B&O Beoplay E8 กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับคนเล่นหูฟังหรือคนที่ต้องการ Earphone ประเภท Truly Wireless ที่ดีที่สุดในปัจจุบัน แต่แน่นอนว่าของที่ดีที่สุดที่หลายคนพูดถึง จะมีประสิทธิภาพที่โดนใจผู้อ่านจริงหรือไม่ มาพบกับ Review: B&O Beoplay E8 หูฟังไร้สายคุณภาพพรีเมี่ยมที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีล้ำมากมาย
B&O Beoplay E8 คืออะไร
Beoplay E8 เป็นหูฟังประเภท Ture Wireless หรือ Wireless ไร้สาย ตัวแรกของแบรนด์ Bang & Olufsen ผู้มีประสบการณ์ทำเครื่องเสียงระดับ High-End มานาน
ปี (อดีตเคยทำผลิตภัณฑ์โทรทัศน์ โทรศัพท์ และเครื่องมือสื่อสาร)ถึงจะเป็นรุ่นแรก แต่พี่แกยังคงจัดเต็มในทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นบอดี้ทำด้วยวัสดุอลูมิเนียมที่ทนทาน มีน้ำหนักเบา และดูเรียบหรูหราตั้งแต่บอดี้ยันเคสเก็บหูฟัง ด้วยการออกแบบบอดี้ที่มีขนาดเล็กพอดี พร้อมมีขนาดจุกหูฟังให้เลือกใส่ (S, M, L และจุกโฟมไซส์เดียว) ทำให้ E8 ใส่สบาย ไม่มีอาการเจ็บหูจากการสวมใส่เป็นเวลานาน แต่เพราะด้วยหูฟังที่มีขนาดเล็กพอดี หากผู้ใช้ E8 กำลังทำกิจกรรมออกกำลังกายอย่างเช่นการวิ่ง การกระโดด ตัวหูฟังสามารถหลุดออกจากหูง่าย ฉะนั้นไม่ควรใช้ E8 สำหรับการออกกำลังกายอย่างยิ่ง
คุณสมบัติถือว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน เพราะ Beoplay E8 ใช้เทคโนโลยี Near Field Magnetic Induction ที่ช่วยส่งสัญญาณผ่านสนามแม่เหล็กจากหูฟังทั้งสองข้าง บวกกับระบบ Bluetooth ชนิด 4.2 AAC codec ทำให้ส่งสัญญาณได้รวดเร็วและแทบจะไม่มีอาการเสียงดับหรือกระตุก
แม้ว่าขนาดของแบตเตอรี่หูฟังสามารถใช้งานได้นานสุดประมาณ 4 ชั่วโมง (และชาร์จเก็บต่อได้อีก 2 รอบ รวมเป็น 12 ชั่วโมง) แต่ก็ขอบคุณเทคโนโลยีแบตเตอรี่แบบ Li-ion polymer ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มได้รวดเร็วภายใน 2 ชั่วโมง ต้องบอกได้เลยว่าประสิทธิภาพสอบผ่านฉลุย
แต่สิ่งที่ E8 แตกต่างจากหูฟัง Ture Wireless ตัวอื่นคือปุ่มแบบระบบสัมผัสแบบ Gesture ที่สามารถควบคุมฟีเจอร์หูฟังแบบพื้นฐานได้เพียงแค่แตะหูฟังด้านขวามือแบบเบา ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเล่น-หยุดเพลง, การสายรับโทรศัพท์ หรือปุ่มเพิ่ม-ลดประมาณเสียง
แต่พูดตรง ๆ เลยว่าตอนแรกผู้ใช้ยังไม่ชินกับปุ่มระบบสัมผัส Gesture ของ E8 ทำให้ผู้ใช้มักจะถอดหูฟังเข้า-ออกเป็นประจำเพื่อเช็คว่าหูฟังทำงานอยู่หรือเปล่า ไม่ใช่ข้อเสีย แต่มันรู้สึกแปลก ๆ ซึ่งคาดว่าอาจต้องสร้างความเคยชินสักระยะหนึ่ง
