สามก๊ก สุดยอดวรรณกรรมเอกของโลกที่ถูกตีความมาแล้วไม่รู้กี่ร้อยครั้ง ในฐานะวิดีโอเกมเองก็เช่นกัน และคราวนี้กับการเล่าเรื่องใหม่ ตีความใหม่ สอดแทรกตัวละครใหม่เข้าไปในยุคสามก๊ก มันจะออกมาเป็นยังไง ขอเชิญพบกับ รีวิว Dynasty Warriors Origins
Story – เรื่องราวบทใหม่ ตัวละครใหม่ ที่สอดแทรกไปในยุคสามก๊ก
Dynasty Warriors ภาคนี้ก็ยังคงหยิบยืมเอาเรื่องราวระดับตำนานที่หลายคนรู้จักกันดีอย่างสามก๊กมาเล่าใหม่กันอีกครั้ง และถึงแม้ว่าเรื่องราวจะเริ่มกันตั้งแต่กองโจรโพกผ้าเหลือง แต่คราวนี้มันจะแตกต่างกันออกไป เพราะเราจะได้รับบทเป็นชายพเนจร Wanderer ผู้มากฝีมือ แม้จะไร้ซึ่งความทรงจำและไม่รู้เลยว่าเขามีที่มาที่ไปอย่างไร โดยมีชายอีกคนที่บอกว่าเขาคือ Guardian of Peace หรือผู้พิทักษ์สันติสุข และมีหน้าที่คือนำความสงบสุขกลับคืนสู่ยุคสมัยอันโกลาหลนี้ และนี่คือเรื่องราวของชายพเนจรที่กำลังจะถูกเกลียวคลื่นแห่งสงครามสามก๊กพัดพาไปตามกระแสแห่งโชคชะตา ตัวเอกพเนจรของเรานั้น มีเครื่องรางอยู่ 1 ชิ้น ที่จะเปล่งแสงสว่างขึ้นทุกครั้งที่แผ่นดินกำลังเข้าสู่ความสงบสุข และจะปล่อยกลิ่นไอสีดำออกมา หากแผ่นดินกำลังตกอยู่ในความวุ่นวาย
สำหรับใครที่เคยอ่าน เคยดู หรือเสพสื่อของสามก๊กมาบ้างก็น่าจะพอเดาเหตุการณ์หลัก ๆ กันได้อยู่แล้ว เพราะทุกอย่างจะถูกนำมาเล่า นำมาเสนอใหม่หมด แต่ในเกมนี้จะถูกทำให้มันละเอียดกว่าเดิม ไม่มีการก้าวข้ามแบบเร่งรีบ อย่างคราวนี้เนื้อเรื่องช่วงต้นที่เป็นการปราบกบฎโพกผ้าเหลือง ก็จะใช้เวลาเล่ามากขึ้น เราก็จะได้เห็นหลายฝ่ายมาร่วมมือกัน วางแผนทางการรบกันมากยิ่งขึ้น แต่สุดท้ายแล้วเราต้องไม่ลืมว่านี่คือเวอร์ชันเขียนใหม่อีกรอบ และคราวนี้ตัวเอกของเราก็คือ Wanderer ทำให้การเดินเรื่องจะเกี่ยวข้องกับเราซะมากกว่าที่จะไปเจาะลึกถึงเหล่าขุนพลในตำนานคนใดคนหนึ่ง และเรื่องราวของเราก็จะค่อย ๆ เปิดเผยมากขึ้นเมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไป รวมไปถึงปลดล็อกพลังบางอย่างให้ได้ใช้งานกันมากขึ้นด้วย กลายเป็นว่าเกมนี้เล่าเรื่องได้สนุกและน่าติดตามขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเราจะอยากรู้ว่า Wanderer ของเราคือใคร มีพลังอะไร หน้าที่และฝักฝ่ายที่อยู่นั้นคือใครกันแน่
เมื่อจบบทหนึ่งก็ทิ้งปมไว้ อยากให้ตามต่อกันเรื่อย ๆ พอผูกกับระบบเกมที่มีการปลดล็อคคอนเทนต์ ระบบบางอย่าง ใครเป็นสายอ่านเนื้อเรื่อง ถ้าคุณเป็นแฟนสามก๊กอยู่แล้ว คุณจะเจอกับอีกเวอร์ชันของวรรณกรรมเรื่องนี้ ส่วนใครที่ไม่เคย คุณก็จะสนุกไปกับเรื่องราวของเกมภาคนี้ได้อย่างเต็มที่ สมกับชื่อภาค Origins ถ้าจะมีปัญหาก็คือมันยังคงใช้วิธีสไตล์เกมญี่ปุ่นอยู่ ตัวเอกของเราจะเป็นใบ้ตลอด ไม่ว่ามีฝั่งตะพูดคุยกับเรายืดยาวแค่ไหน แต่เราก็เลือกได้แค่ชอยส์ 2-3 ข้อตามสถานการณ์ตรงนั้น ในอีกมุมหนึ่งผมว่ามันก็เท่ ลึกลับดี สมกับที่เขาปั้นตัวละครให้มันหน้าหล่อ สุขุม พูดน้อย คือดีไซน์ตัวละคร Wanderer มันมาแนวพูดน้อยอยู่แล้ว ผมเลยไม่ค่อยติดอะไรเท่าไรนัก แต่ตรงนี้คิดว่าจะต้องมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบแน่นอน
