BY Markrider
21 Jun 23 9:07 pm

รีวิว Final Fantasy XVI

784 Views

กลับมาสานต่อภาคหลักในรอบ 7 ปี มันจะยังเป็นความแฟนตาซีที่เรารักอยู่หรือไม่ พิสูจน์ได้ใน Final Fantasy XVI Review

Story

ณ แผ่นดิน Valisthea แผ่นดินที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์จากพลังของคริสตัล อาณาจักร Rosaria คืออาณาจักรแห่งเกียรติยศ ปกครองโดยตระกูล Rosfield ตระกูลที่มีสายเลือด Dominant ในตัวเอง ทำให้สามารถแปลงร่างเป็น Phoenix ได้ ซึ่งนี่คือเงื่อนไขสำคัญ ในการเป็นรัชทายาท ขึ้นครองบัลลังก์ของอาณาจักรนี้

Clive Rosfield ตัวเอกของเกม เกิดในตระกูลนี้แต่ไม่มีพลังของ Dominant แต่เป็นน้องชาย Joshua ที่มีพลังนี้แทน ทำให้เขาต้องฝึกฝนตัวเองเพื่อทำหน้าที่ปกป้องน้องชาย อาร์ชดยุกของอาณาจักรในอนาคต ซึ่งในระหว่างการทดสอบครั้งแรก อาณาจักร Rosaria ก็ถูกกองทัพจักรวรรดิลอบโจมตีอย่างไม่ทราบสาเหตุ ส่งผลให้คนเกือบทั้งตระกูลเสียชีวิต ปราสาทถูกพังราบเป็นหน้ากลอง และ Clive ที่มีชีวิตรอด ก็สาบานว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อแก้แค้นเท่านั้น

ต้องบอกว่านี่เป็น Final Fantasy ที่แหกขนบความเป็นไฟนอลไปเลย เพราะปกติแล้วเรื่องราวของไฟนอลแฟนตาซีมันจะโฟกัสไปในเรื่องของโลก เรื่องของบรรยากาศโดยรวม เป็นซีรีส์ที่มีความ Slow Burn เน้นเก็บรายละเอียด แต่ในภาค 16 เนื้อเรื่องมันจะโฟกัสไปที่เรื่องราวของตัวเองแบบเน้น ๆ เลย ข้อดีคือเนื้อเรื่องมันดำเนินไปไวมาก แปปเดียวคุณก็อาจจะนึกไม่ถึงแล้วว่า มันมาไกลขนาดนี้ได้ยังไง

ที่เป็นแบบนั้น เพราะนอกจากการวางพล็อตเรื่องหลักเอาไว้ เขายังวางพล็อตเรื่องรองเอาไว้เป็นจำนวนมาก ถ้านึกภาพไม่ออก มันคือเทคนิคเดียวกันกับที่ซีรีส์ต่างประเทศใช้ คือเน้นช่วง 3 ตอนแรกให้เข้ม แล้วค่อยดาวน์โทนลงมาในช่วงกลาง ให้เราไปสนใจอย่างอื่นบ้างนอกจากพล็อตหลัก แต่ไม่ถึงกับทิ้งไปเลย เพราะในตอนจบ มันก็จะทิ้งเบาะแสบางอย่างไว้ให้เรามาตามต่อ และพอถึงตอนท้าย ๆ เมื่อไหร่ก็ตู้มเลย ทุกอย่างเอามาโยงกันได้หมด 

เนื้อเรื่องหลักของเกมนี้ ถ้าเล่นไม่ข้ามอะไรเลยมันจะมีทั้งหมด 43 เควส อันนี้ยังไม่นับตัว Demo ที่ได้เล่นสองชั่วโมงแรกนะ ถือว่ายาวมาก ตกประมาณ 40 ชั่วโมงได้ ซึ่งถ้าจะเก็บเควสรองให้ครบ เราว่ามีต่ำ ๆ 70 ชั่วโมง

