BY Aisoon Srikum
Less than a minute ago

รีวิว Assassin’s Creed Shadows

0 Views

แฟรนไชส์ภาคีมือสังหารห่างหายจากภาคหลักไปนานกว่า 5 ปีเต็ม การกลับมาครั้งนี้จะเป็นยังไง และเชื่อว่านี่คือเกมที่หลายคนรอคอยรีวิวจากเรามากที่สุด ขอเชิญพบกับ Assassin’s Creed Shadows Article Review

สเปคคอมพิวเตอร์ที่ใช้รีวิว

Motherboard: MSI PRO Z790-A

CPU: Intel Core i9 13900K

GPU: NVIDIA GeForce RTX 5090

RAM: Corsair Dominator platinum RGB 32GB 6200MHz

SSD: Samsung SSD 980 PRO 2TB

PSU: Thermaltake GF3 1000W

Monitor: MSI 321URX QD-OLED

ปรับภาพระดับสูงสุดทั้งหมดในเกม ใครใช้สเปคเครื่องต่ำกว่านี้ หรือเลือกใช้สเปคเครื่องตามที่เกมแนะนำ และตั้งค่าต่างจากผู้เขียนก็อาจจะได้ประสบการณ์การเล่นที่ต่างกันไป

  • ความยากของเกมอยู่ที่ระดับ Normal
  • ความยากการลอบเร้นที่ระดับ Normal
  • เปิดใช้งาน Guaranteed Assassination
  • เปิด Aim Assist ระดับ Moderate
  • เล่น Canon Mode โดยไม่มีการเลือกถามตอบเอง

เนื้อเรื่อง – สองชะตากรรมที่พลิกผันระหว่างซามูไรคนดำและทายาทตระกูลมือสังหาร

Assassin’s Creed Shadows เล่าเรื่องราวในช่วงปี 1579 ปลายยุคสมัยเซนโกคุที่ถือเป็นยุคสมัยแห่งความโกลาหล จนการมาของชายชื่อโอดะ โนบุนากะ ที่ต้องการรวมแผ่นดินญี่ปุ่นให้เป็นหนึ่งเดียว ทำให้เขาเปิดฉากทำการสู้รบกับไดเมียวแคว้นต่าง ๆ

ในขณะเดียวกันคณะเยสุอิตที่นำโดย Alessandro Valignano (อเลกซานโดร วาลินญาโน) ที่มีชายผิวดำตามมาด้วยในฐานะผู้ติดตาม คณะเยสุอิตขอเข้าพบโนบุนากะเพื่อขอเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในญี่ปุ่นอย่างอิสระ โนบุนากะตอบตกลงแต่มีเงื่อนไขคือ เขาต้องการรับตัวชายผิวดำคนนี้ไปไว้แทนเพราะสนใจในสัญชาตญาณนักรบในตัวเขา นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของชายที่เป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์ภายหลังว่า Yasuke

อีกด้านหนึ่ง กองทัพของชาว Iga (อิกะ) ที่ต่อต้านการรุกรานของทัพโนบุนากะ หนึ่งในนั้นมี Naoe (นาโอเอะ) เธอต้องการพิสูจน์ตนเอง รวมไปถึงช่วยเหลือกองกำลัง โดยไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์นี้จะนำไปสู่หายนะ แต่โชคชะตาได้พาเธอไปพบกับ Yasuke ในภายหลัง

ส่วนของเนื้อเรื่องในภาคนี้ มันก็ยังคงเป็นสิ่งที่ Assassin’s Creed ทำมาเสมอ พวกเขาเลือกที่จะเขียนเรื่องราวเติมลงไปในช่องว่างของประวัติศาสตร์ที่ไม่มีการบันทึกไว้ และเสริมเติมแต่งเรื่องราวของตัวเองเข้ามา เพื่อให้มันเป็นเนื้อเรื่องของ Assassin’s Creed และภาคนี้เขาก็ยังคงทำได้ดีเหมือนเดิม แถมละเมียดละไมเล่ากว่าที่เคยทำซะอีก

คราวนี้เราจะได้ใช้เวลาอยู่กับช่วงต้นเกมนานกว่าภาคก่อน ซึ่งส่วนใหญ่จะหมดไปกับการเล่าเนื้อหาปฐมบทตั้งต้น และจากใจที่ผู้เขียนเล่นมา Naoe แทบจะเป็นตัวละครหลักของเกมในช่วงต้น ด้วยเนื้อหาที่โฟกัสไปที่ตัวเธอแบบจัดเต็ม และอีกหลายส่วนที่เราพูดไม่ได้ เพราะเป็นการสปอยล์แน่นอน แต่ไม่ว่าคุณจะชอบ Yasuke หรือ Naoe คุณจะไม่ผิดหวังกับเรื่องราวของทั้งสองคนนี้

ด้านตัวละครอย่าง Yasuke ข้อมูลตามเน็ตที่คุณหาอ่านได้จริง ก็จะถูกบอกเล่าในเกมเกือบทั้งหมด และมีการเขียนเรื่องราวของเขาเพิ่มขึ้น ว่ากว่าเขาจะมาเป็น Yasuke นักรบข้างกายโนบุนากะนั้น ต้องผ่านอะไรมาบ้าง มีเล่ากระทั่งว่าชื่อ Yasuke มีที่มาจากไหน ทำให้แม้ในช่วงต้นตัวเอกหลักจะดูเหมือน Naoe แต่ฝั่ง Yasuke เองก็มีประเด็น มีเรื่องราวที่น่าสนใจและเชื่อมโยงกับตัวละครต่าง ๆ มากมาย ที่จะค่อย ๆ ถูกเล่าออกมาทีละน้อย

ตอนที่เราเล่น จบเควสหนึ่ง แทนที่จะจบไปเลย กลับงอกมาอีก 2-3 เควสท์ แล้วมันก็ไม่ใช่เควสท์ทั่วไป เล่นฟาร์มของ แต่มันจะเป็นการเล่าเรื่องราวของโลกภายในเกมภาคนี้แทบทั้งหมด หน้า Objective ของเกมภาคนี้ ยิ่งเล่นยิ่งมีอะไรงอกขึ้นมาเยอะแยะเพิ่มเข้ามา อันนี้คือเราต้องปิดเซ็นเซอร์เอาไว้บางส่วน แต่มันเยอะมากจริง ๆ ถ้าคุณจะเก็บทุกอย่างในเกมให้ครบ อาจจะต้องใช้เวลา 80 ชั่วโมงขึ้นไปตามที่ทีมพัฒนาบอก

และภาคนี้มีโหมดเอาใจคนชอบ Lore อยากเล่นให้เนื้อเรื่องไหลไปเรื่อย ๆ แบบภาคก่อนที่จะเป็น RPG ที่เรียกว่า Canon Mode โหมดนี้เหมาะสมอย่างมากสำหรับคนที่ไม่ชอบระบบการเล่นแบบ Choice Matter หรือการเลือกถามตอบตามบทสนทนา หากคุณเลือกโหมดนี้ เนื้อเรื่องจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการถามตอบใด ๆ เปรียบเสมือนว่าเกมมันเลือกชอยส์ตามที่ถูกต้องให้เราไปแล้ว ก็ทำให้การเล่นสะดวกสบายขึ้น แต่ก็ยังมีพวก Side Quest หรือ Random Event บางอย่างที่เรายังสามารถเลือกตอบได้ แต่ต้องเตือนไว้ตัวโต ๆ ว่า ถ้าเลือกเล่นแบบ Canon Mode แล้ว จะต้องเล่นแบบนั้นไปตลอด ปิดไม่ได้

Canon Mode มีข้อเสียนิดหน่อยตรงที่ บางฉากเหมือนชัดเจนเลยว่า มันทำมาเพื่อให้เราเลือกคำถามหรือคำตอบได้ มันจะมีบางฉากที่เราสะดุดนิด ๆ หรือรู้สึกว่ามันถูกข้ามบ่อย ๆ นั่นแหละ มันน่าจะให้เราถามตอบแต่เพราะเราเล่น Canon Mode แต่มันก็ไม่ได้ทำลายอรรถรสการเล่นมากขนาดนั้น ดังนั้นใครขี้เกียจถามตอบ อยากอ่านเนื้อเรื่องเพียว ๆ ยาว ๆ ก็เปิดโหมดนี้ได้ 