และตามสเตปของเกมยุคนี้สมัยนี้ การมีทางเลือก มีฉากจบที่แตกต่างกันถือเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่ในเกมนี้จะถือว่าซับซ้อนพอสมควร ชนิดที่ว่าเอามาเล่าเป็นวิดีโอหรือบทความแยกอีกตัวหนึ่งได้เลย แต่การเลือกครั้งนี้จะเริ่มต้นตั้งแต่ช่วง Chapter 3 หรือก็คือช่วงกลางเกมเป็นต้นไป และมันจะส่งผลไปถึงสถานการณ์และฉากจบมากกว่า 6 แบบ ดังนั้นเล่นรอบเดียวยังไงก็ไม่พอ ถ้าคุณเป็นแฟน Dynasty Warriors อยู่แล้ว การเล่นซ้ำอาจไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าใครรู้สึกว่ารอบเดียวก็พอ ก็สามารถทำแบบนั้นได้เช่นกัน เว้นแต่คุณจะติดใจการฟาดฟันเหล่าทหารกีกี้ แล้วก็ลองเลือกเส้นทางที่ต่างกันออกไปในรอบหลัง
อย่างไรก็ตาม บางจุดถือว่าเล่าเรื่องค่อนข้างยาวพอสมควร และถ้าคุณไม่ชอบอ่าน กดข้าม หรือ Skip คุณอาจจะไม่เข้าใจในเนื้อหาของส่วนนั้น หรือบทนั้นไปเลย เพราะเหตุจูงใจ การกระทำบางอย่างจะถูกเฉลยในช่วงท้ายหลังสู้จบแล้ว และอาจจะเป็นตัวเลือกให้ผู้เล่นได้ตัดสินใจว่า จะตัดสินใจอย่างไรในสถานการณ์ต่อไปจากนี้ ถ้าเลือกที่จะข้าม คุณอาจไม่เข้าใจเนื้อหาหรือการกระทำของตัวละครตัวนั้น ๆ ไปเลย เพราะนี่คือสามก๊กเวอร์ชันตีความใหม่ แม้เนื้อหาหลัก ๆ ใหญ่ ๆ จะอิงจากต้นฉบับ แต่การดำเนินเรื่องราวจะต่างกันโดยสิ้นเชิง และ Dynasty Warriors ภาคนี้ เป็นภาคที่ค่อนข้างใส่ใจกับเนื้อเรื่องพอสมควรเลยทีเดียว ใครอยากอิน อยากรู้เรื่อง แนะนำว่าค่อย ๆ เล่น ไม่ต้องรีบ ตั้งใจอ่านและดื่มด่ำไปกับมันจะดีที่สุด
สำหรับเนื้อเรื่อง เราคงบอกชัดเจนไม่ได้ว่าอันไหนดีหรือไม่ดี สามก๊กมันมีหลากหลายเวอร์ชันมาก ๆ แต่ละคนอาจจะชอบหรือประทับใจในเวอร์ชันที่ต่างกัน ส่วนเวอร์ชัน Origins นี้ ข้อดีเลยคือหน้าใหม่เข้าถึงได้ เพราะตัวเอกคือตัวละครใหม่ที่สร้างมาเพื่อเกมภาคนี้โดยเฉพาะ แถมเนื้อเรื่องที่อิงจากวรรณกรรมเองก็พยายามเล่าให้ครบที่สุดเท่าที่จะเล่าได้แล้วในฐานะที่มันเป็นเกมแอ็คชันฟันแหลก และมันก็เล่าเป็นเส้นตรง เป็น Chapter แบบเข้าใจง่าย นี่คือสามก๊กในอีกเวอร์ชัน ที่เขียนขึ้นมาใหม่ และปรุงมันใหม่เพื่อให้ใครหลายคนได้รู้จักและสนุกไปกับมัน ส่วนตัวผมอินกับมันมากเลย เพราะพอเป็นตัวละคร Original นี่ เหมือนเราได้เล่นเกมใหม่ไปเลย แถมเล่าเรื่องได้ชวนน่าติดตามมาก ๆ ด้วย แต่มาตรฐานของคุณผู้ชมจะอยู่ในระดับไหน อันนี้ต้องไปลองพิสูจน์ด้วยตัวเองกันดู และจากที่หาข้อมูลมา เกมนี้มีฉากจบที่ต่างกันมากกว่า 6 แบบ เกมรองรับการเซฟหลายช่อง ดังนั้นใครอยากตามล่าตามเก็บให้ครบก็จัดกันได้เลย
Presentation – ยิ่งใหญ่ ล้นจอกว่าทุกภาคที่เคยผ่าน ให้สมกับยุคสมัย