จริง ๆ ตอนผู้เขียนรู้ว่ามันจะยาวขนาดนี้ ตอนเล่นแรก ๆ ก็แอบเป็นห่วงว่า มันจะรักษาความ on point ของตัวเนื้อหาไปได้นานขนาดนั้นเลยหรือเปล่า ซึ่งพอเล่นจบแล้วมันก็เป็นอย่างที่ผู้เขียนกังวลจริง ๆ ในการเปลี่ยนผ่านแต่ละอีพีมันจะมีเวลาพัก ซึ่งเวลาพักนี่แหละที่ทำผู้เขียนเกือบหลับ คือมันหนักไปทางคุยเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่พอหมดเวลาพัก ถึงเวลาเข้าเรื่องเมื่อไหร่ เขาก็ทำได้ถึงใจ บางอีพีใช้เวลาปลุกใจผู้เขียนแค่ 20 นาทีเท่านั้น แต่ก็ปลุกผู้เขียนขึ้นได้ แถมความเดือดของเนื้อหามันไม่เคยจะลดลง ยิ่งเราเล่นไปนานแค่ไหน มันยิ่งทวีความเดือดมากเท่านั้น ตรงนี้แหละที่ผู้เขียนว่าเขาทำได้ถึงใจ และน่าจะเป็นส่วนที่ดีที่สุดแล้วในเกมนี้

Presentation

นี่ไม่ใช่ Final Fantasy เกมแรกที่ดาร์ค แต่มันคือ Final Fantasy เกมแรกที่ดาร์คทุกองค์ประกอบ ธีมของภาคนี้เขาระบุชัดเลยว่า ทำมาให้ผู้ใหญ่เล่น ใครที่เล่น Demo จบคงจะพอรู้แล้วว่า มันผู้ใหญ่ยังไง ซึ่งผู้เขียนบอกเลยว่า อันนั้นมันแค่น้ำจิ้ม เพราะของจริงมันโหดกว่านั้นเยอะ เรื่องคำหยาบนี่ทุกคนรู้อยู่แล้วว่ามาเต็ม เรื่องเนื้อหาผู้เขียนว่า มันไม่ดาร์คเท่าไหร่เมื่อเทียบกับภาคก่อน ๆ แต่เพราะมันเป็นภาคแรกที่เราเห็นกราฟิก เราเลยรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

คุณอยากได้อะไรมันขนมาหมด อยากได้ดราม่าเหยียดความเป็นมนุษย์ใช่มั้ย ได้ ใส่มา อยากได้ฉากฆาตกรรมโหด ๆ ทรมานใช่มั้ย ได้ ใส่มา อยากได้ฉากติดเรทใช่มั้ย ได้ ใส่มา คือมันใส่มาทุกอย่างในทุกอณูของคัตซีน แม้แต่ในตอนเล่น ท่าฟินิชบางท่าที่เราใช้ยังโหดร้ายเอามาก ๆ เรียกได้ว่าสะใจคนขอเลยทีเดียว คือถ้ามากกว่านี้ ผู้เขียนว่าใส่เรทอาร์ไปเลยก็ได้ไม่เสียหาย เพราะเท่าที่มีมันก็แทบจะอาร์แล้ว เอาง่าย ๆ แค่เปลี่ยนมุมกล้องนิดหน่อยให้เห็นภาพแผลในมุมชัด ๆ อีกซักนิด ก็เอาเรทอาร์ไปได้เลย

เรื่องสภาพแวดล้อม ดินแดน Valisthea ถูกนิยามว่าเป็นดินแดนของผู้สร้าง The Founder ดินแดนที่เต็มไปด้วยภูมิภาคอันหลากหลาย ในแต่ละประเทศที่เราผจญภัย มันจะมีภูมิศาสตร์แปลก ๆ แตกต่างกันเต็มไปหมด ในแผนที่แรกรอบ ๆ Rosaria มันจะมีความเป็นป่าดิบชื้น มีทั้งทุ่ง ที่แคบ ทะเลทรายขนาดย่อม ๆ หรือแอ่งน้ำท่วมขังก็มี สิ่งที่โดดเด่นเลยคือพืช ที่เขาออกแบบมาได้สมจริงมาก ถ้าคุณเล่นเกมเยอะ ๆ บางเกมเวลาเรามองป่า เราจะพอจำกัดแพทเทิร์นคร่าว ๆ ได้ว่า เขาวางทรัพยากรเป็นชุด ๆ ซ้อนทับกัน หรือบางครั้งก็แรนด้อมโดยฝีมือ AI ทำให้ถ้าสังเกตุมากพอ จะเห็นว่าบางส่วนที่มันไม่ควรมีพืชขึ้นตามหลักฟิสิกส์ แต่มันก็มีขึ้นมาได้