ยกระดับคุณภาพกราฟิกด้วย Ubisoft Anvil

ขอจบส่วนของเนื้อเรื่องเอาไว้เพียงเท่านี้ มาเข้าสู่ด้านของโลกในเกม และรายละเอียดเกมเพลย์ต่าง ๆ สำหรับภาคนี้ตัวเกมยังคงใช้ Anvil Engine ที่เป็น Engine เฉพาะตัวของ Ubisoft และในภาค Shadows นี้ ก็เป็นเอนจิ้นเวอร์ชันอัปเกรด ที่ปรับปรุงด้านแสงและเงา และเพิ่มฟีเจอร์ทำลายสิ่งก่อสร้างได้ อันนี้คือไฮไลท์และทีเด็ดของเกมภาคนี้เลย

ด้วยความที่เกมภาคนี้มันจะมีอยู่หลายครั้งหลายหนที่เราต้องบุกเข้าไปในปราสาท หรือหมู่บ้านที่มีห้องแคบ ๆ ถ้าเป็นเกมอื่น ๆ หรือภาคก่อน ๆ หากเป็นการลอบสังหารเราก็คงไม่ได้สนใจอะไรเท่าไรนัก แต่ในกรณีที่มีการต่อสู้กันเกิดขึ้นมา เราก็ไม่ได้สนใจเลยว่าสภาพห้องที่เกิดการต่อสู้กันขึ้นมันควรจะเป็นยังไง จนเราได้มาเล่นภาคนี้

อย่างในฉากนี้ ผู้โดนศัตรูรุมล้อม 3-4 คน อาวุธที่ใช้คือคุซาริกามะ เอาจริง ๆ ไม่ต้องใช้อาวุธนี้ก็จะได้เห็นผลเหมือนกันก็คือ เวลาที่เราต่อสู้ฟาดฟันกับเหล่าศัตรู ของในห้องจะกระจัดกระจาย ประตูจะถูกฟันจนขาด พังทลายไปหมด หรือถ้าพวกฉากแคมป์โจร ที่มันมีผ้า ถ้าเราฟันไปโดนผ้าก็จะขาดด้วย อันนี้เป็นฟีเจอร์อัปเกรดของ Anvil Engine รุ่นใหม่ และคาดหวังได้ว่าภาคต่อ ๆ ไป ฉากต่าง ๆ ก็น่าจะอลังการกว่าเดิมแน่นอน รวมไปถึงการสังหารศัตรู หากมีการฟันหรือโจมตีจนตายแล้วมีเลือดสาด มันก็จะกระเด็นไปติดสิ่งของ ผนัง หรือแม้แต่เสื้อผ้าของเราเอง 

นอกจากนั้นบางฉาก บางสถานที่ เราสามารถฟันต้นไม้ ทำลายสิ่งของได้ อย่างเช่นป่าไผ่ หรือรั้วไม้ กรณีที่คุณขี้เกียจแบบขี้เกียจจริง ๆ ก็ฟันพวกต้นไผ่หรือรั้วไม้ เพื่อหลบหนีออกจากพื้นที่ภารกิจได้เลย แต่หลัก ๆ แล้วฟีเจอร์ของการทำลายสิ่งของ จะเห็นได้ชัดมาก ตอนเราต่อสู้กับศัตรูในห้องแคบ ๆ มากกว่า 

ต่อมาคือเรื่องของแสงและเงา ในภาคนี้ช่วงเวลากลางคืน บอกเลยว่ามืดมาก มืดจนมองอะไรแทบไม่เห็น มันขึ้นอยู่กับสถานที่ด้วยว่าตรงนั้น พวก A.I. ศัตรูมันจุดไฟไว้หรือเปล่า และแสงเงากับแสงไฟของภาคนี้มันจะส่งผลกับระบบเกมการเล่นด้วย คือตอนเราดู Trailer ดูตัวอย่างนี่มันว้าวมาก แต่ตอนเล่นจริงมันเป็นแค่ทางเลือกที่เราจะทำหรือไม่ทำก็ได้ ถ้าไม่ชอบความจุกจิกเล็กน้อยอะไรแบบนี้ ปล่อย ๆ ระบบนี้มันไปเลยก็ได้เหมือนกัน

มันแทบไม่ได้ส่งผลอะไรเลย ถ้าเอาแบบตรงไปตรงมาก็คือ มันทำให้เราเท่ขึ้นเฉย ๆ แต่ก็มีหลายครั้งที่มันช่วยเราได้จริง ๆ เช่น เราสามารถดับไฟในห้อง หรือในแคมป์ปราสาทเพื่อทำให้ศัตรูหันมาสนใจ และเราก็ล่อมาสังหารได้เลย และการลอบเร้นในเวลากลางคืนก็จะทำให้ศัตรูมองเห็นเราได้ยากขึ้นด้วย อันนี้เห็นผลจริง ๆ

กับเกมเพลย์ตอนเล่น มันดูว้าวก็จริง แต่เวลาออกสำรวจหรือเดินทางตอนกลางคืนนี้ ค่อนข้างจะเป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะบางสถานที่มันจะมืดจนมองอะไรแทบไม่เห็น ถ้าเราออกสำรวจในเวลากลางคืน อาจจะมองหาไอเทมยากเป็นพิเศษ แต่ก็แลกมากับการที่บางฉาก บางช่วง มันจะสวยขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในเวลากลางคืน แต่บางครั้งก็จะสงสัยว่าทำไมมันไม่ยอมจุดคบเพลิงใช้กัน อย่างเวลาบุกสุสานเนี่ย มันจะใช้วิธีจุดไฟตามทาง คือถ้าใช้คบเพลิงนี่จบเลย ก็ไม่เข้าใจทำไมถึงไม่มีให้เลือกใช้

โลกภายในเกม หลังจากที่ภาคก่อน ๆ เคยโดนกระแสว่าทำป่ายังไงให้ไม่มีความรู้สึกว่ามันเป็นป่าเลย ในภาคนี้บอกเลยว่า สมใจครับ คุณจะจมไปกับป่าได้ง่ายมาก ๆ เพราะหลากหลายภูมิภาคในเกมนี้จะเป็นป่าเกือบทั้งหมด เวลาที่เราเดินทางไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ หรือข้ามไปยังเมืองใหม่ ๆ มันจะเหมือนกับตอนที่คุณขับรถออกเมืองหลวงไปชนบทยังไงยังงั้น

เมื่อออกจากเขตเมือง คุณจะพบกับพื้นที่ที่เป็นป่าเขา และภาคนี้มันคือป่าแบบป่าจริง ๆ ต้นไม้สูง พงหญ้า ดงหญ้า มาเต็มไปหมด บางจุดสวยงามดี บางจุดอาจเยอะจนน่ารำคาญ เพราะมันจะส่งผลกับการเดินทางภายในเกม ในภาคนี้เราจะเดินทางโดยใช้ตรรกะที่ว่าทางที่ดีคือทางตรงไม่ได้อีกต่อไป หนึ่งเลยคือเจ้าม้าของเราในภาคนี้ไม่สามารถวิ่งฝ่าป่าเหล่านั้นได้ สองคือคุณจะเจอดงไม้อย่างที่บอก หรือหนักสุดเลยคืออาจจะไปเจอภูเขาลูกเบ้อเร่อ ปีนลำบาก ทำไปทำมาไปตามทางที่มีให้จะเสียเวลาน้อยกว่า

ตัวละครหลักของเราในภาคนี้ไม่เหมือนภาค Odysseys หรือ Valhalla แล้ว ที่จะสามารถปีนได้แบบไร้ขีดจำกัด ในภาคนี้ถ้าสูงเกินไป ตัวละคร Naoe จะปีนขึ้นไปไม่ได้ แสดงออกมาผ่านแอนิเมชันตัวละครเลย ส่วน Yasuke ไม่ต้องพูดถึง แค่ปีนกำแพงบ้าน กำแพงเมืองเตี้ย ๆ เห็นแล้วยังเหนื่อยแทน

ด้วยการเปลี่ยนแปลงนี้ บวกกับภูมิประเทศที่ไม่ค่อยเอื้อให้เราเดินทางเป็นเส้นตรง ภาคนี้จึงมีการเพิ่มระบบ Pathfinder เข้ามา โดยเมื่อเราเลือก Objective หรือ Marker ตำแหน่งที่ต้องการไปแล้ว มันจะมีเส้นนำทางไปถึงเป้าหมาย แต่เส้นนำทางนี้จะนำทางไปด้วยเส้นทางบนนถนนปกติเท่านั้น และการเดินทางไปตามเส้นไกด์นี้ สะดวกและรวดเร็วกว่าการพยายามลัดเลาะไปแน่นอน

