วจมอยู่นานมาก ตลอดเวลาของคัทซีน อารมณ์ร่วมในซีนนี้ก็คือพังไปเลย จากจริงจังกลายเป็นตลกซะงั้น
และอย่างที่บอกไปใน Presentation เกมนี้หลายคนอาจจะขัดใจที่การ Fast Travel ไปไหนมาไหนก็จะมีฉากโหลดบ้างเป็นครั้งคราว แถมบางฉากก็ใช้เวลาในการโหลดที่จัดว่านาน ถ้าเทียบกับเกมยุคนี้บ้าง แต่ก็ไม่ได้เสียหายเกินไปนัก
และอีกอย่างคือ พวกสิ่งของที่ทำลายได้หรือพังได้ เวลาเราพังมัน ระบบมันจะมองว่าเป็นวัตถุชิ้นหนึ่งเสมอ ทำให้มันส่งเสียงตะกุกตะกัก เด้งไปเด้งมาตลอด ทำเอาเราหลอนไปเลย คิดว่ามีซอมบี้อยู่ใกล้ ๆ พอหันไปมอง อ้าว วัตถุที่เราพังไป มันเหมือนยังมีชีวิตอยู่ มันเอ๋อเพราะการจัดการฟิสิกส์นั่นแหละ แต่โดยรวมแล้ว สำหรับประสบการณ์ Dead Island 2 บน PS5 บอกเลยว่า ยอดเยี่ยมมาก และหวังว่าบน PC จะได้ประสบการณ์ที่ดีในะรดับที่ใกล้เคียงกัน
9 ปีที่รอคอยไม่สูญเปล่า Dead Island 2 เป็นการตีรันฟันแทงซอมบี้ที่บันเทิงมาก มีทั้งพาร์ทเลือดสาดสะใจ สยองขวัญก็มา ทีมสร้างได้เปลี่ยนบรรยากาศเมือง LA ให้เป็นลานละเลงเลือดเหล่าซอมบี้ได้สนุกมาก ถือเป็ฯอีกหนึ่งเกมดี ในปี 2023 นี้อีกเกมนึงเลยครับ