ใน Final Fantasy 16 ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าเขาออกแบบด้วยการวางเองทีละจุดเลยหรือเปล่า เพราะลักษณะของพืชมันดูสมจริงเกินไป ถ้าสังเกตแอเรียบนภูเขา หรือใกล้ ๆ แอ่งน้ำที่เหยียบได้ จะเห็นว่าพืชไม่ใช่พืชชนิดเดียวกัน และมันขึ้นอย่างที่มันควรจะเป็น ถึงแม้เราจะไม่ได้อยู่ในแผนที่นี้นานเท่าไหร่ หรือบางคนอาจจะไม่ได้สังเกตเลยก็ตาม แต่ผู้เขียนยอมใจกับการออกแบบจริง ๆ

เรื่องขนาดของแผนที่ ก็ตามอย่างที่ผู้พัฒนาเขาบอกว่า มันไม่ใช่เกม Open World แต่จะอยู่ในลักษณะของ Open Field แทน เขาจะใช้วิธีออกแบบแผนที่ใหญ่ ๆ ไว้ 4-5 แผนที่ และนับว่ามันเป็นประเทศไปเลย ทำให้แผนที่โดยรวมค่อนข้างใหญ่ ใช้เวลาเดินอยู่พอสมควรเหมือนกัน ส่วนแผนที่เล็ก ๆ เขานำไปใช้เป็นดันเจี้ยนตามสถานการณ์ ส่วนตัวผู้เขียนว่าดีแล้วที่ออกแบบมาในลักษณะนี้

เพลงประกอบก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่โดดเด่นมากในเกมนี้ จากที่ได้ยิน เพลงส่วนใหญ่เป็นเพลงของภาคเก่า ๆ ที่ถูกนำมา Rearrange ใหม่ให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น ทำให้คนที่เคยเล่นภาคก่อนหน้า จะได้ความรู้สึกที่พิเศษมากกว่าคนอื่น ส่วนวิธีการใช้ก็ทำได้พอเหมาะพอดี โดยเฉพาะในฉากต่อสู้ หรือฉากที่ต้องการบิ้วอารมณ์คนเล่น ผู้เขียนว่าเพลงคือส่วนสำคัญที่ทำให้เราอินกับเนื้อหาได้อย่างรวดเร็วแม้ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก ในบางฉาก เขาก็มีการแทรกของใหม่ ๆ ให้ผู้เล่นว้าวเบา ๆ ด้วย อย่างอันนี้ผู้เขียนชอบมาก มันจะมีฉากหนึ่งที่เราจะต้องปะทะกับศัตรูระดับบอส ปกติแล้วเพลงที่เล่นในเกมตั้งแต่ต้นไปจนถึงตอนนั้น จะเป็นลักษณะของเพลงบรรเลงซะเป็นส่วนใหญ่ แต่พอเพลงขึ้น มันกลับเป็นเพลงฮิปฮอปแบบทันสมัยซะงั้น ส่วนตัวผู้เขียนว่ามันหลุดธีมไปเยอะ แต่ผู้เขียนชอบ ชอบมาก ๆ ด้วย