หลังจากความล้มเหลวในภาค 9 ที่เขาพยายามจะทำเป็น Open World ในภาค Origins นี้ ก็ลดสเกลของความเป็น Open World ลงมา คือยังมีอยู่ แต่มันจะไม่ได้กว้างใหญ่อะไรมาก และกลับไปเป็น Dynasty Warriors ที่เราคุ้นเคยกันดีอีกครั้ง แทบจะเป็นเส้นตรงไปเลย ตัวละคร Wanderer ของเราจะมีทางเลือกว่าจะไปทำอะไรก่อน แยกไปทำเควสท์ย่อย หรือจะมุ่งตรงไปทำเนื้อเรื่องต่อเนื่องเลยก็ทำได้ ในภาคนี้เวลาที่เราเดินสำรวจในแผนที่โลก มันจะมีความคล้ายกับตอนที่เราเล่นบอร์ดเกม หรือเอาให้เห็นภาพง่าย ๆ นึกถึงเกม Tiny’s Tina Wonderland เลย เหมือนกันเป๊ะ ตัว Wanderer เราจะเหมือนตัวหมากบนเกมกระดาน และเดินทางไปในแผนที่ขนาดใหญ่ คือเราจะเดินไปตามจุดต่าง ๆ ได้เลย แล้วค่อย Interact กับสถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น NPC ตัวเมือง หรือภารกิจยิบย่อย และด้วยความที่มันไม่ได้ Open World แบบเต็มข้อ คราวนี้แทบจะทุกพื้นที่ จะมีภารกิจเสริม หรือด่านยิบย่อยให้เราเลือกเล่น เพื่อฟาร์มของหรืออัปเกรดตัวละครแทบจะทุกหัวมุมเมืองที่เราเดินทางไปเลย ดังนั้นใครเป็นสาย Perfectionism ทุกอย่างต้องเคลียร์ ห้ามมีอะไรเหลือ รับรองว่าคุณจะเสียเวลากับเกมนี้มากสมใจสมราคากันแน่นอน
และมันก็ยังคงเป็น Dynasty Warriors ในแบบที่เรารู้จัก มันคือสามก๊กเวอร์ชันคนหล่อคนสวย แถมโดดเด่นเกินกว่าใครในแผ่นดิน ไม่ว่าจะเล่าปี่ โจโฉหรือแม้แต่สาวงามอย่างเตียวเสี้ยน ภาคนี้เขาก็ทำให้โมเดลและใบหน้าตัวละครออกมาสวยงามน่าประทับใจมาก รวมไปถึงฉากคัทซีนที่ทำออกมาได้รู้สึกว่าพอดิบพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป คือเกมนี้เวลาเล่าเรื่องผ่านบทสนทนาตัวละคร มันจะยืนคุยกัน ตัดภาพกลับไปมา แต่พอเข้าองค์สำคัญ ๆ จะเป็นคัทซีนยาว ๆ ให้ได้ดู ซึ่งมีหลายฉากที่เท่ใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นของ Wanderer ตัวเอกเรา หรือของขุนพลคนใดก็ตาม ทำให้อารมณ์การเล่นต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี
และในภาคนี้ พื้นที่การต่อสู้ของเราก็จะมีหลากหลายแบบมากยิ่งขึ้น บางด่านก็จะมีสภาพอากาศแทรกเข้ามา มีตั้งแต่พื้นที่ทุ่งโล่ง เขตทะเลทรายที่เป็นเหมือนแอ่ง ไปจนถึงการบุกเข้าไปในส่วนพระราชวัง หรือตัวเมือง เวลาเล่น Dynasty Warriors ภาคก่อน ๆ ผมจะค่อนข้างเบื่อฉาก เพราะมันรียูสเยอะไปหน่อย เหมือนเปลี่ยนที่สู้นิด ๆ หน่อยๆ เท่านั้น หลัก ๆ มันเหมือนเดิม ภาคนี้ดูหลากหลายขึ้นมาก แต่มันก็ยังมีการแอบใช้ซ้ำกันอยู่บ้าง อย่างเควสท์ยิบย่อยทั่วแผ่นดิน ถ้าเราสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามันเป็นการตัดเอาบางฉากจากเควสท์หลักมาให้เล่น และใส่ Objective ของเควสท์ย่อยเข้าไปแทน แต่มันก็ไม่ได้มากจนน่าเกลียดขนาดนั้น
Moveset แอนิเมชัน การต่อสู้ ส่วนนี้มันทำได้ดีมาก เกมนี้มีอาวุธให้เลือกใช้มากมายหลายแบบ แต่มันไม่ได้ต่างกันแค่สเตตัสที่ได้มาเท่านั้น เพราะทุกอาวุธจะมี Moveset ที่ต่างกันในการคอมโบ มี Battle Arts หรือกระบวนท่าวิชายุทธ์ที่ต่างกัน และที่สำคัญเลยคือท่า Finisher จนถึง Musou Attack หรือท่าไม้ตายก็ต่างกันด้วย ทำให้การเปลี่ยนไปเล่นอาวุธชนิดต่าง ๆ สนุกขึ้น หลากหลายขึ้น และทำให้ตัวละครของเราเก่งขึ้นได้ด้วยจากภารกิจเสริมที่มี เพราะคราวนี้ตัวละครหลักเราเป็นตัวดำเนินเรื่อง ทำให้ไม่ต้องสนใจแล้วว่ามันจะทำให้ภาพลักษณ์ตัวละครเสียไปหรือเปล่า ลองนึกภาพว่าภาคก่อน ๆ เราได้เล่นเป็นกวนอู แต่ใช้ดาบมันก็คงแปลก ๆ อยู่บ้าง ภาคนี้ Wanderer เราเลยใช้ได้ทุกอย่างเลย แล้วทุกท่วงท่าที่แสดงออกมาก็ทำให้เราเห็นว่าเขาเป็นผู้ชำนาญการใช้อาวุธและการต่อสู้จริง ๆ