แต่การปีนได้แบบจำกัด ก็สร้างข้อเสียให้กับบางช่วงของเกม อย่างภารกิจนี้ ผมสำรวจจนมาเจอจุดภารกิจแล้ว แต่มันอยู่สูงเกินไป แถมหน้าผาชันใกล้ ๆ ก็ระยะไม่มากพอจะกระโดดข้าม หันมองไปรอบ ๆ ก็จมป่าอีก ไม่รู้ต้องไปทางไหน ทำให้เสียเวลาโดยใช่เหตุ มันทำลาย Pacing เกมได้ในระดับนึง แต่เควสท์แบบนี้มันเจอไม่บ่อย แต่ถ้าเทียบกับภาคเก่า เราคงปีนขึ้นไปได้แล้ว มันสมจริงตามหลักเหตุและผลที่คนเราไม่สามารถปีนได้ต่อเนื่องแบบแต่ก่อน แต่ก็แลกมาด้วยความสนุกที่ถูกขัดจังหวะในบางช่วง

และสำหรับคนที่เล่นเกม Ubisoft มานาน สิ่งหนึ่งที่ยังไงก็ต้องชมว่าเขาทำดีจริง ๆ ก็คือเรื่องของบรรยากาศภายในเกม และภาคนี้ก็ใช้กลิ่นอายและวัฒนธรรมของญี่ปุ่นได้อย่างเต็มที่ สายลมพลิ้วไหว ต้นไม้ ใบหญ้า หรือแม้กระทั่งแม่น้ำลำคลอง ล้วนได้อานิสงส์จากการที่ Ubisoft Anvil มันพัฒนามาได้ถึงขนาดนี้ และระบบสภาพอากาศแบบใหม่ที่นำมาใช้ในเกมนี้เป็นครั้งแรก หากคุณเล่นบนเครื่องคอนโซล หรือถ้าสเปคคอมพิวเตอร์ของคุณถึงเกณฑ์ที่จะปรับภาพแบบสูง ๆ ได้ คุณจะพบว่ามันสวยงามมาก และนี่คือสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาทำได้ดี

เสียงพากย์ ความแตกต่างระหว่างญี่ปุ่นและอังกฤษ

พูดถึงเรื่องโลกของเกมกันไปเยอะแล้ว มาดูในส่วนที่ละเอียดมากกว่านี้กัน นั่นคือเรื่องของเสียงพากย์ แน่นอนว่าแฟนเกมที่ซื้อมาเล่น เป็นธีมญี่ปุ่นทั้งที ส่วนใหญ่ก็น่าจะเล่นโดยเปิดเสียงญี่ปุ่นกันอยู่แล้ว ผมว่ามันก็ทำได้ดีตามมาตรฐานเกม AAA เลย แต่สำหรับเสียงญี่ปุ่นจะติดอยู่อย่างเดียวคือ บางตัวละครนั้น เสียงพากย์มันไม่เข้ากับหน้าตาเอาซะเลย

อย่างซีนนี้ตัวละครมันหน้าดูมีอายุมาก แต่เสียงพากย์ดูสาวซะงั้น แล้วก็พวกเสียง NPC แม่ค้าตามร้านขายของเองก็เหมือนจะมีปัญหานี้ด้วย แต่มันไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมากนัก เพราะเอาจริง ๆ ร้านค้านี่เราก็ไม่ได้เข้าบ่อย แถมเสียงที่ผมฟังแล้วดูไม่เข้ากับหน้ามันก็มีแค่ตัวละครที่ว่ามาแค่ตัวเดียว

แต่ถ้าเสียงอังกฤษล่ะเป็นยังไง? คำตอบคือ น่าประทับใจกว่าที่คิดไว้ พวกเสียงตัวละครอย่าง Yasuke นี่สุดหล่อเท่ เข้มบาดใจ ส่วนเสียง Naoe ฉบับอังกฤษอาจจะดูห้าวเกินวัยไปหน่อย บางจังหวะก็ดูโมโนโทนเสียเหลือเกิน แต่ก็ยังอยู่ในสโคปผมรับได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น จะเลือกปรับแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับผู้เล่น 

และไฮไลท์หนึ่งที่ทีมพัฒนาเขาโฆษณามาก คือ เสียงพากย์แบบ Immersive Mode ถ้าคุณเล่น Immersive Mode เสียงพากย์มันจะอิงตามภาษาที่พูด เช่น ฉากที่มีพวกโปรตุกีส ก็จะคุยภาษาโปรตุกีส ฉากพูดญี่ปุ่นก้ญี่ปุ่น หรือฉากใน Animus จะเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งจะเล่นอังกฤษ ญี่ปุ่นล้วน หรือปรับ Immersive เอาก็ที่ทุกท่านชื่นชอบกันได้ พวกนี้สามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลา

คอนเทนต์หลัก – เราจะอยู่กับเกมนี้ได้นานแค่ไหน?

สำหรับเนื้อหาของ Assassin’s Creed Shadows ตอนนี้จะเป็นส่วนของเนื้อเรื่องหลักเพียว ๆ เท่านั้น ยังไม่ได้มีอีเวนท์พิเศษหรือ DLC อะไร แต่ถ้าจะให้พูดถึงความยาวของเกมนี้ มันก็น่าจะขึ้นอยู่กับสไตล์การเล่นของแต่ละคนด้วย ถ้ามุ่งหน้าไถแต่เนื้อเรื่องหรือ Story ที่ยังไงก็ยาวอยู่ดี  ก็น่าจะระดับ 30 ชั่วโมงขึ้นไป

แต่เชื่อว่าคนที่จะเล่นเกมนี้ พื้นฐานต้องมีความชื่นชอบเกม Open World อยู่แล้ว มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะมุ่งหน้าไปยังจุดหมายของภารกิจโดยไม่วอกแวก หยุดแวะดูสถานที่หรือฟาร์มของ อย่างตัวผมเอง กว่าจะเคลียร์เนื้อเรื่องสำคัญช่วงองค์แรกได้ ล่อไป 15 ชั่วโมง มัวแต่วิ่งเปิด Viewpoint ฟาร์มของตามแคมป์หรือฐานต่าง ๆ

ที่สำคัญภาคนี้คือการมาถึงของระบบสร้างฐาน Hideout ของเรา ที่เราจำเป็นจะต้องฟาร์มของ สร้างบ้าน หรือตกแต่งเอาสวยงามได้อีก ใครชอบเกมแนวนี้ยิ่งกินเวลาเข้าไปอีก เอาเป็นว่าเราตียืนพื้นไปก่อนเลยว่า ถ้าคิดจะเล่นจริงจัง 40-50 ชั่วโมงคือขั้นต่ำ และถ้าจะเก็บทุกอย่างให้ครบ ฟาร์มให้ตัวละครเก่ง ใส่ของทองทุกชิ้น ยังไงก็มีตัวเลข 100 ชั่วโมงให้เห็น แต่ย้ำอีกครั้ง มันขึ้นอยู่กับสไตล์การเล่นของแต่ละคน ชั่วโมงการเล่นอาจจะไม่เท่ากัน

เกมเพลย์ ลบจุดด้อย เสริมจุดแกร่ง สู่ความลงตัว

และนี่คือส่วนที่เราน่าจะพูดถึงกันยาวที่สุดและละเอียดที่สุด เพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพ เนื่องจากในภาคนี้ เรามีสองตัวละครการเล่น ผมจะเล่าถึงสองตัวละครนี้โดยละเอียดแยกกันไปอีกที แต่ในส่วนนี้ เราจะพูดถึงเกมเพลย์โดยรวมทั้งหมด

สำหรับ Assassin’s Creed ภาคนี้ก็ยังคงเป็นเกม Action RPG Open World ที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตาให้เราไปสำรวจกันอยู่ดี อ้างอิงจากปากคำของผู้พัฒนา ขนาดของแผนที่ในภาคนี้จะไม่ได้ใหญ่เวอร์แบบ Odysseys แต่จะมีความใหญ่ประมาณภาค Origins ซึ่งถือเป็นภาคที่ผมเล่นแล้วติดพันที่สุดในจำนวน Assassin’s Creed ภาคหลัง ๆ มานี้ แต่ในด้านของ Pacing Gameplay โดยรวม เขาเอาข้อดีของภาค Odysseys และภาค Valhalla มาผสมรวมกัน แล้วตัดอะไรที่มันไม่จำเป็นออก ทำให้เกมเพลย์ภาคนี้อยู่ในจุดที่พอดิบพอดีมาก ๆ 