สิ่งที่ผู้เขียนไม่ชอบ น่าจะเป็นสิ่งเดียวกับที่ผู้เขียนไม่ชอบในภาค 15 คือยิ่งเล่นไปเรื่อย ๆ ความปราณีต ความวิจิตรที่เกมมอบให้มันยิ่งลดน้อยลงไป แม้ผู้เขียนจะสปอยล์อะไรไม่ได้มาก แต่ Rosaria เป็นแผนที่ที่ผู้เขียนประทับใจที่สุด แม้จะมีหลังจากนั้นอีก 1 แผนที่ในช่วงกลางเกม แต่ก็ไม่เท่ากับความผิดหวังในช่วงท้าย ๆ ที่ผู้เขียนได้รับ อันนี้ผู้เขียนไม่รู้ว่าเขาจงใจหรืออะไร แต่แผนที่หลัง ๆ ไม่ได้ดูเก็บงานเรียบร้อยเท่ากับแผนที่แรก วิธีออกแบบดูซ้ำซากอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะแผนที่สุดท้ายที่ผู้เขียนคิดว่า มันจะเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ มืดดำ แต่พอไปเหยียบจริง ๆ มันดันเหมือนแผนที่ก่อน ๆ หน้าผสมกันซะอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่อยู่กันคนละทวีปแท้ ๆ

Gameplay

แอคชันผสม RPG ในสูตรแบบ 50:50 นี่คือสิ่งที่ผู้พัฒนาบอกกับผู้เขียน แต่มันเป็นแบบนั้นจริงมั้ย ผู้เขียนไม่ค่อยแน่ใจ ระบบการต่อสู้หลักของเกมต้องบอกว่ามันคือแอคชันแน่นอน และมันคือแอคชันแท้ไม่ใช่แบบในภาค 15 หรือภาค 7 remake เพราะมันจำเป็นต้องกดคีย์ผสมผสานกันเพื่อให้คอมโบถูกใช้ออกมา ถ้านึกไม่ออกว่าเป็นแบบไหน ให้นึกถึง Devil May Cry แต่มันมีคีย์ที่เข้าใจง่ายกว่า และค่อนข้างช้ากว่าเล็กน้อย ทำให้ไม่ยากนักที่คนเล่นเกมแอคชันไม่เป็นจะเรียนรู้

คีย์หลักของการต่อสู้อยู่ที่ Eikon Ability เหล่าท่าทางที่เหมือนกับสกิลในเกมนี้ แต่ละท่าจะมีความโดดเด่นแตกต่างกัน เมื่อใช้เสร็จจะเกิดคูลดาวน์ ให้นึกถึงท่าจำพวก Magic หรือ Ability ในภาคก่อน ๆ ก็ได้ เพราะมันทำหน้าที่เดียวกัน มีแตกต่างอย่างเดียวคือมันไม่จำเป็นต้องใช้ Source ใด ๆ เลยในการใช้งาน คุณจะร่ายมันออกมาตอนไหนก็ได้ ขอแค่ไม่ได้ติดคูลดาวน์อยู่

Eikon Ability จะเป็นตารางวงกลมที่ผูกติดกับ Eikon แต่ละตัว ในเกมนี้ คุณมีความสามารถในการดูดพลัง Eikon ของบอสมาเก็บไว้ที่ตัวเองได้ ซึ่งการทำแบบนั้นจะปลดล็อค Eikon Ability ชุดใหม่ออกมาให้คุณใช้ ในเกมนี้คุณเซ็ต Eikon ได้สูงสุดเพียง 3 ตัวเท่านั้น เท่ากับว่าจะใช้ Eikon Ability ได้ทั้งหมด 6 สกิล ซึ่งการติดตั้ง Ability จะเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างสายได้เสมอ ขอแค่อย่างเดียวคืออัพเลเวลของ Ability นั้น ๆ ให้ครบ 3 ก่อน

ใครที่เคยเล่น Final Fantasy V มาก่อน น่าจะอ๋อกับระบบนี้ เพราะมันก็คือระบบ Ability ของภาคนั้นนั่นแหละ เพียงแต่มันถูกพัฒนาให้ทันสมัยขึ้น ด้วยการนำค่า AP มาเก็บไว้ที่กองกลาง อยากให้สกิลไหนประสิทธิภาพสูงขึ้น หรือใช้ข้ามสายได้ ค่อยมาอัพเกรดทีหลัง เมื่ออัพเกรดครบแล้ว ก็นำไปใส่ในสายของ Eikon ที่ต้องการ ทำให้เกิดสายการเล่นหลากหลายรูปแบบขึ้น เช่น ถ้าผู้เขียนอยากได้แค่ท่าพุ่งของ Pheonix แต่ไม่อยากได้ Ability อันไหนในสายนี้เลย ผู้เขียนก็แค่ไปอัพ Ability สายอื่นให้เต็ม แล้วเอามาใส่ Pheonix เป็นต้น