และด้วยเทคโนโลยีของฮาร์ดแวร์ปัจจุบัน คราวนี้เหล่าาทหารหลายร้อยหลายพันนาย จะถูกแสดงผลออกมาทางหน้าจอได้อย่างเต็มที่ โดยตรงนี้เราสามารถตั้งค่าได้เลยว่าจะให้มีจำนวนทหารบนหน้าจอมากน้อยแค่ไหน ก็เอาเท่าที่เครื่องไหว แต่บอกเลยว่าเราปรับสุด และคราวนี้เหมือนเราได้เล่น Serious Sam แต่เป็นในเวอร์ชันตีประชิดแทน ศัตรูที่ถาโถมเข้ามาในภาคนี้คือมันเยอะมาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด่านที่เป็นฉากใหญ่ ๆ ตามเนื้อเรื่องเกม ก็คือรู้สึกได้ว่ามันยิ่งใหญ่และเป็นสงครามจริง ๆ ถึงแม้ว่าหลัก ๆ แล้ว Wanderer เราจะกระทืบเรียบ ไม่ต่างอะไรกับการส่งหมาป่าเข้าดงแกะ กดสกิลทีกวาดเป็นสิบ หรือถ้ากดไม้ตายก็กระจายทีละเป็นร้อย ใครชื่นชอบความสะใจตอนต่อสู้กับศัตรูขนาดนี้ในจอ ภาคนี้คุณจะเต็มอิ่มมาก และการต่อสู้สุดเดือดก็ต้องมาคู่กับเพลงประกอบมัน ๆ ภาคนี้เพลงเดือดมากเช่นเคย ยิ่งทำให้การต่อสู้ของเราเร่าร้อนมากขึ้นตลอดเวลาการออกศึก แต่ภาคนี้ผมจะรู้สึกรำคาญอย่างหนึ่งคือ ตลอดช่วงเวลาการเล่นในสนามรบ ตัวละครมันจะพูดกันแทบตลอดเวลา นอกจากกรอบทางซ้ายแล้ว ยังเป็นเสียงพากย์ในเกมอีก สำหรับผม มันเยอะเกินจนรบกวนสมาธิการเล่นในระดับหนึ่งเลย แต่เราสามารถปรับตั้งค่าได้ ดังนั้นใครรู้สึกว่ามันล้นเกินก็ไปตั้งค่าเอาได้ใน Setting
และอาจต้องเตือนคนที่คิดว่าจะเจอประสบการณ์สุดแปลกใหม่ในเกมนี้ เพราะเมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ คุณอาจจะรู้สึกว่า Objective หรือเป้าหมายหลักของเกมมันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการลงไปตบกองทหาร ปราบขุนพล ไปให้ถึงจุดที่ต้องการ แล้วจบด่าน คือเป้าหมายของเกมมันมีแค่นี้ ถ้าคุณไม่ชอบความจำเจที่ต้องทำอะไรเดิม ๆ ตลอดทั้งเกม คุณอาจจะเบื่อมันเร็วกว่าที่คิด แต่ใครที่ชอบอยู่แล้ว Dynasty Warriors ภาคนี้จะมอบความมันส์ให้คุณได้ประมาณ 15-20 ชั่วโมง และอาจมากกว่านั้น ถ้าเก็บรายละเอียด อัปเกรดทุกอย่าง เคลียร์ทุกพื้นที่ให้เต็มร้อย แม้ราคาภาคนี้จะแรงเอาเรื่อง เปิดปี 2025 แต่ประสบการณ์ที่ได้มา ก็บอกเลยว่า คุ้มค่า
Gameplay – เชี่ยวชาญทุกกระบวนท่าอาวุธ คือจุดเด่นของการที่เกมมีตัวเอกนำเรื่อง
ใครที่รู้สึกว่าแนวทางของภาคก่อนหน้า มันหลงลืมรากเหง้าและแก่นแท้ของ Dynasty Warriors ไป ภาคนี้มันกลับมาเป็นในแบบที่ควรจะเป็นเรียบร้อยแล้ว การต่อสู้แบบหนึ่งต่อร้อยหรือต่อพัน ยังคงเป็นประสบการณ์การเล่นอันยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในภาคนี้ที่ตัวเอกของเราสามารถปรับใช้อาวุธได้ทุกรูปแบบ มีท่วงท่า มี Moveset ที่ต่างกันไปตามแต่ละอาวุธที่ใช้งาน
