Devil May Cry ถือเป็นซีรีส์ลูกรักที่ประสบความสำเร็จอันดับต้น ๆ ของ Capcom เลยก็ว่าได้ หลังจากที่ให้ทาง Ninja Theory นำไป Reboot ใหม่ในชื่อ DmC เมื่อปี 2013 ก็ยังไม่ถือว่าเปรี้ยงนัก เพราะสิ่งที่แฟนเกมจริง ๆ ต้องการคือภาคต่อจากภาคที่สี่ต่างหาก และในวันนี้ ฝันที่เหล่าแฟน ๆ รอคอยอันมาอย่างยาวนานถึง 10 ปี ก็ได้กลับมาอีกครั้งใน Devil May Cry 5 และต้องบอกว่านี่คือภาคต่อที่สมกับการรอคอยที่สุด คือ Devil May Cry ที่ดีที่สุดที่เคยมีมาทีเดียว
ปีศาจสะอื้น อีกครั้ง
เรื่องราวของ Devil May Cry ในภาคนี้เริ่มหลังจากเหตุการณ์ในภาคที่ 4 ในไม่กี่ปีต่อมา Nero เปิดร้านรับจ้างปราบปีศาจ Devil May Cry สาขาสองและยังคงติดต่อกับ Dante อยู่เสมอ วันหนึ่งได้มีบุรุษลึกลับเข้ามากระชากแขน Devil Bringer ของเขาที่มีดาบ Yamato สถิตอยู่ด้านใน และใช้มันเปิดประตูมิติหนีไป และหลังจากนั้นไม่นาน Dante ก็ได้รับงานจากชายลึกลับที่มีชื่อว่า V ให้ไปจัดการกับจอมปีศาจคนใหม่นามว่า Urizen ที่ฝังต้นไม้ปีศาจ Qliphoth ลงไปในเมือง Red Grave พร้อมกับเปิดประตูมิติให้เหล่าปีศาจออกมาอาละวาดในเมืองเพื่อเอาเลือดของมนุษย์มาเป็นแหล่งพลังงานให้กับต้น Qliphoth แต่ศึกคราวนี้หนักหนาสาหัสมากจนต้องมาลุ้นว่าเหล่าตัวเอกของเราจะสามารถพิชิตตัวการใหญ่ได้หรือไม่
สำหรับเนื้อเรื่องในภาคนี้ ช่วงแรกจัดว่ามีการวางบทมาได้เข้มข้นและน่าติดตาม เพราะตัวร้ายใหม่อย่าง Urizen นั้นดูมีรัศมีของตัวโกงที่ดุดันมากกว่าตัวเก่า ๆ อย่าง Arkham หรือ Sanctus เยอะมาก ๆ แถมยังผูกปมประเด็นดราม่าที่เราต้องมานั่งลุ้นว่าเหล่าพระเอกของเราจะปราบมันลงได้หรือไม่ แต่ก็น่าเสียดายที่ตัวเกมขยี้ประเด็นนี้ได้ไม่สุดเท่าไหร่ เพราะในช่วงหลังของเกมที่ผ่านจุดพีคไปแล้วนั้น ตัวเนื้อเรื่องมีการดรอปลงอย่างเห็นได้ชัดมาก แม้จะชดเชยมาด้วยความห่ามและความกวนโอ้ยอันเป็นเอกลักษณ์ของเหล่าตัวเอก แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เนื้อเรื่องในช่วงหลังดูน่าติดตามขึ้นมาสักเท่าไหร่ ยิ่งโดยเฉพาะถ้าเป็นแฟนซีรีส์นี้อยู่แล้วก็น่าจะเดาผลลัพธ์กันได้ตั้งแต่ช่วงกลางเกมเลยด้วยซ้ำ