เริ่มจากระบบ RPG แม้แฟน ๆ ที่เล่นมาตั้งแต่ภาคคลาสสิกหลายคนอาจจะไม่ชอบ แต่ภาคนี้เขาลดความยุ่งยากของมันลง จำนวนอุปกรณ์ที่เราสวมใส่ได้จะมี 5 ชิ้นเท่านั้น แบ่งเป็นอาวุธหลักและอาวุธรอง ชุดเกราะ ส่วนหัว และเครื่องประดับ และค่าสเตตัสของไอเทมแต่ละชิ้นจะทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น

ตอนนี้ไอเทมแต่ละชิ้นจะมีออปชันหลักคล้าย ๆ กัน อย่างอาวุธจะมี Weapon DPS ความเสียหายพื้นฐานจากตัวอาวุธเอง Posture DPS อันนี้จะอยู่ในอาวุธประชิดทั้งหลาย เป็นความเสียหายเมื่อทำการชาร์จโจมตีหรือโจมตีหนัก แต่เมื่อเป็นอาวุธระยะไกล ส่วนนี้จะเป็น Headshot Damage อันที่สามคือ Ability Damage ความเสียหายจากการใช้ทักษะหรือสกิล และสุดท้าย ออปชันที่ 4 จะแล้วแต่อาวุธ อาจเป็นทั้งโจมตีแล้วสร้างสถานะ โจมตีศัตรูที่ถูก Parry แรงขึ้น

ส่วนพวกชุด หรือชุดส่วนหัวก็จะมีทั้งเพิ่มเลือด เพิ่มโอกาส Critical เพื่อ Damage เวลา Critical เป็นต้น ของทั้งหมดในเกมจะมีเกรดคล้าย ๆ ภาค Odyssey คือ ของเทา ของเขียว ของฟ้า ของม่วง และของทอง ซึ่งของทองหรือระดับ Legendary จะมีชิ้นเดียวในเกม พวก Perk ก็จะมีความเฉพาะตัวทำให้ต้องปรับวิธีการเล่น ส่วนของม่วงหรือของ Epic ก็อาจจะมีชิ้นที่มีสถานะบางอย่างถูกบูสจนสูงกว่าของทองเสียอีก ซึ่งของม่วงที่มีบูสสถานะที่ถูกบูสจะถูกเขียนด้วยสีทอง

อุปกรณ์สวมใส่จะแยกกันทั้งสองตัวละครโดยมีสัญลักษณ์ขึ้นอยู่ที่มุมขวาบน นอกจากนั้นไอเทมที่มีช่องใส่ออปชันเสริม เราสามารถออกสำรวจ Engrave ได้จากทุกพื้นที่ทั่วโลกในเกม และนำกลับไปให้ช่างตีอาวุธ เพื่อติดตั้งออปชันเสริมได้ ระบบนี้มีมาตั้งแต่ภาคเก่า ๆ แล้ว แต่ตามมาด้วยในภาคนี้ ระบบอุปกรณ์สวมใส่จึงถือเป็นหนึ่งในระบบที่เชิญชวนให้เราออกสำรวจ เพื่อหาของดี ๆ มาใส่

เนื่องจากภาคนี้จะยังคงเหมือนกับภาค Odysseys คือทุกพื้นที่ ทุกศัตรูจะ Generate เลเวลตามเราขึ้นมา แต่จะไม่ใช่ตามจี้ติด ๆ ขนาดนั้น อย่างพื้นที่แรกของเกม เมื่อเราเลเวลสูงขึ้น มันก็จะมีเลเวลตามหลังเราอยู่ที่ประมาณ 2-3 เลเวล และภาคนี้ไม่มีระบบปิดการ Generate เหมือนภาค Odysseys ทำให้ทุกครั้งที่เรากลับมาที่เดิม ก็ยังคงต้องระมัดระวังการเจอศัตรู

ระบบฤดูกาล อีกหนึ่งไฮไลท์ที่มีเข้ามาในภาคนี้ แต่ส่วนตัวแล้ว ผมว่ามันแค่ทำให้สภาพบรรยากาศตอนเล่นเปลี่ยนไปเท่านั้น มันส่งผลกับเกมเพลย์ก็จริง แต่คุณต้องเป็นคนที่พยายามตามเก็บทุกสิ่งอย่าง ไปมันทุกที่ คุณถึงจะได้เจอผลกระทบของสภาพอากาศ ยกตัวอย่างเช่น หน้าหนาวที่มีหิมะตก ส่วนนี้หิมะที่หนาจะทำให้เราเคลื่อนที่ได้ช้าลง

และพื้นที่แม่น้ำบางส่วนจะเป็นน้ำแข็ง ทำให้ลงน้ำไม่ได้ และการวิ่งบนพื้นน้ำแข็งก็จะทำให้ลื่นด้วย หรือบาง Side Quest ที่มีการระบุว่าต้องเป็นฤดูหนาวเท่านั้นถึงทำได้ แต่นอกเหนือจากนี้มันก็ไม่มีปัญหาอะไรมากนัก เราก็แค่เลี่ยงการบุกตีแคมป์ใหญ่ ๆ หรือปราสาทขนาดใหญ่ในช่วงหน้าหนาวก็จบ ส่วนของฤดูกาลส่วนมากทำให้เราไม่เบื่อกับสภาพอากาศเดิม ๆ เพราะคราวนี้จะมีทั้งลมแรง เมฆครึ้ม ไปจนถึงฝนตก และการเปลี่ยนฤดูกาลทำให้เราได้ไอเทมที่ให้ทีม Scout เราไปเก็บมาจากจุดต่าง ๆ เข้าสู่ฐาน Hideout ของเราได้ด้วย

แม้จะไม่ได้ส่งผลกระทบมาก แต่การได้เห็นฤดูกาลเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ก็ทำให้เรารู้สึกถึงเวลาที่ผ่านไป แถมฤดูกาลภาคนี้ไม่ได้มีแค่ 4 ฤดู เพราะแต่ละฤดูจะมี ช่วงต้น กับ ช่วงปลาย ที่จะมีรายละเอียดต่างกันไปนิด ๆ หน่อย ๆ ช่วงใครที่กลัวว่าฤดูกาลจะส่งผลกระทบทำให้เหตุการณ์บางอย่างไม่ตรงตามประวัติศาสตร์หรือเปล่า ก็ต้องบอกว่าเนื้อเรื่องหลักที่เป็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ฤดูกาลจะเปลี่ยนให้ตรงกับฤดูของช่วงเวลานั้น ๆ จริง ๆ 

พื้นที่ที่เป็นเหมือนกับ Outpost คราวนี้จะทำงานต่างไปจากเดิมจากเกมที่ผ่าน ๆ มา การเอาชนะฐานนั้น ๆ ได้ ไม่ได้หมายความว่ามันจะกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า แต่มันแค่ทำให้ศัตรูหมดไปชั่วคราวเท่านั้น เมื่อหมดฤดูกาลเข้าสู่ฤดูใหม่ พวกศัตรูก็จะกลับมายึดถิ่นฐานเดิม แต่ถ้า Outpost ไหน มี Key Item หรือหีบไอเทมใหญ่ มันจะเก็บได้แค่ครั้งเดียว รอบหน้าที่เรากลับมา มันจะเหลือแต่ไอเทมทั่วไปแทน

ศัตรูในภาคนี้ มีการแบ่งกลุ่มกันอย่างชัดเจน และเป็นภาคที่ศัตรูมีความแตกต่างกันมากที่สุดในด้านของสไตล์การต่อสู้ เรามีศัตรูที่ต่างกันมากถึง 8 แบบด้วยกัน และแต่ละตัวก็จะมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง อย่างเช่นโรนิน ศัตรูที่ตึงมือมากเพราะมันรำเก่ง และเน้นการโจมตีแบบปัดป้องไม่ได้ ก็จะสู้ยากด้วยหน่อย มี Outlaws ที่เป็นเหมือนโจรป่าทั่วไป พวกนี้กระจอก สู้ไม่เก่ง แต่พวกเยอะ เน้นรุม มี Shinobi ที่เป็นนินจา ว่องไว รวดเร็ว เข้าหาเราเร็ว เอามีดจิ้มแล้วฉากหลบ กวนประสาทสุด ๆ

