BY Zreast
31 Jan 22 7:43 pm

รีวิว Pokemon Legends: Arceus ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สู่โลกที่จับต้องได้ยิ่งกว่าที่เคย

326 Views

กลับมาอีกครั้งสำหรับภาคต่อของแฟรนไชส์ยอดฮิตตลอดกาลอย่าง Pokémon ซึ่งคราวนี้ก็ต้องบอกว่าสร้างเสียงฮือฮาได้เป็นอย่างมากทีเดียว เพราะภาพแรกที่เราได้เห็นก็คือประสบการณ์สำรวจโลกกว้างที่น่าตื่นตา พร้อมกับกราฟิก 3D ดูจับต้องได้ และชื่อภาคอันแสนจะมีเสน่ห์อย่าง “Pokémon Legends: Arceus”

อะไรคือจุดเปลี่ยนของ Pokémon ภาคนี้ จนทำให้มันกลายเป็นอีกหนึ่งเกมบน Switch ที่ควรค่าแก่การหามาลอง ขอเชิญมาร่วมหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันได้ในบทความรีวิวของเรา

เนื้อเรื่อง

Pokemon Legends Arceus

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นจากการที่ Rei (ตัวเอกชาย) หรือ Akari (ตัวเอกหญิง) ถูกเชื้อเชิญโดยตัวตนปริศนา และเดินทางมายังโลกอีกใบหนึ่งที่ไม่คุ้นเคย ซึ่ง ณ ที่แห่งนี้ก็คือ “Sinnoh” อาณาจักรอันเป็นที่อาศัยของเหล่าโปเกมอนหลากหลายสายพันธุ์ และมีอารยธรรมที่ดูจะยังไม่ได้เจริญมากนัก

ไม่นานหลังร่วงหล่นมาจากท้องฟ้า เราก็ได้รับความช่วยเหลือโดย Professor Laventon ผู้ทำวิจัยเกี่ยวกับโปเกมอน และเสนอที่พักอาศัยให้ โดยแลกกับการมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมบุกเบิกที่กำลังออกค้นหาและศึกษาเหล่าโปเกมอนเพื่อเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ซึ่งขณะเดียวกันตัวผู้เล่นเองก็จะได้สะสมโปเกมอนให้ครบ เพื่อเป็นหนทางสู่การตามหา “ตัวตนปริศนา” ที่เรียกเขา (หรือเธอ) มายังโลกแห่งนี้ด้วย

Pokémon Legends: Arceus มีฉากหลังอยู่ในเขต Hisui สมัยโบราณ ซึ่งเป็นช่วงเวลาหนึ่งศตวรรษก่อนภาค Diamond & Pearl ที่ผู้คนยังไม่ได้รู้จักกับโปเกมอนมากนัก และโลกภายนอกยังเป็นพื้นที่อันตรายสำหรับคนทั่วไปอยู่ นี่จึงเป็นเหมือนการย้อนไปสู่จุดเริ่มต้นที่เราจะได้ทำความรู้จักกับโปเกมอน, เก็บรวบรวมข้อมูลของพวกมัน เพื่อบุกเบิกอารยธรรมและสร้าง Pokédex อันแรกขึ้นมาให้สำเร็จ

ด้วยเหตุนี้เอง ภาคนี้จึงเหมาะสำหรับมือใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้ามาสู่แฟรนไชส์มาก เพราะทุกอย่างล้วนแต่อยู่ในช่วงแรกเริ่มทั้งสิ้น และทุกคนก็ต่างต้องเรียนรู้ไปด้วยกัน ผ่านการเล่าเรื่องราวที่เนิบนาบในช่วงต้น แต่จะค่อย ๆ เร่งจังหวะจนน่าติดตามมากขึ้น หลังจากที่ผู้เล่นได้ออกสำรวจไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ และได้เบาะแสของตัวตนปริศนานี้เพิ่มเติมมาแล้ว

การนำเสนอ

Pokemon Legends Arceus 9

โปเกมอนภาคนี้แฝงกลิ่นอายของญี่ปุ่นยุคโบราณเอาไว้ในหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของตัวละคร รวมไปถึงอาคารบ้านช่อง ซึ่งก็ทำให้เรารู้สึกได้ถึง “ความแตกต่าง” จากทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา

สำหรับจุดที่ทำให้หลายคนสนใจมาก ๆ นั่นก็คือผู้เล่นจะได้ออกสำรวจไปในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยอิสระ และเราจะมองเห็นโปเกม่อนกันเป็นตัว ๆ ตามขนาดที่ควรจะเป็นจริง ๆ กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นที่ด้วยพฤติกรรมอันต่างกันออกไป บางตัวก็อยู่นิ่งพร้อมให้จับแต่โดยดี, บางตัวก็จะพยายามหนีจากเรา และต้องใช้วิธีลอบเร้นแทน ขณะที่บางตัวก็พร้อมจะจู่โจมได้ทุกเมื่อที่พบหน้า