แต่กระนั้นมันก็มีอะไรให้ชวนอมยิ้มและปลื้มใจไปในทางที่ดีมากหลายอย่างเหมือนกันสำหรับแฟนซีรีส์นี้ อย่างเช่น Easter Eggs ต่าง ๆ ที่ปรากฏในเกม บทพูดและท่าทางยียวนกวนโอ้ยของตัวเอกกับเหล่าปีศาจในเกมแบบเกรียน ๆ ก็ทำได้ดีเหมือนเคย ถึงแม้บทพูดจะฟังดูขัดหูขัดใจในสไตล์การ์ตูนญี่ปุ่นบ้าง และเรื่องราวที่ไม่มีความ Make Sense แม่แต่น้อย แต่มันก็คือความเป็น Devil May Cry ในแบบที่แฟน ๆ ชื่นชอบมาโดยตลอด แม้การพยายามฉีกแนวไปเป็นอะไรที่ดูจับต้องได้มากกว่าใน DmC จะเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ชัดเจนแล้วว่าสไตล์การดำเนินเนื้อเรื่องแบบนี้คือสิ่งที่เหมาะสมกว่า อาจจะติดตรงที่ว่ามันน่าจะดีได้มากกว่านี้อีกสักหน่อยแค่นั้นเอง
โลกที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง สีสัน และเหล่าปีศาจปากมาก
ด้วยขุมพลังของ RE Engine ทำให้เราได้เห็นโลกของ Devil May Cry ที่สวยสดงดงามมากขึ้นยิ่งกว่าเก่า ที่โดดเด่นมากในภาคนี้คือการให้แสงเงาที่สวยงาม ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน หรือเอฟเฟกต์การใช้พลังต่าง ๆ ล้วนน่าประทับใจทั้งสิ้น การออกแบบปีศาจและตัวละครในภาคนี้ก็ทำอย่างละเอียดสวยงามมาก ๆ โดยเฉพาะเหล่าตัวละครหลักทั้งหลาย ในตอนแรกผู้เขียนแอบกังวลว่าการใช้เทคโนโลยี Photogrammetry จะทำให้หลาย ๆ อย่างในเกมดูขัดตาหรือเปล่า แต่ไม่เลย มันยิ่งทำให้ทุกอย่างดูดีขึ้นกว่าเก่าและให้อารมณ์ความเป็นภาพยนตร์มากขึ้นไปด้วย ซึ่งตัวนายแบบนางแบบที่มาเป็นโมเดลให้กับเกมนี้นั้นเรียกได้ว่าเหมาะสมกับตัวละครนั้น ๆ อย่างไร้ข้อกังขาใด ๆ ทั้งสิ้น
และการออกแบบปีศาจในเกมทั้งตัวลูกกระจ๊อกหรือบอสนั้นก็ออกมาแบบมาได้มีเอกลักษณ์ แม้หลายตัวจะเป็นศัตรูที่มีรูปแบบคล้ายคลึงกับภาคเก่า ๆ แต่ก็ถูกปรับแต่งใหม่ให้ดูมีเอกลักษณ์มากขึ้น ชนิดที่ว่าแค่คัตซีนเปิดตัวพวกมันเราก็พอรู้ได้ทันทีว่าพวกมันจะเข้ามาต่อสู้กับเราแบบไหน และต้องรับมืออย่างไร ก่อนที่จะให้ผู้เล่นได้เจอกับพวกมันมากขึ้นและเรียนรู้วิธีจัดการอย่างมีประสิทธิภาพในภายหลัง
อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องชมเรื่องของดนตรีประกอบในเกม ใน Devil May Cry 5 ซึ่งเน้นไปที่ความมันส์สะใจในการต่อสู้ ยกตัวอย่างเช่นในฉากต่อสู้ทั่วไป ที่ในช่วงแรกเพลงประกอบจะเบา ๆ เหมือนมีไว้ประกอบฉากเฉย ๆ แต่พอเราสามารถทำคะแนน Stylist Point ได้แรงค์ที่สูงขึ้น ก็จะมีการประกาศแรงค์ที่เราทำได้ และเพลงก็จะเร้าใจมากขึ้นเรื่อย ๆ จนไปสุดที่ระดับ SSS ทั้งเสียงประกาศและเสียงเพลงจะเร่งจังหวะขึ้นมาอย่างสะใจ ช่วยให้การเล่นเร้าอารมณ์อย่างมากทีเดียว ถือเป็นจุดที่ปรับปรุงให้ตัวเกมมีความสะใจมากขึ้นยิ่งกว่าภาคเก่าหลายเท่า