และไม้เด็ดสำหรับภาคนี้คือ Servant หรือพวกคนรับใช้ จริง ๆ แล้ว Servant มันไม่น่าถูกนับว่าเป็นศัตรู แต่ทุกครั้งเวลาที่เราลอบเร้นเข้าไปยังพื้นที่ใหญ่ ๆ เช่นปราสาท มันจะมีพวกคนรับใช้คอยทำงานอยู่ ไอ้พวกนี้บางคนก็ดี บางคนก็นิสัยเสีย ส่วนใหญ่ถ้ามันเห็นเรา จะตกใจ และวิ่งทำเสียงเอะอะโวยวาย ซึ่งอาจทำให้เราเดือดร้อน แต่บางคนนิสัยเสียจริง ๆ คือทำเหมือนกลัวเรา สักพักล้วงมีดออกมาแทงเราซะงั้น บางทีไม่ได้อยากฆ่าพวก Servant เลย เพราะดีไซน์มาแบบตัวประกอบมาก มันอาจจะเป็นแค่ชายหรือหญิงแก่ ๆ แต่บางทีเราก็ต้องฆ่า ไม่งั้นสเตลท์แตก เรียกได้ว่าการบุกปราสาทใหญ่ ๆ นั้น บางทีต้องระวังพวก Servant มากกว่าตัวอื่น ๆ ซะอีก

แต่มันมีอีกทางเลือกสำหรับคนที่ไม่อยากฆ่าใคร (รวมถึงพวกทหารยาม) คือ ลอบเร้นเข้าไปทำให้พวกมันสลบ แต่จะทำได้แค่ Naoe เท่านั้น เวลาเราย่องไปด้านหลังศัตรูที่ไม่รู้ตัว เราสามารถล็อคคอลากพวกมันไปที่ลับตาแล้วทำให้มันสลบได้ หรือถ้าใครอัพสกิลมา จะลากไปเชือดในที่ลับก็ได้

ศัตรูบางประเภทก็จะรับมือกับการโดนบุกที่ต่างกัน อย่างพวกโจรป่า ถ้ามันโดนระเบิดควันปาใส่ มันก็จะงง ๆ และทำตัวไม่ถูก ยืนมึนให้เราเข้าไปเชือดเล่นได้ แต่ถ้าพวกโรนินหรือซามูไรโดน มันจะรีบพาตัวเองออกมาจากระเบิดควัน และพร้อมต่อสู้ต่อทันที แถมมันยังเดินหาเราได้ฉลาดกว่าภาคก่อน ๆ ด้วย เช่น มันจะใช้อาวุธถางพงหญ้า มีการจับคู่กันระวังหน้าหน้าหลัง อันนี้ผมเล่นแค่ Normal เลยไม่ได้รู้สึกยากมากนัก แต่ดูจากต่างประเทศที่เล่นระดับยาก ศัตรูตาดีขึ้น มองเห็นขึ้นมาบนหลังคาได้ ช่วเงวลาในการ Detect ไวขึ้น การลอบเร้นน่าจะตึงมือขึ้นมาก ๆ

แต่ทีเด็ดสำหรับคนเกลียด RPG และชอบการเล่นแบบลอบฆ่าทีเดียวตาย ภาคนี้เขามีระบบที่ผมบอกไปในช่วงข้างต้น ก็คือ Guarantee Assassin การเปิดโหมดนี้จะทำให้การลอบสังหารไม่ว่าวิธีใด ๆ ก็ตาม สามารถ One Hit Kill ได้เลย ไม่ว่าเรากับศัตรูจะเลเวลต่างกันแค่ไหน กรณีที่เราเลเวลต่างแล้วเราไปลอบฆ่า โดยไม่เปิดโหมดนี้ ศัตรูจะรู้ทัน หันกลับมาโต้ตอบเรา

แต่ถ้าเปิดโหมดนี้ จิ้มทีเดียวตายหมด ผมเคยเปิดโหมดนี้ตอนเลเวล 15 แล้วไปซ่าในโซนเลเวล 25-30 ถ้าใจนิ่งพอ คุณสามารถย่องเชือดยกฐาน ฟาร์มของโหด ๆ รอได้เลย แต่มันต้องใช้ความใจเย็น และใช้เวลาอย่างมาก ใครไม่ชอบโหมดนี้ เปิด-ปิดได้ในการตั้งค่า

นอกจากนั้นมันยังมีระบบสัญญาณเตือนภัยที่เป็นระฆัง ถ้าเกิดว่าเรา Stealth แตก แล้วจัดการคนเคาะระฆังไม่ทัน ศัตรูจะแห่กันมา รวมถึงศัตรูสุดโหด คือ Guardian ซึ่งตรงนี้มันส่งผลต่อความอยากเล่นตัว Yasuke และ Naoe ด้วย ผมจะเล่าต่อในหัวข้อถัดไป

และคราวนี้ทุกพื้นที่ในเกมจะไม่ได้มีสิ่งให้เราทำอีกต่อไปแล้ว บางจุดจะเป็นเพียงสถานที่ให้เราแวะไปเยี่ยมชมเท่านั้น แค่ขี่ม้าผ่าน หรือแวะเข้าไปก็เสร็จ ทำให้เราไม่รู้สึกว่ามันเยอะหรือล้นจนเกินไป และจุดสำคัญก็จะมีของตอบแทนที่ควรค่ากับการเสียเวลาให้เสมอ อีกระบบที่น่าสนใจคือ Kakurega หรือที่ทำหน้าที่เหมือน Safehouse ส่วนตัว เอาไว้สำหรับเติมของต่าง ๆ และมันยังทำหน้าที่เป็นจุด Fast Travel ได้ด้วย รวมไปถึงบอกตำแหน่งเควสท์พิเศษ และจุดเก็บไอเทมเฉพาะ การปลดล็อค Kakurega มีแต่ได้กับได้ ดังนั้นเจอตรงไหน ปลดล็อคไว้ให้หมด ถ้าเงินถึง

สิ่งสำคัญคือ Knowledge Point การจะปลดแผงสกิลขั้นสูง ทั้ง Yasuke และ Naoe จะใช้แต้ม Knowledge Point ร่วมกัน เมื่อค่า Knowledge ถึงระดับที่กำหนด จะปลดล็อคสกิลชุดใหม่ แต่ Yasuke กับ Naoe นั้น จะมีวิธีการได้ Knowledge Point ที่งทั้งเหมือนและต่างกันด้วย สิ่งที่เหมือนกันคือการไหว้ศาลเจ้า การตามหาเอกสารในวัด ส่วนที่เหลือจะแยกไปเป็นวิธีของตัวเอง ซึ่งหากเราเก็บทุกเควสท์ ทำ Knowledge Point ทุกจุด เราสามารถอัปเกรดสกิลทุกสายได้ แต่จะใช้เวลาอย่างมาก

และเมื่อแต้ม Knowledge Point ถึง การจะอัปสกิลจะต้องใช้ Mastery Point ซึ่งได้มาจากการเลเวลอัป ทำภารกิจเสริม หรือสังหารศัตรูระดับสูง บางเควสก็ให้มาก 3-4 แต้ม ดังนั้นทุก ๆ การสำรวจ ทุก ๆ การเล่น จึงสำคัญต่อพัฒนาการของตัวละครมาก ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเบื่อมันไปก่อนหรือเปล่า คือถ้าเทียบกันกับภาคอื่น ๆ แล้ว คอนเทนต์เกมเพลย์มันอาจจะเหมือนเดิมก็จริง แต่การที่ Pacing เกมมันเปลี่ยน และทำให้เราไม่รู้สึกว่ามันมีอะไรให้ทำเยอะเกินไป แต่ยั่วยวนผู้เล่นด้วยความรู้สึกที่ว่า อ๊ะ ผ่านตรงนี้ จะได้ของใหม่ แวะตรงนี้ปลดจุด Fast Travel ซักหน่อย 

ทีนี้เราจะพาไปดูเกมเพลย์ของแต่ละตัวละครกัน

Yasuke – เดินหน้าพุ่งชนทุกสถานการณ์

ขอเริ่มกันที่ Yasuke ก่อน ก่อนอื่นขอบอกเลยว่าผิดคาด การหยิบ Yasuke มาเล่นนั้น มันเหมาะสมกับคนที่อยากจะเปลี่ยนสถานการณ์ เปลี่ยนรูปแบบการเล่น หรือภารกิจบังคับให้ใช้เท่านั้น เพราะตลอด 30 ชั่วโมงในการเล่น ผมหยิบ Yasuke มาใช้น้อยมาก ๆ ไม่ใช่ผมไม่อยากใช้ แต่สถานการณ์มันไม่ค่อยน่าใช้เลย

เรื่องการผจญภัย สำรวจแมป Yasuke จะมีน้ำหนักตัว และความคล่องตัวน้อยกว่า Naoe มาก การปีนป่ายช้าอย่างเห็นได้ชัด คือดูจากแอนิเมชัน ผมว่าปีนได้ก็บุญแล้ว ยิ่งถ้าจะเอาไปลอบเร้นนี่ยิ่งยาก คือมันมีทางเลือกในการใช้ธนูอยู่ แต่ส่วนใหญ่ Outpost ของเกมนี้มันใหญ่มาก ถ้าจะเอา Yasuke ไปบู๊แล้วศัตรูมาเรื่อย ๆ มันจะเหนื่อยมาก

