BY Aisoon Srikum
26 Nov 24 11:30 am

รีวิว Arcane Season 2

532 Views

Arcane

Arcane ในซีซั่นที่สองดำเนินเรื่องราวต่อจากซีซั่นแรกแทบจะในทันที (ต่างจากผู้ชมเหลือเกินที่ต้องรอกันถึง 3 ปีเต็ม) หลังจาก Super Mega Death Rocket ของ Jinx ได้ถล่มสภา Piltover ก็ไม่ต่างอะไรจากการจุดไฟสงคราม ชะตากรรมของหลากหลายตัวละครวนมาบรรจบและขมวดเป็นปมลากยาวต่อไปอีก 9 ตอนในซีซั่นที่ 2 นี้

ด้านของการดำเนินเนื้อเรื่องหรือบทบาทตัวละคร ยังคงต้องชมทีมมือเขียนบทที่สามารถเล่าเรื่องจากจักรวาลเกมอันยิ่งใหญ่ให้สามารถดูง่าย เข้าใจง่าย ส่วนหนึ่งที่ Arcane ประสบความสำเร็จนั้น เพราะการสร้างเนื้อเรื่องที่แม้แต่แฟน ๆ ทั่วไปที่ไม่เคยเล่น หรือสัมผัสโลกของ League of Legends มาก่อน ยังสามารถที่จะเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ของโลกภายในเกมได้ และอินไปกับตัวละครต่าง ๆ ได้ ทั้งที่มีการหยิบยกเอาหลากหลายตัวละครจากเกมมาเป็นคีย์หลักในการดำเนินเรื่อง ด้านแฟน ๆ ที่เล่นเกมอยู่แล้วก็คงประทับใจกันไม่น้อย ที่ได้เห็นตัวละครตัวโปรดของตัวเอง ได้มามีชีวิตอยู่บนซีรีส์แอนิเมชัน และตัวละครใหม่บางตัวที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อเล่าเรื่องซีรีส์ชุดนี้โดยเฉพาะก็มีเช่นกัน

ตัวซีรีส์เองยังสอดแทรกประเด็นความเหลื่อมล้ำของการชนชั้น และการเมืองได้แนบเนียนจนบางทีเราก็ลืมไปเลยว่า นี่คือต้นเหตุเกือบจะทั้งหมดของเรื่อง ถึงจะต้องถูกกระตุ้นให้ไปต่อด้วยเหตุการณ์บางอย่างที่ Out of Control แต่มันก็ยังเข้มข้น และสมเหตุสมผลในระดับหนึ่งด้วย ขึ้นชื่อพลังอำนาจและการปกครองมันไม่เข้าใครออกใคร และหลายครั้งที่เราจะได้เห็นว่าคนเดือดร้อนจริง ๆ หนีไม่พ้นประชาชนคนธรรมดาที่ต้องรับผลกระทบไปโดยที่พวกเขาบางคนอาจไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำไป

สองตัวเอกอย่าง Vi และ Jinx คือสองฮีโร่จากจำนวนนับร้อยที่ถูกหยิบมาเป็นตัวละครหลัก ซึ่งเป็นสองตัวละครที่เราได้เห็นพัฒนาการกันพอสมควร โดยเฉพาะ Jinx ที่มีหลากหลายมิติของตัวละคร จากเด็กที่รู้สึกผิดที่พาเพื่อนตัวเองไปตาย และโดนเกลียดจากคนที่เธอยึดมั่นว่าเป็นพี่สาว แต่ในซีซั่น 2 นี้ การมีตัวละครอย่าง Isha ทำให้เราได้เห็นว่า เธอก็ไม่ใช่คนคลั่งเสียสติไปซะหมด ในขณะที่ Vi ก็เป็นอีกตัวละครที่ต้องต่อสู้กับจิตใจตัวเองอยู่บ่อยครั้ง เพราะการยึดมั่นในความถูกต้อง รวมไปถึงปัญหาหัวใจของตัวเธอเอง ด้วยประเด็นต่าง ๆ ยิบย่อย ทำให้สองตัวเอกนี้ไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดา คิดได้ เจ็บเป็น มีรักโลภโกรธหลงไปตามปกติ