อย่างที่บอกไป ในภาคนี้ตัดความเป็น Open World ออก และเปลี่ยนมาใช้เป็น “กึ่ง Open World ใน World Map ขนาดกว้าง เราจะมุ่งตรงไปที่ภารกิจหลักเลยก็ได้ หรือจะลัดเลาะ เก็บ Side Quest ก่อนก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วเมื่อเล่นไปถึงระดับหนึ่ง เราจะมีเลเวลแนะนำที่ใช้สำหรับทำภารกิจหลักไม่พอ ทำให้ต้องไปฟาร์มเอาจาก Side Quest อยู่ดี แต่ไม่ต้องห่วงเพราะมันไม่ได้บังคับต้องทำขนาดนั้น หากเลเวลเราน้อยกว่า 1-2 เลเวลก็ยังพอไหว แถมเกมก็ทำ Pacing มาค่อนข้างดี ไม่ค่อยมีอะไรแบบนี้บ่อยนักตลอดเกมการเล่น
คราวนี้การต่อสู้ในแต่ละสมรภูมิจะแบ่งออกเป็น 3 สเกลยิบย่อย อย่างแรกคือสมรภูมิในภารกิจหลัก อันนี้จะเป็นสมรภูมิขนาดใหญ่ ที่เราต้องไปยังจุดภารกิจหลักเพื่อดำเนินเรื่องต่อไปเรื่อย ๆ ต่อมาจะเป็นภารกิจรองที่จะเป็นการช่วยเหลือกองกำลังต่าง ๆ ในการเก็บกวาดพวกกองทัพที่ยังหลงเหลืออยู่ และสุดท้ายจะเป็นสมรภูมิขนาดย่อมอย่าง Skirmish สมรภูมิขนาดนี้จะเล่นง่าย จบไวมาก เพราะเป็นเพียงภารกิจสั้น ๆ กำจัดหัวหน้ากองสักคนก็จบได้แล้ว สำหรับสองภารกิจหลัง จะเป็นภารกิจที่เอาไว้ฟาร์มโดยเฉพาะ เราจะข้ามไปก่อนก็ได้ ค่อยกลับมาเก็บตอนว่าง ๆ ได้เงินรางวัล และของรางวัลเหมือนกันทุกครั้ง
ด้วยความที่ตัวละครเอกของเราไม่ใช่เหล่าขุนพลแล้ว คราวนี้ทุกอย่างเลย All-in มาอยู่ที่ตัวเรา เริ่มตั้งแต่ระบบเลเวล เกมนี้จะใช้ระบบ General Rank หรือระดับขั้น ทุกครั้งที่ทำภารกิจสำเร็จ ไม่ว่าจะหลักหรือรองก็จะได้ค่าประสบการณ์มา หาก General Rank ของเราอัปก็จะได้ค่าสเตตัสทุกด้านสูงขึ้น และหากถึงระดับที่กำหนดอีกครั้งก็จะเป็นการปลดล็อค Skill Tree ชุดใหม่ ๆ ที่ทำให้ตัวละคร Wanderer เรายิ่งเก่งขึ้นไปอีก หากมองเผิน ๆ สกิลแต่ละหน้าอาจจะเพิ่มค่าพลังที่คล้ายกัน แต่มันจะมีอยู่ 1-2 สกิลที่ถือว่าเป็น Core Skill ประจำหน้านั้น และจำเป็นต้องอัปเป็นอย่างยิ่ง เช่นทำให้เกจการ Dash ของม้าเพิ่มขึ้น หรือทำให้เราสามารถกด Dodge ได้ 2 ครั้ง เป็นต้น
ถัดจากสกิลคือเรื่องของอุปกรณ์สวมใส่ ในภาคนี้เราจะไม่สามารถเปลี่ยนเครื่องแต่งกายหรือชุดของ Wanderer ได้ แต่อาวุธจะสามารถทำได้ที่หน้า Equipment การปลดล็อคอาวุธใหม่ ๆ จะเป็นไปตามเนื้อเรื่องของเกม และกว่าจะครบก็ใช้เวลานานพอสมควร อาวุธแต่ละประเภทนั้นจะแตกต่างกันตั้งแต่รูปแบบการโจมตีไปจนถึง Sub-Stat ที่เป็นค่าสถานะรองของอาวุธแต่ละชิ้นจะมีความแตกต่างกันด้วย
ยกตัวอย่างเช่นอาวุธวงจักรหรือ Wheel นั้น จะมีระยะการโจมตีที่กว้างกว่ามาก แต่ความสามารถและความแรงอาจจะลดหลั่นลงไป ในขณะที่หอก จะโจมตีได้เป็นวงกว้างแต่จะเป็นแบบแถวตอนลึกลงไป หรือ Twin Spikes อันนี้ทั้งแรง ทั้งกว้าง แต่ช้าแทน ดังนั้นอาวุธทุกแบบ มีประสิทธิภาพทั้งหมด จะเลือกใช้อันไหนก็ได้ แล้วแต่พลังโจมตีและ Sub-Stat ของมัน ที่สำคัญคือเราเปลี่ยนมันระหว่างด่านได้ด้วย แต่ต้องอยู่ในที่โล่งและไม่โดนโจมตีเท่านั้น โดยอาวุธแต่ละประเภทจะมีค่า Proficiency ของตัวเอง ยิ่งใช้อันไหนบ่อยก็จะยิ่งอัปเลเวลความเชี่ยวชาญของอาวุธชิ้นนั้นได้