ของดีคงไว้ ของใหม่ใส่เข้าไป
ระบบการเล่นในภาคนี้ค่อนข้างมีความคล้ายคลึงกับเกมภาคที่สี่ ทั้งจังหวะการกดคอมโบ การเคลื่อนที่ และจังหวะการโจมตีของศัตรู ซึ่งถ้าใครที่ซ้อมหรือชินจากภาคที่สี่มาแล้วก็เล่นได้สบายไม่มีปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น แถมอนิเมชั่นในการออกท่าต่อสู้ก็ถูกปรับปรุงใหม่หมดจดจนมีความไหลลื่น ทำให้การออกท่วงท่าต่าง ๆ มีความเฟี้ยวฟ้าวถูกใจเป็นยิ่งนัก และไม่ต้องปวดหัวกับการกระโดดข้ามแพลตฟอร์มที่ไม่รู้ว่าจะผ่านอย่างไรไปได้เลย เพราะปริศนาหลายอย่างในภาคนี้ค่อนข้างจะเป็นเส้นตรงมาก แค่เอาของจากที่หนึ่งไปใส่อีกที่หนึ่ง หรือไปโจมตีในจุดที่กำหนดก็ผ่านไปได้แล้ว แล้วให้ผู้เล่นสะใจกับการต่อสู้อย่างเต็มอิ่มแทน
ส่วนใครที่กังวลว่าตัวเกมจะไม่รองรับคีย์บอร์ดก็สบายใจได้ เพราะปุ่มบังคับต่าง ๆ นั้นวางมาได้โอเคในระดับหนึ่ง แต่เพื่อความมันส์ระดับขีดสุด ผู้เขียนแนะนำว่าควรหาจอยดี ๆ มาใช้สักตัวจะดีกว่า เพราะถึงแม้การควบคุมด้วยคีย์บอร์ดจะดีขึ้น แต่การใช้จอยเล่นเกมนี้ก็ยังดีกว่ามาก ๆ ระดับกอไก่ล้านตัวอยู่ดี
สำหรับรูปแบบการเล่นในภาคนี้ มีการออกแบบท่าต่อสู้ใหม่หมดจนให้ลื่นไหลมากขึ้น อนิเมชั่น ทั้งสามตัวละครที่เราได้ควบคุมจะมีจุดเด่นและวิธีการบังคับที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยมีดังต่อไปนี้
Nero: ยังคงมีอาวุธหลักจากภาคเก่าคือดาบ Red Queen ที่มีท่า Exceed ที่ถ้าหากผู้เล่นกดปุ่ม L2 รัว ๆ ก็จะเป็นการชาร์จพลังให้กับดาบ ซึ่งจะโจมตีได้แรงขึ้นพร้อมทั้งท่าบางท่าจะเปลี่ยนไป ซึ่งจังหวะในการชาร์จระหว่างโจมตีจะทำได้ง่ายกว่าภาคที่สี่มาก และที่เป็นจุดเด่นสำคัญคือเหล่าแขนกล Devil Breaker รูปแบบต่าง ๆ ที่ช่วยให้การเล่นมีความหลากหลายมากขึ้น โดยแขนเหล่านี้จะมีท่าหลัก ๆ อยู่สองท่า คือท่าปกติที่เอาไว้โจมตีหรือเคลื่อนที่ แต่ถ้าหากกดปุ่มค้างเอาไว้ก็จะเป็นการปล่อยพลังพิเศษที่รุนแรงออกมา ซึ่งแขนที่ผู้เขียนชื่นชอบมากก็คือ Punch Line ที่เป็นหมัดจรวด ซึ่งท่าโจมตีก็เอาไว้ป่วนศัตรูได้ดี แถมยังเอาไว้เคลื่อนที่ไปในจุดที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย ซึ่งการเลือกใช้แขน Devil Breaker ของเขานั้นถือเป็นจุดที่ทำให้ Nero มีความลุ่มลึกมากขึ้นยิ่งกว่าในภาคที่สี่หลายเท่าทีเดียว