นอกจากการต่อสู้ปกติ ตัวเอกในภาคนี้แปลงร่างเป็น Eikon ได้ด้วย ในบางฉาก เราจะถูกบังคับให้แปลงร่าง และจะได้เล่นเป็น ifrit ผู้เขียนบอกตรง ๆ นี่คือส่วนที่ดีที่สุดของเกมเพลย์ เพราะในแต่ละการเผชิญหน้า เกมเพลย์มันจะเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเป็นเกม Rail Shooter เดี๋ยวก็เป็นเกม Fighting โดยการต่อสู้มันจะเป็นแบบ ตัดไปตัดมาระหว่างคัตซีนกับเกมเพลย์ ผู้เขียนคิดว่าเขาทำมาอยู่ในช่วงที่กำลังพอดี กำลังกลมกล่อม คือในระหว่างการต่อสู้ที่อลังการงานสร้าง คัตซีนก็ตัดเข้ามาในช่วงสำคัญพอดี ขณะนั้นก็มีเพลงบิลด์ไปด้วย ปลุกอารมณ์คนเล่นให้พุ่งพล่านขึ้นไปอีก ในช่วงนี้ผู้เขียนจับจอยแน่นมาก เพราะมันมัน มันสะใจ มันเข้าถึง เสียดายที่มันไม่ได้มีให้เล่นเยอะขนาดนั้น แต่คอนเฟิร์มได้ว่า มีให้เล่นตลอดทั้งเกมแน่นอน

อาวุธ ชุดเกราะของภาคนี้ถูกลดความสำคัญให้น้อยลง โดยค่าที่ของสวมใส่มอบให้ได้มีเพียงแค่ 4 ค่าเท่านั้น อาวุธจะให้เพียงแค่ค่า Attack และ Stagger ส่วนกำไลและเข็มขัดจะให้เพียงแค่ Hit Point และ Defend นอกจากนี้ยังใส่เครื่องประดับได้ทั้งหมด 3 ชิ้น โดยเครื่องประดับแต่ละชนิดจะให้สเตตัส หรือออปชันแปลก ๆ ตามแต่ว่าจะเป็นชิ้นไหน ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถคราฟต์เอา หรือจะซื้อเอาก็ได้

ศัตรูในเกมหลัก ๆ จะมีอยู่ 2 ชนิด คือศัตรูธรรมดา กับศัตรูที่มีหลอด Stagger อยู่ด้านล่าง ศัตรูธรรมดาจะชะงักทุก ๆ ครั้งที่ถูกโจมตี ส่วนศัตรูที่มีหลอด Stagger มันจะไม่ชะงักเมื่อถูกโจมตี แต่จะชะงักเมื่อหลอด Stagger ลดเหลือครึ่งหลอด หรือถ้าเราฟันจนหมดหลอด ศัตรูตัวนั้นก็จะล้มลงไปให้เราซ้ำเป็นระยะเวลาหนึ่ง ส่วนใหญ่ศัตรูที่มีหลอดนี้จะเป็นระดับ Elite หรือ Boss

ก่อนหน้านี้ที่ผู้เขียนบอกว่าผู้เขียนไม่แน่ใจกับสิ่งที่ผู้พัฒนาบอก เพราะสำหรับผู้เขียน มันคือเกมแอคชันแบบ 70% คือแทบจะใช้ฝีมือเป็นหลัก ไอเท็มสวมใส่ไม่ได้ส่งผลอะไรมากขนาดนั้น บางทีอาจส่งผลไม่เกิน 30% ด้วยซ้ำ ในการเล่นโหมด Action Focused คุณจะสังเกตได้เลยว่า ไม่ว่าคุณจะใส่ไอเท็มป้องกันดีขนาดไหน ศัตรูก็หวดคุณได้แรงใกล้ ๆ กัน หรือไม่ว่าคุณจะใส่อาวุธระดับเทพขนาดไหน คุณก็หวดศัตรูไม่ได้แรงมากอยู่ดี 