เท่านั้นยังไม่พอ การจับโปเกมอนแต่ละตัว เราก็จะต้องเล็งและขว้างลูกโปเกบอลออกไปเองอีกด้วย และความอิสระตรงนี้นี่เอง เลยทำให้ทีมงานสามารถใส่ลูกเล่นสนุก ๆ เข้ามาได้ อย่างเช่น “Secret Back Strike Technique” หรือก็คือการปาบอลใส่โปเกมอนที่กำลังหันหลังอยู่เพื่อสร้างความได้เปรียบในตอนเริ่มฉากต่อสู้ ซึ่งถ้าเป็น Gameplay แบบเดิม ๆ เหมือนภาคอื่นก็คงทำอะไรแบบนี้ไม่ได้แน่

ด้วยสิ่งเหล่านี้เอง จึงเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นเทรนเนอร์ที่ออกไปจับโปเกมอนอยู่จริง ๆ และดูจับต้องได้ในทุกจุดภายในเขต Hisui อันกว้างใหญ่

ทั้งนี้ทีมผู้สร้างก็เคยออกมายืนยันว่าตัวเกมไม่ได้นำเสนอในรูปแบบ Open-World อย่างที่หลายคนเข้าใจตอนเปิดตัวใหม่ ๆ เพราะที่จริงแล้วพื้นที่ในเกมยังมีการแบ่งออกเป็นหลายโซนอยู่ และผู้เล่นจะต้องเลือกเดินทางไปสำรวจในแต่ละโซนแบบเจาะจง ซึ่งมีความกว้างใหญ่มากจนดูเหมือนเป็นเกม Open-World จริง ๆ นั่นเอง

2022013002494000 S

ในอีกมุมหนึ่ง Pokémon Legends: Arceus ก็เป็นภาคที่ถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายบนโลกอินเทอร์เน็ต เพราะด้วยฉากหลังที่วางไว้เป็นยุคบุกเบิกแบบนี้ ทำให้พฤติกรรมของโปเกมอนมันดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย จนถึงขนาดที่ว่ามีหลายตัวเข้ามาจู่โจมเทรนเนอร์โดยตรง (บรรดา Alpha Pokémon ที่เป็นโปเกมอนตาสีแดง) กลายเป็นประสบการณ์ฮา ๆ แปลก ๆ ที่จากเดิมผู้เล่นต้องล่าตามจับโปเกมอน คราวนี้ก็กรรมตามสนอง กลายเป็นฝ่ายเราเสียเองที่ต้องเอาชีวิตรอดจากการโดนโปเกมอนไล่ขวิดอย่างโหดร้ายทารุณ

ระบบการเล่น

Pokemon Legends Arceus 3

อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าตัวเกมไม่ได้เป็น Open-World เต็ม 100% ดังนั้นระบบ Gameplay จึงถูกออกแบบมาให้เข้ากับการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 5 โซนใหญ่ ๆ ซึ่งหวยก็มาตกอยู่ที่ระบบการ “รับภารกิจ” ในลักษณะเดียวกันกับเกมตระกูล Monster Hunter

ระบบภารกิจของภาคนี้เข้าใจได้ง่ายมาก ผู้เล่นจะต้องมาตั้งหลักที่หมู่บ้านก่อน เพื่อเลือกภารกิจที่ตนต้องการ จากนั้นก็มุ่งออกไปยังพื้นที่เป้าหมายเพื่อทำให้ลุล่วง ซึ่งภารกิจส่วนใหญ่ก็จะหนีไม่พ้นการต้องไปต่อสู้กับโปเกมอนตัวโหด หรือจับพวกมันตามเงื่อนไข แต่ขณะเดียวกันก็จะมีภารกิจย่อย ๆ จาก NPC คนอื่นที่มาไหว้วานเรื่องเล็กน้อยกับเราในระหว่างทางอยู่ด้วย เช่นเก็บรวบรวมวัตถุดิบต่าง ๆ ให้ครบตามจำนวน เป็นต้น

เมื่อเสร็จภารกิจแล้ว ผู้เล่นก็สามารถกลับมารายงานกับ Professor เพื่อสรุปผลการสำรวจ ว่าเราจับหรือวิจัยโปเกมอนอะไรใหม่ ๆ มาได้บ้าง และรับแต้ม Research Point กลับมาเป็นรางวัลตอบแทนเพื่ออัปเกรดระดับของเทรนเนอร์ต่อไป