แถมถ้าสัญญาณเตือนภัยดัง มันจะมีศัตรูประเภทพิเศษออกมาเพิ่มคือ Guardian ที่เหมือนนักซูโม่ สู้ด้วยยากมาก ทั้งตีแรง ทั้งอึด แถมโดนหมายหัวด้วย จริง ๆ การโดนหมายหัวมันโดนได้ทั้งคู่ แต่ที่จะสื่อคือ การหยิบ Yasuke ไปบุก Outpost มันลำบากโดยไม่จำเป็น บาง Outpost นั้น Yasuke สามารถพังประตูหน้าที่ Naoe ปลดล็อคไม่ได้ แต่ความลำบากตอนสู้ มันคนละเรื่องกับ Naoe เลย

สายสกิลของ Yasuke จะเป็นสายดาบคาตานะยาว กระบองยักษ์คานาโบะ ธนู ปืนเทปโป ส่วนอีกสองสายจะเป็นสกิลสายนักรบ เช่นเร่งพลังชั่วคราว สามารถ Parry การโจมตีโดยอัตโนมัติได้ ส่วน Knowledge Point ของ Yasuke จะเป็นมินิเกมขี่ม้ายิงธนู และการกดปุ่มตามต้นแบบเพื่อรับแต้ม

Yasuke จะเหมาะมากกับ Outpost ขนาดเล็กที่ไม่ต้องกังวลว่าศัตรูจะไปลั่นระฆังสัญญาณ และหากโดนรุม Yasuke จะรับมือได้ง่ายกว่า แถมมีท่า Finisher สุดโหด คือทุกท่าพี่แกต้องตัดหัว ตัดแขน ตัดขา เหยียบหัวศัตรูเอาให้ตายกันไปข้าง ถ้าใส่มาเต็ม ๆ นี่ สงสัยเราติดเหลืองติดแดงกันแน่ แต่มันโหดจริง และที่สำคัญปฏิกิริยาของชาวบ้านเวลาเจอ Yasuke ก็จะต่างจาก Naoe อย่างเห็นได้ชัด มีทั้งตกใจกลัว วิ่งหนี ไปจนถึงให้ความเคารพด้วย

ส่วนของการลอบเร้น การปีนป่าย ถามว่ามันทำได้ไหม ทำได้ แต่มันเหนื่อยโดยใช่เหตุ Yasuke จะมีอาวุธธนูให้ใช้งาน และธนูก็มีหัวลูกศรหลายแบบด้วย เราสามารถปีนขึ้นบนหลังคาเล็ก ๆ ใช้ธนูสอยหัวเรียงตัวก็ได้ แต่มุมการเล่นของเราจะจำกัดมาก ๆ ส่วนอื่น ๆ นี่เข้าข่ายลำบากแบบสุด ๆ กว่าจะปีนขึ้นหลังคาได้ แถมไต่เชือกก็ไม่ได้ และถ้าคุณเอา Yasuke ไปใช้เปิดจุด Viewpoint นอกจากจะอืดอาดสุด ๆ แล้ว การ Leap of Faith ลงมาก็จะมีฉากฮา ๆ ให้ Yasuke ปวดหลังเล่น

สรุปก็คือ Yasuke มันเป็นตัวละครสาย Action ที่เหมาะสมกับบางสถานการณ์เท่านั้น จากใจเลย 70% ของเกมเพลย์ที่ผมเล่นไป มันมีแต่ Naoe ทั้งนั้น เพราะอะไรมันถึงสนุกกว่า และผมชอบใช้มากกว่า มาสลับไปดูฝั่งของ Naoe กันบ้าง

Naoe – ลอบเร้นในเงามืด ความหลากหลายในการลอบเร้นอันสร้างสรรค์

สำหรับ Naoe นั้น จะให้อารมณ์เหมือนตอนเราเล่น Assassin’s Creed ภาคเก่า ๆ เลย คือเน้นที่การลอบเร้นเป็นหลัก และจากการลอบเร้นที่น่าเบื่อ ซุ่มตามพงหญ้า ผิวปากย่องเชือด ยิงเข็มยาสลบ คราวนี้ Naoe จะมีของเล่นสไตล์นินจาชิโนบิให้ใช้ บางชิ้นก็มาจากเกมภาคเก่า บางอย่างก็เพิ่งมามีในภาคนี้ 

เอาเรื่องของการลอบเร้นก่อน Naoe จะมีความคล่องแคล่ว ปราดเปรียวกว่า Yasuke ในทุกด้าน การปีนป่ายหลังคา การกระโดดต่าง ๆ จะเร็วกว่า Yasuke เป็นเท่าตัว และที่สำคัญที่ทำให้ Naoe เหมาะกับการเล่นทั้งสำรวจและลอบเร้นก็คือการมีตะขอเกี่ยวอย่าง Grappling Hook ให้ใช้ เจ้าตะขอเกี่ยวนี้จะสามารถใช้งานได้ เมื่อเราพาตัวละครไปอยู่ใต้ชายระเบียง และมันจะกดปุ่มเพื่อใช้ตะขอยึด และขึ้นสู่หลังคา หรือขอบหลังคาได้โดยทันที ทำให้ Naoe หลบหนี และลอบเร้นเข้าสู่พื้นที่สำคัญได้ง่ายกว่า

เครื่องไม้เครื่องมือของ Naoe หลังปลดล็อคแบบเต็มสูตร ก็จะมีชูริเคนที่เอาไว้ปาใส่สิ่งของหรือศัตรูเพื่อทำให้เสียหลัก มีระเบิดควันสำหรับปาลงไปกลางดงแล้วเชือดนิ่ม ๆ หรือจะใช้กระดิ่งพกพาปาล่อศัตรูก็ทำได้ แต่อันนี้ขอติก่อนเลย คือไอ้กระดิ่งนี่มันใช้งานไม่ได้ผลหลายรอบมาก ๆ ผมอัปสกิลเพิ่มความสามารถกระดิ่งให้มันล่อศัตรูได้ไกลที่สุด แต่ปาจริง ระยะมันใกล้จนน่าใจหาย ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าใช่แบบนี้ มันอาจจะบั๊ก หรือ A.I. มันเอ๋อ ก็ไม่ทราบได้ แต่กระดิ่งกลายเป็นของไร้ประโยชน์สำหรับผมไปเลย เอาไว้หลังเดย์วันแพทช์ออกอีกที จะลองใช้ดูใหม่

ด้วยอุปกรณ์ที่หลากหลาย ทำให้การลอบเร้นของ Naoe มันสนุกมาก ๆ ยิ่ง Outpost ของภาคนี้ มีหลายแบบ เราจะบุก จะเข้าทางไหน จะเชือดศัตรูหรือไม่ จะลอบเร้นยังไง นี่คือเหตุผลที่ Naoe เล่นสนุกกว่า Yasuke มาก คือ Yasuke มันเล่นได้แค่เอาหน้าไถศัตรู แต่ Naoe มันแล้วแต่เหลี่ยมมุมพื้นที่ มีการใช้สกิลดาบคาตานะแทงทะลุประตู หลบในพื้นที่ได้ หรือ Double Assassinate ได้ เทียบกับ Yasuke แล้ว ทุกครั้งที่บุก Outpost ยังไงผมก็เล่น Naoe เพราะมันเคลียร์ง่ายกว่า

แต่ถึงอย่างนั้น Naoe ก็ไม่ใช่จะบู๊ไม่ได้เลย ในกรณีที่เรา Stealth แตก หรือเจอกองโจรโดยบังเอิญ อาวุธอย่างคุซาริกามะคือทางเลือกที่ดี หรือการใช้ดาบคาตานะเองก็ไม่เลวเหมือนกัน เพียงแต่ Naoe จะตัวบางมาก ๆ Deflect พลาดสักครั้ง อาจถึงตายได้เลย แต่เราก็อุดช่องโหว่นี้ได้ด้วยไอเทมโบนัสที่เพิ่มพลังโจมตี เพิ่มพลังชีวิต หรือแม้แต่การเพิ่มพลังเจาะเกราะต่าง ๆ แต่ก็ใช่ว่ามันจะทำให้ Naoe ไร้เทียมทาน ถ้าเลือกได้ก็อย่าให้ Stealth แตกเลยจะดีที่สุด