มาพูดคุณภาพเสียงกันบ้าง หูฟัง Beoplay E8 ใช้ไดร์เวอร์แบบ Dynamic Driver 5.7 มิลลิเมตรแบบ Diameter ซึ่งมีคุณสมบัติที่สามารถขับเสียงได้ทุกย่านในรูปแบบโทนอุ่นหนา ฟังสบาย ไม่บาดหู และสามารถฟังเพลงสนุกได้หลากแนว ไม่ว่าจะเป็นเพลงป็อป, ร็อก, EDM, Hip-Hop และ R&B แต่เสียงยังไปไม่สุดสำหรับเพลงแนว Jazz, Orchestra, เพลงที่เน้นในรายละเอียดเครื่องดนตรีโดยเฉพาะ หรือหากผู้ใช้ต้องการแกะเพลง
นอกจากนี้ BE8 ยังมีระบบ Transparency mode ที่เป็นฟีเจอร์ที่สามารถทำให้ผู้ใช้สามารถได้ยินเสียงจากโลกภายนอก ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากสำหรับการเดินทางข้ามถนนหรือขณะนั่งรถไฟฟ้าเพื่อฟังเสียงรอบข้างครับ
E8 VS. AirPods
คุณภาพเสียง : เนื่องจาก Airpods เป็นหูฟังแบบ Ear bud ฉะนั้นตัดเรื่องคุณภาพเสียงออกทั้งหมด โดยเฉพาะเสียงเบส, การกลบเสียงรบกวนภายนอก และการซีลเสียงให้ข้างได้ยิน เพราะ E8 เป็นหูฟังประเภทอินเอียร์ ใช้จุกหูฟังซึ่งจะสามารถซีลตัดเสียงรบกวนจากภายนอกและผู้ใช้สามารถฟังเพลงได้เต็มอรรถรสมากยิ่งขึ้น
แต่คุณภาพเสียงจัดว่าดีกว่า EarPods เพราะมิติเวทีเสียงมีความกว้างขึ้น, เบสเองก็ดีขึ้นจากรุ่นก่อน และรวมไปถึงส่วนของเสียงนักร้องกับเสียงแหลมเองก็สามารถทำได้ดีสมกับเป็นจุดเด่นของหูฟังประเภท Ear Bud แต่โดยรวมแล้ว เสียงของ AirPods ยังไม่น่าประทับใจมากพอ และแน่นอนว่ายังห่างชั้นกับ E8 อยู่หลายขั้นเลย
คุณภาพโดยรวม : การออกแบบ AirPods เป็นสีขาว เรียบง่าย ดูหรูหรา มีเอกลักษณ์ความเป็นแบรนด์ Apple เฉพาะตัว ระบบ Bluetooth ของ AipPods มีความเสถียรกว่าหูฟัง E8 เพราะมีโอกาสน้อยกว่าที่ผู้ใช้จะประสบปัญหาเสียงกระตุกหรือขาดช่วง ในขณะที่ E8 มีพบอาการดังกล่าวในบางครั้ง แต่ก็ถือว่ายังเดิดขึ้นน้อยซึ่งเป็นเรื่องที่อภัยให้ได้
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด AirPods ง่ายต่อการสวมใส่และใช้งาน เพราะหูฟังดังกล่าวไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนจุกหูฟังเท่ากับรูหู และถ้าผู้ใช้มีเครื่อง iPod หรือ iPhone เพียงแค่หยิบ AirPods เสียบเข้าหูแล้วเชื่อมต่อ Bluetooth ระหว่างหูฟังกับเครื่องเล่น iOS แล้วกด Connect เพียงเท่านี้ก็พร้อมใช้งานโดยทันที (ยกเว้นระบบ Androids)
สรุป: AirPods มีความสะดวกสบายต่อการสวมใส่, ใช้งานก็ง่ายแสนง่าย, เข้าถึงได้ทุกคน แต่คุณภาพเสียงยังไม่สามารถต่อกรกับ E8 ได้ AirPods เหมาะสำหรับคนฟังเพลงทั่วไปที่ไม่ใช่เพลงที่มีจังหวะเบสหนัก หรือเพลงที่ใช้เครื่องดนตรีเยอะจัด
E8 VS. Muse 5
คุณภาพเสียง: ถึงแม้ว่าทั้งคู่เป็นหูฟังอินเอียร์ แต่ลักษณะเสียงของทั้งคู่มีจุดขายที่ต่างกัน ในขณะที่ E8 จะมีเสียงโทนอุ่น เน้นย่านกลาง สามารถฟังสนุกและไพเราะเกือบทุกแนวเพลง แต่คุณภาพเสียง Muse 5 จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ ไม่ได้แย่หรือดีเป็นพิเศษ