และด้วยรูปแบบการเล่นเช่นนี้ ก็ทำให้ตัวเกมไม่มีระบบยิมเหมือนกับภาคก่อน ๆ อีกต่อไป หากแต่การต่อสู้ครั้งใหญ่ของเราจะเกิดขึ้นไปตามเนื้อเรื่องเอง ดังนั้นเนื้อเรื่องหลักจึงมีส่วนสำคัญมาก และเพื่อให้มันดำเนินต่อไปได้ เราก็จะต้องพัฒนาตัวเองให้ถึงเงื่อนไข โดยการเพิ่มระดับเทรนเนอร์จากการสำรวจโปเกมอนใหม่ ๆ และอัปเลเวล/วิวัฒนาการโปเกมอนของเราให้แข็งแกร่งพอที่จะเอาชีวิตรอดในโลกภายนอกได้

ในส่วนของระบบการต่อสู้, Pokémon Legends: Arceus ยังคงมาในรูปแบบของ Turn-Based อันคลาสสิค ผลัดกันโจมตีเหมือนเดิม ที่ต่างไปจากเดิมก็คือคราวนี้จะมีระบบคิวมาให้ดูว่าโปเกมอนตัวไหนจะออกท่าเป็นรายต่อไป ทำให้สามารถวางแผนล่วงหน้าได้

Pokemon Legends Arceus 7

นอกจากนี้ตัวผู้เล่นก็ไม่ต้องยืนเฉย ๆ เพราะเราจะเดินไปตรงมุมไหนก็ได้ในฉากต่อสู้ กลายเป็นว่าผู้เล่นสามารถเลือกมุมกล้องต่อสู้ได้เองแบบเท่ ๆ และยืนออกคำสั่งให้โปเกมอนออกท่าโจมตี ด้วยรูปแบบที่มีให้เลือกทั้ง Strong เน้นพลังทำลาย และแบบ Agile ที่เน้นความคล่องตัว

ภาพรวมที่ออกมาจึงเป็นระบบการต่อสู้ที่ไม่ทิ้งแบบแผนเดิมของเกมตระกูลโปเกมอนไปแต่อย่างใด ยังคงมีระบบแพ้ชนะธาตุที่ทำให้เราต้องจัดวางกลยุทธ์และคำนวณความเสียหายของแต่ละท่าให้ดี ขณะเดียวกันก็มีความสดใหม่จากการบังคับตัวเทรนเนอร์ได้อย่างอิสระอยู่ด้วย

ไม่เพียงแต่โปเกมอนเท่านั้นที่ต้องสู้ เพราะเกิดเป็นเทรนเนอร์ในภาคนี้ก็ต้องสู้กับเขาด้วยเหมือนกัน นอกเหนือจากที่ต้องคอยหลบบรรดา Alpha Pokémon ตัวโฉดตามฉากแล้ว ก็ยังมีฉากต่อสู้แบบบังคับกับเหล่า “Noble Pokémon” ซึ่งเป็นโปเกมอนระดับบอสที่เทรนเนอร์จะต้องปาไอเท็มใส่มันรัว ๆ ก่อนจนกว่าเกจพลังจะหมด และหยุดความคลุ้มคลั่งของพวกมันลง

Pokemon Legends Arceus 6

การเผชิญหน้ากับ Noble Pokémon แบบตัวต่อตัว เราจะต้องคอยจับแพทเทิร์นการโจมตีของพวกมันเพื่อกลิ้งหลบให้ถูกต้อง เลยดูเป็นประสบการณ์ที่แปลกสุด ๆ ทีเดียวสำหรับซีรีส์นี้ ประดุจกำลังสู้กับบอสในเกมแอคชัน RPG กันอยู่ก็ไม่ปาน

ในด้านของระบบอำนวยความสะดวกภายในเกมก็ถือว่าสอบผ่านฉลุย เพราะแม้ช่วงแรกจะดูทุลักทุเลและกินเวลากับการสอนฟีเจอร์ต่าง ๆ ไปบ้าง แต่สักพักหนึ่งก็จะเริ่มเล่นง่ายขึ้น เพราะมีทั้งระบบขี่โปเกมอนเพื่อเดินทางอย่างรวดเร็ว และระบบ Fast Travel ที่ก็ปลดล็อคออกมาได้ถูกจังหวะ ในตอนที่ผู้เล่นน่าจะรู้สึกเหนื่อยกับการวิ่งไปวิ่งมาด้วยขาของตัวเองพอดี

ประสิทธิภาพ

Pokemon Legends Arceus 6

แม้ว่า Pokémon Legends: Arceus จะนำเสนอกราฟิกในโลกกว้างได้อย่างน่าตื่นตา แต่ก็ต้องบอกว่ามันยังดูตกยุคอยู่ไม่น้อย ตัวเกมขาดรายละเอียดสภาพแวดล้อมไปเยอะมาก มีหลายฉากที่ดูแบนเรียบจนไม่ชวนมอง อีกทั้งยังมีอาการภาพแตกที่เห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า ไม่ว่าจะเล่นแบบโหมดพกพาหรือต่อเข้ากับทีวีก็ตาม