ในด้านการสำรวจ ภูมิประเทศของภาคนี้เต็มไปด้วยภูเขา หรือทางเดินแคบ ๆ หรือปีนหน้าผา มันเลยทำให้ Naoe ได้เปรียบในด้านความคล่องตัวกว่า สรุปคือ ถ้ามันไม่จำเป็น หรือผมลอบเร้นจนเบื่อจริง ๆ ผมแทบจะไม่สลับเปลี่ยนไปเล่น Yasuke เลย เพราะ Naoe มันเล่นสนุกกว่า ที่สำคัญ มันเท่ครับ

แต่ถึงอย่างนั้น เกมมันก็มีหลายช่วงที่เราจะสามารถเลือกได้ว่า จะเล่น Naoe หรือ Yasuke ส่วนใหญ่จะเป็นภารกิจจำพวกเนื้อเรื่องเสริม มันจะมีช่วงที่ Yasuke บุกถล่มประตูหน้าเข้าไป ส่วน Naoe จะเข้าอีกทาง ไปจัดการจากด้านในออกมาอีกที อันนี้บอกตรง ๆ ว่าผมไม่มีเวลาไล่เก็บภารกิจแนวนี้ต่อ ไม่รู้ว่ามันเยอะแค่ไหน แต่มันเท่ใช้ได้เลยทีเดียว 

แต่ท้ายที่สุด คุณจะเล่นตัวละครไหนมากกว่าหรือน้อยกว่า ก็เลือกเองได้เลยตามใจชอบ ตามสไตล์ที่อยากเล่น จริง ๆ อาจเพราะว่าเราเปิด Guaranteed Assassination ด้วย ทำให้เรารู้สึกว่าการเป็น Naoe สะดวกกว่า ถ้าเราปิด เราน่าจะลอบสังหารพวกทหารระดับสูง เลือดเยอะ ๆ ไม่ตาย อาจจะอยากเอา Yasuke มายัดหน้าให้มันจบ ๆ ไปก็ได้

Hideout – ผลาญเวลาชีวิต ให้คุณติดพันกว่าเดิม

หนึ่งระบบที่จะทำให้คุณเสียเวลาและแวะทุกที่ ทุกจุดมากกว่าที่เคยก็คือระบบ Hideout หรือการสร้างฐานของเรา โดยมันจะอำนวยความสะดวกให้กับเราได้โดยตรงด้วย การแต่งฐานของเราจะประกอบด้วยสิ่งปลูกสร้างหลัก 6 อย่าง ไม่ว่าจะเป็นโรงฝึก โรงตีเหล็กและอื่น ๆ ทำให้ทุก ๆ การอัปเกรด จะทำให้เราได้ผลประโยชน์จากระบบนี้โดยตรง สำหรับทรัพยากรที่ใช้ในการอัปเกรดฐานก็สามารถหาได้จากการออกสำรวจอยู่แล้ว ดังนั้นยิ่งคุณขยันสำรวจมากขึ้นเท่าไร โอกาสที่จะได้อัปเกรดฐานจนเต็มไวขึ้นก็มากเท่านั้น

การอัปเกรดฐานจะมอบผลสองอย่างคือ ความสามารถรวมและความสามารถย่อย ความสามารถรวมคือความสามารถของ Hideout ทั้งหมดที่จะแสดงอยู่ในหน้า List ของระบบ ส่วนความสามารถย่อยคือความสามารถยิบย่อยตามแต่ละสิ่งปลูกสร้างที่คุณสร้างเอาไว้ เช่นการสร้างโรงตีเหล็ก เมื่ออัปเกรด จะสามารถตีบวกอาวุธขั้นสูงขึ้น และใส่ Engrave ให้อาวุธได้มากขึ้น หรือโดโจ โรงฝึก ก็สามารถทำให้เราพาสมาชิกทีมออกไปลุยด้วยกันได้มากขึ้นเป็นสองคนเป็นต้น

และที่สำคัญคือเราสามารถตกแต่งให้มันสวยงามตามใจชอบได้เลย โดยพวกของแต่งต่าง ๆ สามารถหาได้จากร้านค้าตามเมือง และการเปิดหีบสมบัติตามแมป และทาสแมว ทาสหมา บอกเลยว่าถูกใจแน่ ๆ เราสามารถไล่ลูบน้องแมวตามทางที่มีทั้งแมวตัวใหญ่ และระดับน้องจิ๋วที่เป็นลูกแมว เมื่อเรากดลูบแล้ว เราสามารถพาน้องกลับไปอยู่ที่ฐานของเราได้ แล้วคราวนี้คุณอยากให้ฐานของคุณออกมาสวยประมาณไหน ก็ออกแบบกันเองได้ตามใจชอบ

และนั่นแหละครับ ทั้งฟาร์มของอัปเกรดตัวละคร ฟาร์มของอัปเกรดฐาน ไล่หาน้องหมา น้องแมวกลับบ้านไปอยู่ด้วย สารภาพเลยว่า ผมนอนตีสามตีสี่ไปหลายคืนเลยทีเดียว

Accessibility – เมื่อการเข้าถึงเป็นเรื่องสำคัญของ Ubisoft

สำหรับใครที่ติดตามและเล่นเกมของ Ubisoft มาเป็นประจำ จะรู้ว่าค่ายนี้เขาโหดเรื่องการปรับแต่งตัวเกมให้เข้าถึงได้ง่ายมากอยู่แล้ว สำหรับฟีเจอร์ Accessibility หรือเซ็ตติ้งต่าง ๆ ในการเข้าถึงตัวเกมใน Assassin’s Creed Shadows ก็ยังคงมีมากมายเหมือนเดิม

อย่างแรกคือเรื่อง Difficult Tuning หรือระดับความยากที่ผู้เล่นเลือกปรับได้อิสระ จะเอาเกมเพลย์ต่อสู้ง่าย ๆ เอาลอบเร้นยาก ๆ ก็ทำได้ Guaranteed Assassin สามารถเปิด-ปิดได้เลย หากคุณชอบหรือไม่ชอบ RPG มี Area Loot ลูทของทุกอย่างได้ในปุ่มเดียว อันนี้ผมชอบมาก สำหรับคนขี้เกียจกดย้ำ ๆ เพราะไอเทมลูทในเกมนี้มันเยอะโดยเฉพาะในแคมป์ Outpost

Interface สามารถปรับแต่งได้อย่างละเอียด ขนาดตัวอักษร สีตัวอักษร ขนาดหน้าจอ HUD และเรายังสามารถปรับการตั้งค่าการควบคุมด้วยเมาส์หรือคีย์บอร์ดแยกกันแบบเฉพาะได้อีกด้วย อย่างผมถนัดการเล่นเมาส์คีย์บอร์ดมากกว่า ก็สามารถปรับปุ่มให้มันเข้ามือได้แบบสบาย ๆ ขอบอกเลยว่าภาคนี้จะเล่นด้วยจอย หรือเมาส์คีย์บอร์ดก็ดีทั้งคู่

โดยรวมแล้ว ในด้านของ Accessibility เกมของค่าย Ubisoft ก็ยังคงยืนหนึ่งและทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี เป็นอะไรที่ไม่ต้องกังขากันมากในส่วนนี้

ข้อเสียที่พบเจอและคิดว่าเป็นปัญหา

ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาเลย เพราะท้ายที่สุดแล้ว Assassin’s Creed ไม่ใช่เกมที่สมบูรณ์แบบแน่นอน อย่างแรกเลยมันก็ยังคงเป็นปัญหาเดิม ๆ ของเกมแนวลอบเร้นที่หาทางแก้ได้ยาก นั่นคือ A.I. ในระดับปกติมันก็ยังมีความหน้ามึนอยู่บ้าง ระยะห่างไม่ไกลมาก แต่เพื่อนโดนแทงตุยเย่ไปแล้ว มันก็ยังยืนอยู่เฉย ๆ หรือไม่คิดจะหันมามองด้วยซ้ำ ต้องบอกว่า A.I. มันถูกออกแบบมาให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่าแพทเทิร์นมันเดินไปทางไหน มุมไหนบ้าง ดังนั้นทางแก้เดียวของปัญหานี้คือเล่นในความยากที่สูงขึ้น แต่ทุกอย่างจะยกระดับความยากขึ้นไปด้วยเช่นกัน