และไม่ใช่แค่สองพี่น้องคู่นี้ แต่ตัวละครหลักอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Jayce, Viktor, Caitlyn, Ekko, Heimerdinger, Vander และอื่น ๆ อีกมากมายที่ถ้าเขียนชื่อจนครบ บทความนี้คงยาวขึ้นอีกหลายพารากราฟ ที่ต่างมีบทบาทที่โดดเด่นและเป็นกุญแจขับเคลื่อนเนื้อเรื่องที่สำคัญทุกคน เห็นได้ชัดว่า การที่สามารถทำให้ผู้ชมทั่วไปที่ไม่ได้เล่นเกม League of Legends (อย่างน้อยก็ตัวผู้เขียนเอง) สามารถจดจำตัวละครต่าง ๆ ได้มากมายถึงเพียงนี้ ก็คือข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งว่า พวกเขาประสบความสำเร็จมากแค่ไหน ในการดัดแปลงจักรวาลเกมมาทำเป็นซีรีส์

เรื่องของงานภาพ ใครที่คิดว่าซีซั่นแรก ดุเดือด อลังการแล้ว เจอซีซั่น 2 เข้าไป ยิ่งฟิน มันอาจไม่ใช่การยกระดับจนเห็นความแตกต่าง แต่เลือกการนำเสนอได้ถูกจังหวะจะโคน ถูกสถานการณ์ ฉากการต่อสู้ ฉากเล่าเรื่อง ฉากหลัง หรือฉากใดก็ตาม เมื่อทุกอย่างถูกใส่เข้ามาได้ถูกช่วงเวลาและพอดิบพอดี อะไรมันก็ดีงามและลงตัวไปหมด ซึ่งจากเบื้องหลังเห็นว่ามีบางช่วง บางซีน หรือบางแอ็คชันที่ใช้การวาดมือ ยิ่งตอกย้ำว่าทีมสร้างสตูดิโอนี้ยอดเยี่ยมแค่ไหน

การแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 Act / Act ละ 3 ตอน ออกฉาย 3 สัปดาห์ อันนี้ถือว่าอาจจะเป็นแนวทางใหม่ให้กับคนที่จะทำแอนิเมชัน หรือแม้กระทั่งซีรีส์เรื่องอื่น ๆ เลยก็ได้ แต่ต้องรู้จักการนำเสนอแบบถูกจุดให้กับผู้ชม เพราะไม่ว่าจะเป็นซีซั่น 1 หรือ 2 ของ Arcane ด้วยการเล่าเรื่องแต่ละองก์ให้มีจุดเปิด จุดกลาง จุดปลาย และจบด้วยอารมณ์ค้างคาในแต่ละสัปดาห์ เป็นตัวกระตุ้นให้แฟน ๆ ถกเถียงพูดคุยกัน และอยากดูต่อ รวมไปถึงได้ใช้เวลาในการตกตะกอน ตกผลึกความคิดถึงเนื้อหาที่เพิ่งผ่านพ้นไป และทำความเข้าใจกับมันมากขึ้น ไม่แน่ว่ามันอาจจะเป็นมาตรฐานใหม่ให้กับซีรีส์หรือหนังแอนิเมชันบางเรื่องต่อไปได้ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม Arcane อาจไม่ได้สมบูรณ์แบบเต็มสิบไม่หัก ผู้เขียนรู้สึกว่าบทสรุปของซีรีส์เรื่องนี้ แม้จะทำออกมาได้สาสมใจและอิ่มเอมใจผู้ชม แต่เหมือนกับทุกอย่างต้องรีบสรุปเรื่องราวในตอนสุดท้ายของซีซั่น 2 ที่แม้จะมี Runtime ที่นานพอสมควร แต่ผู้เขียนรู้สึกว่ามันยังขาดอะไรหลาย ๆ อย่างไป แต่มันไม่ได้น่าขัดใจมากนัก เพียงแต่รู้สึกว่าถ้าบทสรุปมันละเมียดละไมกว่านี้สักเล็กน้อย มันจะเข้าขั้นสมบูรณ์แล้ว รวมไปถึงการขยี้อารมณ์ผู้ชมในบางจุดก็เหมือนจะไม่กล้าใส่สุดเท่าที่ควร แต่ขอย้ำอีกครั้งว่าแม้มันจะเป็นจุดติ แต่มันก็เป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าเทียบกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่ดำเนินมาตั้งแต่ต้นจนจบ กินเวลากว่าสามปีเต็ม มันคืออีกซีรีส์แอนิเมชันระดับคุณภาพที่ไม่ว่าใครก็ไม่ควรพลาดจริง ๆ

 

Aisoon Srikum

Back to top