จะบอกว่า “ต้องยอมรับสภาพเพราะเครื่อง Nintendo Switch มันทำได้แค่นี้” ก็ดูจะฟังไม่ขึ้นเท่าไรนัก เพราะในภาคก่อนหน้าอย่าง Pokémon Sword and Shield ที่ออกวางขายในปี 2019 กลับทำกราฟิกและแสงเงาได้ดีกว่าแบบชัดเจน ดังนั้นถ้าเราต้องสละกราฟิกสวย ๆ จากภาคก่อน เพื่อให้ได้มาซึ่งแผนที่อันกว้างใหญ่แบบในภาคนี้ มันก็ดูจะเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่คุ้มสักเท่าไรนัก

สิ่งที่พอจะชดเชยงานภาพของตัวเกมได้บ้าง ก็คือการเลือกใช้โทนสีที่ทีมงานตั้งใจเกรดมาอย่างดี ทำให้ทุก ๆ แผนที่นั้นมีสีสันที่สวยงาม (โดยเฉพาะสีของท้องฟ้า) ไม่ว่าจะเป็นช่วงกลางวัน ช่วงเย็น และกลางคืน รวมไปถึงทุกแผนที่ก็ยังให้สีที่เป็นไปในธีมเดียวกันอยู่เสมอด้วย ทำให้ภาพลักษณ์ที่ออกมาดูกลมกลืน เรียบง่าย แต่บางครั้งก็เรียบแบบไร้ Texture เกินไปจนน่าใจหาย

Pokemon Legneds Arceus 4

ในด้านของ Framerate ก็ไม่ได้เหนือไปกว่าที่หลายคนคาดเอาไว้ เพราะตัวเกมทำได้อยู่ที่ 30 FPS ตามปกติของเกมบน Nintendo Switch ซึ่งก็ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ตามข้อจำกัดของฮาร์ดแวร์ในปัจจุบัน ขณะที่ระยะการมองเห็นวัตถุก็ไกลพอประมาณ มีอยู่น้อยครั้งเท่านั้นที่จะเรนเดอร์วัตถุไม่ทันเมื่อผู้เล่นเข้าใกล้

สรุปโดยรวม

Pokemon Legends Arceus 1

Pokémon Legends: Arceus เป็นผลงานจากการสั่งสมประสบการณ์กว่า 25 ปีของทีมงาน Game Freak จนตัวเกมออกมาเข้าถึงมือใหม่ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังฉีกขนบเดิมและนำพาแฟรนไชส์ไปสู่รูปแบบ Gameplay ใหม่ ๆ ที่ก็ยังคงไม่ทิ้งเอกลักษณ์ของระบบการต่อสู้แบบ Turn-Based ไปแต่อย่างใด

แม้ว่าจะมีความขลุกขลักกับงานกราฟิกอยู่บ้าง แต่ด้วยระบบการเล่นที่ส่งเสริมกันอย่างดี จนชวนให้อยากออกไปวิ่งเล่นและสำรวจแบบต่อเนื่องไม่มีพัก ก็ทำให้นี่คือโปเกมอนภาคที่ควรค่าแก่การได้ลอง จับต้องได้ และมีชีวิตชีวามากเสียยิ่งกว่าทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา

จุดเด่น

– ระบบการเล่นมีความสร้างสรรค์ ชวนให้ติดพันจนอาจจะเล่นเพลินแบบลืมเวลา
– แผนที่ขนาดใหญ่ (ใหญ่มากมาก) วิ่งเล่นกันได้เต็มอิ่ม
– เนื้อเรื่องที่น่าสนใจ นำเสนออย่างมีมิติ และเชื่อมโยงกันกับภาคก่อนหน้า
– ทุกอย่างแทบเริ่มต้นจาก 0 มือใหม่จึงเล่นได้ไม่มีปัญหา
– แม้ตัวเกมจะอยู่ในยุคโบราณ แต่หน้าตา UI ก็ดูทันสมัย อีกทั้งยังใช้งานง่ายในหลายส่วน

จุดด้อย

– กราฟิกที่ดูตกยุคสำหรับเกมในปี 2022
– ขาดระบบต่อสู้แบบ Multiplayer และทำได้แค่เทรดโปเกมอนระหว่างกันแบบออนไลน์เท่านั้น
– ช่วงเริ่มต้นค่อนข้างยืดยาด ต้องเล่นไปสักพักกว่าเครื่องจะติดและสนุกกันยาว ๆ

Score : 8 / 10

Satthathan Chanchartree

ฟ่าง - Content Writer

Back to top