สิ่งสำคัญอีกอย่างสำหรับอาวุธแต่ละประเภทก็คือ Bravery Arts หรือกระบวนท่าต่อสู้เฉพาะสำหรับอาวุธนั้น ๆ และท่า Bravery Arts ของมันก็ยังมีค่าความชำนาญอีก คือมันเป็นเกมที่คุณยิ่งเล่น ยิ่งใช้อาวุธมากเท่าไร ยิ่งกำจัดศัตรูได้มากเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีปกติ หรือการใช้กระบวนท่า มันจะมีรางวัลมอบให้ผู้เล่นเสมอ ทุกการต่อสู้ ทุกสมรภูมิ ไม่มีคำว่าเสียเปล่าเลย นอกจากนั้น กระบวนท่าใหม่ ๆ โหด ๆ ของอาวุธบางชนิด ยังได้จากการออกสำรวจ เก็บเหรียญ Old Coin ไปแลกกับผู้เฒ่าลึกลับได้ด้วย
และนอกจากอาวุธ เรายังมีตัวช่วยเสริมความสามารถเราอีก นั่นคือ Accessories และ Gem สำหรับ Gem นั้น จะไปสอดคล้องกับระบบการออกสำรวจโลกกว้าง เพราะมันมีโอกาสจะได้ Pyroxene ที่สามารถนำมาสร้าง Gems ได้ Gems แต่ละประเภท ก็จะเสริมค่าสถานะที่ต่างกัน เช่นโจมตีได้กว้างขึ้น ใช้ Parry แล้วบูสท์ดาเมจได้เพิ่มขึ้น จะใส่อันไหนก็แล้วแต่ความถนัดหรือความอยากของเรา ซึ่งเมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ ก็จะปลดล็อกช่องใส่เพิ่มด้วย
ในภาคนี้ Wanderer ยังมีความสามารถในการควบคุมและจัดการกองทัพของตัวเอง โดยเมื่อเริ่มเล่นไปจนถึงช่วงกลางเกม เราจะสามารถมีกองทหารติดตัวเอาไว้ได้ ซึ่งมันก็คืออีกหนึ่งความสามารถของเราในภาคนี้ ในสเกลสงครามขนาดใหญ่ เราจะมีกองทหารหนุนเป็นตัวช่วย เช่นสั่งระดมยิงธนูเพื่อเคลียร์เส้นทาง หรือสั่งให้จุดไฟเผารถเลื่อนก็ทำได้เช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ความเก่งเจ๋งของ Wanderer ในภาคนี้มันเก่งมาก ๆ โอกาสได้ใช้ค่อนข้างน้อย แต่ถึงเวลาจวนตัว มันคือตัวช่วยที่มีประโยชน์จริง ๆ และพาหนะคู่ใจของเราในเกมนี้อย่างม้าเองก็มีให้ใช้หลากหลายตัว บางตัวก็จะมีค่าสเตตัสที่ต่างกันด้วย
ในด้านของการต่อสู้ ส่วนของการต่อสู้กับเหล่ากองทหารนับร้อยนับพันนั้น แทบจะไม่ต่างจากเดิมมาก คุณจะสแปมปุ่มเดิมมั่ว ๆ จนหมดลานก็ทำได้ และภาคนี้การต่อสู้แบบ Duel หรือท้าดวลแบบ 1 ต่อ 1 ก็จะกลับมาในภาคนี้ด้วย และกลายเป็นธรรมเนียมของเกมที่มีระบบการต่อสู้ไปแล้ว สองสิ่งที่ต้องมีก็คือ Perfect Dodge และ Parry การทำงานของสองระบบในเกมนี้ก็จะเหมือนกันกับเกมอื่น ๆ
การ Perfect Dodge จะทำให้เรามีหน่วงเวลาสั้น ๆ ในการโจมตีศัตรูฟรี ๆ ส่วน Parry จะทำให้ศัตรูโดนโจมตีอย่างหนัก และภาคนี้ศัตรูจะมีค่า Fortified หรือค่าความแข็งแกร่งอยู่เหนือหัว ค่านี้จะมีเฉพาะศัตรูระดับแม่ทัพหรือขุนพลเท่านั้น การมีค่านี้อยู่จะทำให้การโจมตีของเราถูกลดทอนลง และวิธีการทำลายค่านี้คือใช้กระบวนท่าหรือ Bravery Arts ทำให้ภาคนี้การใช้กระบวนท่าจึงมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะตอนเจอกับศัตรูระดับสูง ส่วนท่าใหญ่อย่าง Musou Attack ก็ยังคงสะใจเหมือนเดิม ดีไม่ดีคือยิ่งกว่าเดิมด้วย เพราะศัตรูภาคนี้มันมาเยอะมาก ๆ กดใช้ทีก็กวาดจอที ยิ่งใช้กับระบบคู่หูที่เป็น Super Musou Attack อันนี้ถึงใจแบบสุด ๆ