ส่วนตัวผู้เขียนเป็นคนชอบเกมแอคชัน และคิดว่ามันเหมาะสมแล้วกับเกมนี้ ลองจินตนาการดูว่า ในคัตซีนแค้นกันจะเป็นจะตาย ดวลดาบซัดกันโป้งป้าง พอตัดเข้าฉากต่อสู้ มานั่งเลือกคำสั่งซะงั้น การต่อสู้ในภาคนี้มันเลยตอบโจทย์ในด้านความอิน 

แต่อุปสรรคที่ผู้เขียนว่าน่ารำคาญที่สุดในเกมเลย คือความอึดของศัตรู ผู้เขียนไม่รู้ว่าเขาคำนวณ Hit Point กันยังไง เวลาคุณเจอมอนสเตอร์ประเภท Elite มันจะต้องตึงมือทุกครั้งทุกที ในสถานการณ์ของการลงดันเจี้ยนผู้เขียนก็พอเข้าใจ แต่ในสถานการณ์แบบ เดินอยู่บนแผนที่ปกติแล้วไปเจอ Elite เนี่ย แม้มันจะไม่ได้โจมตีแรงจนผู้เขียนตายภายในสองที แต่การที่ผู้เขียนจะฆ่ามันได้ ผู้เขียนต้องวนสกิลอย่างต่ำสี่รอบ คิดดูว่ามันอึดแค่ไหน ขนาดท้ายเกม ได้ Odin มาแล้ว ใช้สกิลสุดโกงประจำตัวเลเวล 4 ดาเมจครึ่งแสน บางตัวมันยังไม่ตายให้เลย แล้วดาเมจพระเอกฟันทีแค่ 5-6 ร้อย ลองคิดดูว่ามันจะเสียเวลาขนาดไหน

นอกจากเสียเวลาแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ก็ชวนหัวเสียด้วย เพราะค่าตอบแทนที่ได้มันไม่ต่างอะไรกับการตีมอนธรรมดา อีกอย่าง ไอเท็มดรอปของภาคนี้มันยังไม่มีประโยชน์ นอกจากการเอาไปคราฟต์อาวุธชุดเกราะ ซึ่งมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก เพราะเราซื้อของพวกนี้ได้ที่ร้านค้าอยู่แล้วในราคาถูก ๆ จะมานั่งตีเป็นสิบนาทีไปเพื่ออะไร

หรือถ้าเอาแบบไม่ใช่เงินเลย ฟาร์มของพวกนี้มาเพื่อคราฟต์อาวุธชุดเกราะล้วน ๆ ผู้เขียนก็ยังคิดว่ามันไม่มีประโยชน์ เพราะอย่างที่บอก อาวุธกับชุดเกราะเกมนี้มันเพิ่มสเตตัสเพียงสี่ค่าเท่านั้น และการเพิ่มไม่ได้เป็นการเพิ่มแบบก้าวกระโดด สิ่งที่ผู้เขียนเสียใจที่สุดคือ มันไม่มีไอเท็มชิ้นไหนเปลี่ยนสไตล์การเล่นให้โดดเด่นขึ้นได้ คุณใช้ดาบเล่มไหนก็เหมือนกัน แม้จะเป็นดาบในตำนานอย่าง Ragnarok หรือ Excalibur มันไม่มีธาตุ ไม่มีเอฟเฟกต์พิเศษ ไม่มีอะไรทั้งนั้น มีแค่พลังโจมตีที่มากกว่าดาบปกติ และถ้าคุณเล่นไปอีกสักพัก ดาบปกติที่ขายในร้านก็จะพลังโจมตีมากกว่าดาบในตำนานได้เช่นกัน