Dante: ยังคงมีรูปแบบการเล่นที่แฟน ๆ ชื่นชอบ เพราะการเล่นของเขาแทบไม่เปลี่ยนไปจากภาคที่สี่เลย ทั้งการเลือกสไตล์การต่อสู้อย่าง Sword Master, Gunslinger, Royal Guard หรือ Trickster ก็มาครบถ้วน แถมยังมีอาวุธใหม่และเก่าเสริมทัพมาให้เลือกใช้กันเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นหมัดและเท้าไฟ Balrog หรือกระบองสามสไตล์ King Cerberus หรือของใหม่อย่างหมวก Dr. Faust ก็เท่และใช้งานได้จริง แถมมีการแบ่งโหมดการใช้งานที่หลากหลายยิ่งกว่าเก่า ทำให้การสร้างสรรค์คอมโบเพื่อแต้ม Stylish ด้วย Dante นั้นยังคงเป็นอะไรที่บันเทิงที่สุดเช่นเดิม
V: ตัวละครใหม่ที่มีรูปแบบการเล่นไม่เหมือนใครเลย เขาจะใช้การควบคุมสัตว์อสูรทั้งสามรูปแบบเข้าโจมตีศัตรู โดยมี Shadow เสือดำเป็นตัวโจมตีระยะประชิด Griffon เป็นตัวโจมตีระยะไกล และ Nightmare โกเลมยักษ์ที่ปรากฏตัวตอนเปิดโหมด Devil Trigger สิ่งที่น่าสนใจคือการสั่งการให้เหล่าสัตว์ทั้งสามรุมโจมตีศัตรู และให้ V ยืนรักษาระยะก่อนที่จะเข้าไปจัดการปิดฉากศัตรูด้วยไม้เท้าแบบเท่ ๆ ซึ่งสัตว์ทั้งสามจะมีท่าโจมตีที่ใช้ได้ครอบคลุมทุกสถานการณ์ อยู่ที่ว่าผู้เล่นสามารถยืนระยะได้เป๊ะแค่ไหน จัดเป็นรูปแบบการเล่นใหม่ที่น่าสนใจและสนุกสนานเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากทั้ง Nero และ Dante เลยทีเดียว
นอกจากระบบการต่อสู้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ถูกต่อยอดมาจากภาคเก่าได้ยอดเยี่ยมคือการออกแบบฉากที่เข้าใจได้ง่ายมาก ๆ ตัวเกมมีระบบการช่วยเหลือที่เพียงแค่กดปุ่ม L3 ที่ก้านอนาล็อกซ้าย ตัวละครของเราก็จะหันไปยังทิศทางที่ต้องไปต่อทันที หรือถ้าช่างสำรวจ เราก็ยังได้รางวัลเป็น Red Orb ที่มากขึ้น หรือไปเจอ Secret Mission ซึ่งก็ยังคงเป็นมิชชั่นเสริมที่จะมีรางวัลให้เป็นเศษ Blue Orb ที่เอาไว้เพิ่มหลอดพลังชีวิตให้ยาวขึ้น และที่พิเศษกว่าเดิมคือ เมื่อผู้เล่นหา Secret Mission ในด่านต่าง ๆ เจอแล้ว มันก็จะไปปรากฏอยู่ในโหมดที่หน้า Menu ของเกมทันที ไม่ต้องไปตามหาในฉากนั้นอีกครั้ง