ต้องบอกว่าในภาคนี้ ทีมสร้างได้แก้ไขและปรับปรุงสิ่งที่ลองผิดลองถูกไปในภาค 9 และนำระบบบางอย่างที่ดีอยู่แล้วกลับมาด้วย การออกไปทำภารกิจเสริม จะทำให้เราได้เงิน ไปซื้ออาวุธใหม่ ๆ หรือซื้อยาเสริมแกร่งสำหรับลุยด่านยาก ๆ การต่อสู้ก็ไม่ใช่แค่การเดินหน้ากวาดลานอย่างเมามัน แต่ต้องดูเงื่อนไขเสริมที่แทรกเข้ามาด้วย โดยมันจะขึ้นอยู่บนหน้าจอทางซ้ายเลย เช่นเงื่อนไขสถานการณ์นี้ เราต้องจัดการทหารฝ่ายตรงข้าม 300 คนใน 2 นาที หรือคอยปกป้อง NPC ร่วมทีมของเราไม่ให้ตาย หรือบางครั้งช่วงเริ่ม เกมอาจจะบอกให้เรารีบไปยังจุดต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือสถานการณ์ตรงหน้า แม้จะเป็นเกม Musou ตีแหลก แต่ในบางครั้ง การอ่านสถานการณ์ในสงครามนั้นให้ออกก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ชนิดที่ว่าไม่ทำตามก็แพ้ไปเลย
และในภาคนี้ยังมีระบบที่เรียกว่า Recreation Battle สำหรับคนที่ตัดสินใจอะไรผิดพลาดไปหน่อย และไม่ถึงขั้นต้อง Restart ใหม่ทั้งหมด เวลาที่เราแพ้เราสามารถย้อนกลับไปตามช่วงเวลาสำคัญต่าง ๆ ได้ โดยเราอาจจะย้อนไปยังจุดที่เราตัดสินใจผิดพลาดได้ และเริ่มเล่นจากตรงนั้น โดยไม่ต้องรีใหม่ทั้งด่าน ถือเป็นฟีเจอร์ที่ดีมาก ๆ เพราะบางด่านก็ยาวสุด ๆ เริ่มใหม่แต่แรกก็คงเหนื่อยไม่ใช่น้อย
ระบบเกมการเล่นของ Dynasty Warriors Origins ทำมาเพื่อเอาใจทั้งคนเล่นเก่าและใหม่ ระบบบางอย่างที่ดีจากภาคเก่าก็เอากลับมา อันไหนไม่เวิร์คก็เปลี่ยน และเพิ่มความสนุกในการตามหาของที่ทำให้ตัวละครเก่งขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่เราไม่ได้รู้สึกว่าต้อง Grinding อะไร สำหรับผมแล้ว นี่คือ Dynasty Warriors ภาคที่สนุกมาก ๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียเลย แต่อันนี้ผมบ่นให้ฟังบางอย่างที่ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยจะชอบ หรือทำได้ดีกว่านี้
อย่างแรกคือระบบขี่ม้า มันมีม้ามาให้ก็จริงในภาคนี้ แต่อยากให้มันมีวิธีขึ้นขี่ที่เราเลือกได้มากกว่านี้หน่อย คือปกติทุกเกม เวลาที่เราดันก้านอนาล็อกพร้อมกับกดลงไป มันจะเป็นการ Sprint หรือวิ่งเร็ว แต่การ Sprint ของเกมนี้มันคือการบังคับให้เราขึ้นขี่ม้าเท่านั้น ซึ่งบางทีระยะที่เราจะเดินทางมันใกล้มาก ๆ และด้วยความเคยชิน เราก็จะใช้วิธี Sprint ม้าก็โผล่มาเลย แล้วตอนลงมันต้องกระโดดลง คือภาพรวมมันไม่ได้เป็นข้อเสียถึงขั้นทำลายประสบการณ์เกม แต่มันทำให้การบู๊ของเราขาดความต่อเนื่อง จะดีกว่าไหม ถ้ามีปุ่มให้เราเลือกขึ้นและลงม้าได้โดยเฉพาะมากกว่าเอาไปยัดไว้ปุ่มเดียวกับการ Sprint เพราะขนาดระยะเวลาการรอม้ามันยังปรับได้เลย แต่เรื่องปุ่มไม่มีให้ทำซะอย่างนั้น
กับอีกอันที่ผมเคยเซ็งกับภาคเก่า ภาคนี้ก็ยังเจอ คือเรื่องของขนาดแผนที่และการเคลื่อนไหวของเราเวลาอยู่ในสมรภูมิ บอกเลยว่าอันนี้ไม่หักคะแนน ไม่ใช่ข้อเสียแบบใหญ่หลวงด้วย มันคือระบบมินิแมปหรือแผนที่ คือบางแผนที่มันใหญ่ และมีซอกเล็กตรอกน้อยที่ถ้าไม่วิ่งไปเจอ เราจะไม่ทันได้สังเกตเห็นเครื่องหมายต่าง ๆ บางด่านจะเป็นทางแบบวันเวย์ คือเป็นหน้าผา กระโดดลงมาได้ แต่จะกลับขึ้นไป ต้องอ้อมโลกกันเลยทีเดียว ถ้าเจอด่านไหนที่มีเงื่อนไขการชนะเป็นการป้องกันคน หรือช่วยเหลือกองทัพ การเดินแผนที่พลาดเพียงนิดเดียวอาจจะทำให้ภารกิจล้มเหลวไปเลยก็ได้