ต่อมาคือ Cycle ของเกมเพลย์การเล่น อาจไม่ใช่ข้อเสีย แต่ผมต้องบอกเอาไว้ มันคือเรื่องของ Loop Gameplay มันคือเรื่องของความชอบล้วน ๆ ถ้าเกิดว่าคุณไม่ชอบเล่นเกม Open World ที่ต้องขยันฟาร์มในช่วงกลางเกม ต้องวิ่งสำรวจ หาของอัปเกรดตัวละครและฐานเพื่อไปต่อ ในช่วงกลางเกม คุณจะเบื่อเร็วมาก เพราะลูปของเกมจะเป็นแบบนี้เพื่อให้ไอเทมคุณมีประสิทธิภาพพอ จะไม่ฟาร์มเลยมันก็ได้ แต่มันจะยากโดยไม่จำเป็นเลย ย้ำอีกครั้งว่ามันไม่ใช่ข้อเสีย แต่บรรยากาศและ Pacing ของการฟาร์มในเกมภาคนี้ ผมว่ามันกำลังพอดี ถ้าคุณชอบ Pacing ในภาค Origins คุณน่าจะชอบภาคนี้ด้วย

อีกอย่างที่ผมใช้คำว่าเสียดาย ก็คือปฏิกิริยาของเหล่า NPC ต่อโลกในเกม มันน้อยมาก ๆ ถ้ามันไม่ใช่ NPC ศัตรูที่ตั้งใจหาเรื่องเราอยู่แล้ว เราจะเห็นว่า NPC ในเกมนี้มันซังกะตายสุด ๆ ทั้ง ๆ ที่เกมมีระบบสภาพอากาศที่สวยงาม แต่เหล่า NPC ดูจะไม่สนใจสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นเลย จะฝนตก แดดออก ฟ้าร้อง หิมะตก เหล่า NPC ก็ยังคงเดินกันแบบชิล ๆ ไม่สะทกสะท้านต่อสภาพอากาศที่เกิดขึ้น อันนี้มันแอบขัดใจผมพอสมควรเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรมาก

Performance – ขัดเกลาให้สมกับเป็นเกมที่เลื่อนมาสองรอบ

อย่างที่เราระบุไว้ในสเปคขั้นต้น เราใช้เครื่องระดับท็อปเท่าที่เราจะมีได้ ซึ่งก็รวบจบทุกปัญหาได้อย่างแน่นอน ปรับสุด เปิด Full Ray Tracing ทุกอย่าง เล่นบนความละเอียดระดับ 4K เฟรมเรทอยู่ที่ประมาณ 70-80 ซึ่งก็ไม่ได้แย่ แถมภาพสวยคมแบบสุด ๆ 

แต่ถ้าตัดกลับลงมาที่เครื่องรองลงมาในระดับนึง เป็นเครื่องส่วนตัวของผมด้วยสเปค i5-12400f แรม 32GB และการ์ดจอ RTX3080 เล่นบนความละเอียดระดับ 2K ปรับใช้ Ray Tracing ระดับกลาง ปรับภาพให้เป็นระดับ Medium ผสม High เฟรมเรทที่ได้ก็ยังเฉลี่ยอยู่ที่ 80-90

คือภาคนี้เขาแบ่งสเปค PC ออกมาหลากหลายรุ่น และยิบย่อยมาก ๆ ดังนั้นเราคงบอกได้แค่ว่า ถ้าสเปคเครื่องคุณถึง ก็ลองเทียบตารางสเปคที่เขาปล่อยออกมาก่อนหน้า แล้วปรับการตั้งค่าให้เหมาะสม ยังไงก็เล่นได้ลื่น ๆ อยู่แล้ว ส่วนพวกบั๊กต่าง ๆ นอกจากการเล่นซนของผมที่พยายามวิ่งหาบั๊ก จนตัวละครไปติดร่องตามแมป ซึ่งไม่นานก็กระโดดอกมาได้ ผมก็ไม่เจออะไรแล้ว และผมเล่นไป 30 ชั่วโมง ก็ถือว่าเกมขัดเกลามาได้ดีเยี่ยม ซึ่งมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะเลื่อนมาสองรอบแล้ว

ส่วนบน Playstation 5 เราก็ได้สัมผัสเกมไปนิดหน่อย ซึ่งตัว PS5 ธรรมดา สามารถเลือกได้ 2 Mode คือ Performance ที่จะดันเฟรตเรต 60 FPS แลกกับ Ray Tracing แบบ Selective (มีเฉพาะตอนเข้าฐาน) กับ Quality ที่จะล็อคเฟรมเรตไว้ 30 FPS แต่จะได้ Standard Ray Tracing ซึ่งเราเลือกเล่นแบบ Quality ที่เกมแนะนำ โดยรวมไม่เห็นปัญหาอะไร แต่จะมีบางฉาก เช่น ฉากเปลี่นฤดูกาล ที่รู้สึกว่าภาพจังหวะมีเฟรมเรตแกว่ง พวก Bug หนัก ๆ ที่เห็นได้ชัดเลยไม่มี ก็จะมีพวก Glitch นิดหน่อยเท่านั้น 

ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมา หลาย ๆ อย่างอาจจะถูกแก้ใน Day 1 Patch ก่อนเกมออก สิ่งที่เราพูดมาก็อาจจะไม่มีแล้ว หรือมีน้อยลงไปแล้ว

สรุป – มันคือเกมที่ดีหรือไม่

สำหรับแฟนเกม Assassin’s Creed ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายภาค ผมต้องบอกจากใจจริงว่าภาคนี้ยังคงเป็นเกมที่ดี มันเป็นการเอาระบบเกมเพลย์หลากหลายอย่างจากภาคเดิม ๆ มา Polish ให้ยอดเยี่ยม และปรับจูนบาลานซ์รวมไปถึง Pacing ของเกมเพลย์ให้ดูดีขึ้น ลดความยุ่งยากซับซ้อนหลายอย่างลงไป ให้ผู้เล่นเอ็นจอยกับตัวเกมได้ง่ายขึ้น ถึงจะมีจุดตำหนิอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เกมแย่ลงไป เพราะมองกันตามเนื้อผ้า ปัญหาที่ Assassin’s Creed Shadows เจอ ก็เป็นสิ่งที่หลายเกมเจอเหมือนกัน แต่ถ้าภาพรวมของมันออกมาสนุก และดูดี ก็ถือว่าสอบผ่าน

พูดให้ง่ายกว่านั้น คือ มันเป็น Odyssey ที่ลดความเวิ่นเว้อในการฟาร์มลง ลดความรู้สึกว่ามันมีอะไรให้ทำมากเกินไป ทุกจุดเครื่องหมาย ? คือต้องมี Objectiveไปเสียหมด เล่นแล้วอาจจะรู้สึกเหนื่อย ซึ่งภาคนี้มันพอจะลดความรู้สึกแบบนั้นได้บ้าง และมันก็ไม่ได้รู้สึกว่าเนื้อเรื่องยืดยาวไม่จบเสียทีแบบ Valhalla แถมบางทีเนื้อเรื่องของมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักเสียด้วย แต่ Shadows จะพยายามทำให้ทุกสิ่งอย่างเชื่อมกัน และทำให้เรารู้สึกอยากสำรวจมากขึ้น

ถ้าคุณชอบ Assassin’s Creed ฉบับ Open World RPG ชอบธีมญี่ปุ่น ชอบการลอบเร้นสนุก ๆ และมีตัวเลือกให้สลับไปบู๊แหลกได้อย่างลื่นไหล นี่คือภาคที่คุณไม่ควรพลาด แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบ ก็พอจะเข้าใจได้ ไม่มีเกมไหนที่จะมีคนชอบทุกคนอยู่แล้ว ถ้าวันใดวันหนึ่งคุณมีโอกาส อยากลองสัมผัสมันดู ผมก็คิดว่าคุ้มค่าแน่นอน

Assassin's Creed Shadows

/ 10 คะแนน

ข้อดี

  • งานภาพ และโลกในเกม สวยงามสมใจแฟน ๆ ที่รอคอยฉากหลังประเทศญี่ปุ่น
  • ตัดความเฟ้อของระบบ RPG และตัวเลขลงให้พอดิบพอดี เล่นสนุก ไม่หนักหรือล้นจนเกินไป
  • ทั้ง Yasuke และ Naoe เล่นสนุกทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับผู้เล่นเลยว่าชอบตัวละครไหน
  • ระบบสร้างฐานออกมาดูดีกว่าที่คาดหวังเอาไว้มาก

ข้อเสีย

  • NPC ชาวบ้าน ขาดปฏิสัมพันธ์กับโลกในเกมบ่อยมาก
  • คอนเทนต์ช่วงกลางเกมขึ้นไป คือการเล่นเป็นลูปเดิม ๆ ใครชอบก็ชอบเลย ไม่ชอบก็เกลียดไปเลย
  • เสียงพากย์บางตัวละครไม่เข้ากับหน้าตา ทั้งภาษา EN และ JP

Aisoon Srikum

Back to top
×