โดยสิ่งที่โดดเด่นสุด คือเสียงย่านแหลมของหูฟังที่มีความคมกริบและชัด สามารถฟังเพลงดนตรีที่เน้นเครื่องสายเสียงอย่างเพลงร็อก หรือคลาสสิกได้สนุกพอใช้ แต่หากเทียบกับราคาขายประมาณ 5,176 บาท คุณภาพเสียงควรทำได้ดีกว่านี้
ส่วนระบบ 3D surround sound ที่จะช่วยให้มิติของเสียงมีความกว้างขึ้น ก็ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างที่ชัดเจนมากนัก ทำให้กลายเป็นฟีเจอร์ที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ซะเท่าไหร่นัก
คุณภาพโดยรวม: สิ่งแรกที่เห็นแตกต่างอย่างเห็นชัดคือการดีไซน์หูฟัง ต้องบอกตามตรงเลยว่าผู้เขียนไม่ใช่แฟนการออกแบบของ Muse 5 ตั้งแต่เคสและหูฟัง เพราะลักษณะรูปร่างราวกับหูฟัง Wireless ที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายหูฟังทั่วไป และวัสดุใช้ประกอบเป็นพลาสติกขนาดหนาซึ่งแม้จะมีความทนทานและสามารถกันน้ำได้ก็จริง (ซึ่งเป็นข้อดีมาก ๆ ในจุดนี้) แต่มันไม่สวยเอาซะเลย
และ Muse 5 มีขนาดวัสดุค่อนข้างใหญ่หากเทียบกับ E8 อ้างอิงจากผู้ใช้ Muse 5 ส่วนใหญ่จะพบกับปัญหารู้สึกเจ็บหูจากการสวมใช้งานเป็นเวลานาน ซึ่งแตกต่างจาก E8 ที่มีขนาดเล็กกว่าและผ่านการออกแบบเพื่อให้สามารถสวมใส่พอดีสำหรับรูหูทุกคน
แต่ Muse 5 ก็มีอุปกรณ์เสริมอย่าง “ear sleeves” ที่จะสามารถเปลี่ยนขนาดช่องลำโพงที่มีให้เลือกตามขนาดให้แน่นพอดีหู ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากเพราะช่วยตัดเสียงรบกวนจากภายนอกได้แน่นสนิท ไม่หลุดง่าย เหมาะสำหรับใช้ฟังเพลงเพื่อออกกำลังกายอย่างมากตามสโลแกนของหูฟังตัวนี้ แต่ปัญหาก็ยังคงเป็นเช่นเดิม คือจะรู้สึกเจ็บหูเมื่อใช้เป็นเวลานานเพราะบอดี้หูฟังมีขนาดใหญ่
สรุป: Muse 5 เหนือกว่า BE8 ในส่วนของการตัดเสียงรบกวน และเหมาะสำหรับการใช้ออกกำลังกาย แต่คุณภาพวัสดุ ความสบายในการสวมใส่ และเสียงยังห่างไกลกว่า BE8 มาก (และคาดว่ายังห่างไกลจากหูฟังแบรนด์อื่นที่มีราคาเทียบเท่าอีกด้วย)
สรุปโดยรวมทั้งหมด
ถ้าหากผู้ใช้ต้องการหูฟัง True Wireless ที่สะดวกสบายและใช้ง่ายที่สุด โดยคุณภาพเสียงเป็นเรื่องรองลงมา ตัวเลือกคงหนีไม่พ้น AirPods
แต่หากผู้ใช้ต้องการหูฟังที่สามารถใช้งานยามออกกำลังกายโดยไม่มีสายเกะกะ ไม่ต้องกังวลเรื่องหูฟังหลุดออกจากหู หรือโดนความชื้นจากเหงื่อของผู้ใช้ โดยคุณภาพเสียงอยู่ในเกณฑ์พอรับได้ คำตอบคือ Muse 5
แน่นอนว่าสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการหูฟัง Truly Wireless ที่ดีที่สุดในตอนนี้ ไม่ว่าจะดีไซน์ที่หรูหรา, คุณภาพเสียงครอบคลุมทุกย่าน, ฟังสนุกเกือบทุกแนว, และใส่สบายหู หากไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ (ราคา 11,094 บาท) หูฟัง B&O Beoplay E8 คือคำตอบที่ดีที่สุดครับ