ก็ถือว่าเป็นจุดติเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ไม่ได้ส่งผลอะไรกับเกมเพลย์การเล่นโดยรวมมากเท่าไร ใครเป็นแฟน Dynasty Warriors คุณจะถูกใจภาคนี้มาก ๆ แต่ถ้าใครเพิ่งมาเล่นภาคนี้เป็นภาคแรก นี่อาจจะเป็นประสบการณ์ Dynasty Warriors ที่คุณชื่นชอบก็ได้ครับ
Performance
ค่อนข้างเหนือความคาดหมายสำหรับด้านประสิทธิภาพของ Dynasty Warriors Origins ที่ทำได้ดีมาก ๆ ในภาคนี้ สำหรับเครื่องที่ผมใช้งานนั้น ก็ยังคงเป็นเครื่องส่วนตัวเครื่องประจำที่ใช้ i5-12400f แรม 32GB และการ์ดจอ RTX3060 ปรับกราฟิกในระดับ Medium ผสมกับ High ผลที่ได้คือ FPS จะเฉลี่ยอยู่ที่ 60-70 แต่ก็จะมีอาการเฟรมเรทแกว่งบ้าง ในช่วงที่เจอกับสภาพอากาศเช่นฝนตก พายุเข้า และจะเฟรมเรทตกเลยก็คือฉากใหญ่ ๆ อย่างช่วงศึกปราบตั๋งโต๊ะ ที่เหล่าศัตรูจะเยอะเป็นพิเศษ และมีเอฟเฟคท์ทำลายฉากบางอย่างเกิดขึ้น แต่ก็ร่วงไม่เกิน 50 เฟรม ซึ่งถือว่าไม่ส่งผลกับเกมเพลย์การเล่นมากนัก ดังนั้นใครมีสเปคคอมพิวเตอร์กลาง ๆ ค่อนมาทางใหม่ในยุคปัจจุบันก็เล่นเกมนี้ได้สบาย ๆ
ในส่วนของการ Setting และการตั้งค่า ผมจะรู้สึกว่า UX/UI ของส่วนการ Setting นั้น รู้สึกว่ามันทำมาให้ดูยากไปหน่อย แถมไม่มีภาพตัวอย่างอะไรให้ดูเลย แต่ถ้าเราอ่านดูดี ๆ เกมจะใส่ใจในด้านของรายละเอียดพอสมควร เช่นเราสามารถให้เกมไฮไลท์ตัวศัตรูในระดับขุนพลได้ ทำให้มองเห็นได้ง่าย และรู้เป้าหมาย สามารถปรับตั้งค่าโชว์จำนวน K.O. หรือแม้กระทั่งบทสนทนาระหว่างออกสู้ ที่ผมบอกว่ามันรกเกินไปก็ปรับได้เช่นกัน และสามารถปรับระบบช่วยเหลือการต่อสู้ ไปจนถึงการใช้ Meatbuns ฟื้นพลังอัตโนมัติก็ทำได้ คือในส่วนของ Setting และ Optimize ต่าง ๆ เกมนี้ทำได้ดีอย่างเหลือเชื่อ แค่หน้า UX/UI ตอนตั้งค่ามันดูโล่ง ๆ กับสังเกตยากไปหน่อยเท่านั้น
ส่วนของบั๊กต่าง ๆ ที่เจอ อันนี้ผมเจอน้อยมาก และแทบไม่ส่งผลกระทบอะไรกับเกมการเล่นเลย แต่จะมีอยู่ตัวนึงที่ฮานิดหน่อย ก็คือด่านที่เราต้องหลบหนีจากลิโป้ โดยต้องคุ้มกันโจโฉออกจากด่านด้วยนั้น วิ่งนำอยู่ดี ๆ โจโฉก็เกิดเลือดร้อน หันไปบวกกับพี่ลิโป้เฉย ทั้ง ๆ ที่ภารกิจมันคือห้ามโจโฉตาย ยังดีที่ตรงนี้ ผมวิ่งกลับไปรับใกล้ ๆ มันก็หายแล้ว ไม่งั้นคงจะได้รีด่านใหม่กันแน่ ๆ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่เจออะไรแล้ว
สรุป
Dynasty Warriors Origins ถือเป็นการกลับมาของ Dynasty Warriors ที่แก้มือตัวเองได้อย่างงดงาม มันทั้งสนุก มีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ อะไรที่ไม่เวิร์คในเกมก่อนหน้าก็ปรับปรุงแก้ไขจนเรียบร้อย ใครยังไม่เคยเล่นเกมชุดนี้ มาเริ่มภาคนี้เลยก็ยังได้ หรือใครเป็นแฟนเกมนี้มาอยู่แล้ว ผมว่าอย่างน้อยทุกคนจะพึงพอใจไปกับประสบการณ์ของเกมภาคนี้