Performance

ใครที่กังวลกับ Performance ในช่วง Demo กลัวว่าในเกมจริงมันจะยิ่งแย่กว่าเดิม อันนี้ผู้เขียนคอนเฟิร์มให้ได้ว่ามันดีกว่าเดิม แม้โดยรวมเขาจะมีอยู่สองโหมด คือ Quality กับ Performance โหมด Quality นี่ถ้าใครเล่น 30 เฟรมได้ก็หายห่วง เพราะมันเป็นโหมดที่ไม่ค่อยมีปัญหา ภาพสวย แสงดี เฟรมเรทคงที่ แต่มันจะไม่มีทางพุ่งมาเกิน 30 เฟรมแน่ ๆ ฉะนั้นใครไหวผู้เขียนก็แนะนำให้เล่นโหมดนี้

ส่วน Performance ที่ทุกคนคิดว่าจะมีปัญหา ปัญหามันน้อยลงกว่าเดิมมาก ต้องขอบคุณแพทช์อัพเดต 300 เม็ก ที่เขาปล่อยออกมาไม่กี่วันก่อน ทำให้ประสิทธิภาพมันดีกว่าเดิม ในช่วงแรกที่ผู้เขียนเล่น มันมีอาการต่ำกว่า 30 เฟรม จนบางครั้งภาพมันแลค ซึ่งถ้าตาผู้เขียนเห็นว่าแลค แปลว่ามันต่ำกว่า 30 เฟรมแน่ ๆ แต่ตั้งแต่อัพเดตมา ผู้เขียนยังไม่เจออาการนี้ แต่ก็ต้องแลกกับ Texture ในระยะไกลที่ห่วยกว่าเดิม อันนี้ผู้เขียนเข้าใจว่ามีได้มันก็ต้องมีเสีย แต่ผู้เขียนว่าเสียแค่นี้คงไม่เป็นไร เพราะส่วนที่ห่วย เราแทบไม่ได้สังเกตกันอยู่แล้ว

ในเรื่องบั๊ก ต้องบอกว่าน่าแปลกที่ Final Fantasy 16 มันไม่มีบั๊กเลย คือตั้งแต่ผู้เขียนเล่นมา ผู้เขียนยังไม่เจอบั๊กอะไรแปลก ๆ เกี่ยวกับเกมนี้ การเด้งหลุดไม่มี ไม่เคยเจอ ตลอด 40 ชั่วโมง มีแค่ครั้งเดียวที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นแต่ไม่น่าใช่ มันคือการที่ผู้เขียน Aggro มอนสเตอร์อีกฝั่งแม่น้ำ แล้วไม่สามารถตีกันได้เพราะแม่น้ำขวางอยู่ วิธีแก้ก็ง่าย ๆ แค่เดินออกมาให้พ้นระยะก็จบแล้ว โดยรวมคือเขาเก็บงานได้ดี แม้จะมีติดขัดเรื่องเฟรมเรทอยู่บ้าง แต่ผมว่ามันจะไม่มีปัญหาอะไรกับเนื้อหาโดยรวมแน่นอน

Conclude

Final Fantasy XVI มีทุกองค์ประกอบที่คุณต้องการ เนื้อเรื่องเข้มข้น เกมเพลย์สดใหม่ แต่มันยังมีบางอย่างที่ไปไม่สุด ส่วนหนึ่งก็ยอมรับว่าเขาทำมาดึงดูดฐานแฟนใหม่ แต่แฟนเก่า ๆ เขาจะยังชอบอยู่มั้ย อันนี้ผู้เขียนว่าต้องลองดู

รีวิว Final Fantasy XVI

8.5 / 10 คะแนน

8.5

ข้อดี

  • เรื่องราวเล่าเป็นเส้นตรง ไม่เสียเวลา
  • เป็นเกมแอคชันที่ดี
  • การคุมโทน การจัดแสง และการออกแบบที่น่าทึ่ง

ข้อเสีย

  • ปัญหาด้าน Perfomance
  • มีหลายส่วนที่น่าจะสามารถพัฒนาไปสุดทางได้มากกว่านี้

Nattapit Arsirawatvanit

มาร์ค - Senior Content Writer

Back to top