และไม่ต้องพูดถึงคุณค่าในการเล่นซ้ำ ด้วยระดับความยากที่มีให้ผู้เล่นทุกระดับได้ท้าทายฝีมือตัวเอง ตั้งแต่ระดับ Human ง่ายสุด ไต่ขึ้นไปเป็น Devil Hunter, Son of Sparda และ Dante Must Die ไปจนถึงระดับความยากแบบพิเศษอย่าง Heaven or Hell และ Hell and Hell ที่ท้าทายฝีมืออย่างแท้จริง
นอกจากนั้นตัวเกมยังมีโหมด Co-op เข้ามาเสริม แต่เข้ามาเสริมในที่นี้ก็คือเข้ามาเสริม ๆ ไว้เฉย ๆ ไม่สามารถตั้งห้องเพื่อเล่นกับเพื่อนได้ มีแต่ผู้เล่นที่สุ่มเข้ามาในฉากที่เราเล่น แล้วเราเข้าไปร่วมวงตีกับเขาด้วย ไม่ได้รู้สึกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันแม้แต่น้อย ซึ่งถ้าหากมีการปรับปรุงให้โหมด Co-op เป็นรูปธรรมมากกว่านี้ ก็น่าจะช่วยสร้างความประทับใจได้มากกว่าเดิม เพราะการที่ได้เพื่อนมาช่วยทำคอมโบออกท่าเตะต่อยศัตรูพร้อมกับเราในโหมดระดับความยากสูง ๆ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สามารถเกิดขึ้นได้เหมือนกัน
อีกจุดที่น่าเสียดายและเป็นข้อเสียที่ติดตัวเกมซีรีส์นี้มานานก็คือเรื่องของมุมกล้อง ซึ่งบางครั้งเวลาที่เรากำลังสู้กับศัตรูเพลิน ๆ มุมกล้องก็ดันไปโฟกัสศัตรูตัวอื่นที่เราอาจจะไม่ล็อกไว้ และถูกตัวศัตรูหรือตัวละครของเราบังโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งในระดับความยากที่ไม่สูงอาจจะไม่ค่อยมีผล แต่ถ้าหากเล่นในระดับ Son of Sparda ขึ้นไปมีร้องแน่นอน
ความลื่นไหล ที่มาพร้อมการกินสเปก
Devil May Cry 5 เวอร์ชั่น PC ค่อนข้างที่จะกินสเปกเอาเรื่องอยู่เหมือนกันเมื่อเทียบกับ Resident Evil 2 Remake ซึ่งเครื่องคอมของคุณควรต้องมี CPU ที่แรงในระดับหนึ่งจึงสามารถเล่นได้อย่างสบายใจ โดยใน CPU รุ่นเก่าจะมีปัญหาตรงที่ปากของตัวละครจะขยับไม่ตรงกับเสียงในฉากคัตซีนเมื่อเล่นไปสักพักหนึ่ง ซึ่งถือเป็นปัญหาเดียวกับที่ผู้เขียนเจอในเกม Resident Evil 2 Remake เช่นกันในเสปกเครื่อง Intel i5 4590, GTX 980, RAM 16GB แต่ในขณะที่สเปกใหม่กว่าอย่าง Intel i5 9400F, RTX 2070, RAM 16 GB จะไม่มีปัญหานี้แต่อย่างใด แม้ตัวเลือกในการปรับกราฟฟิกจะมีน้อยและไม่ค่อยละเอียด แต่ภาพโดยรวมในการปรับในแต่ละระดับนั้นก็ยังอยู่ในระดับที่สวยงามอยู่ดีแม้จะปรับแค่ระดับปานกลางหรือต่ำก็ตาม โดยรวมถ้าหากมีเครื่อง PC ที่แรงพอ ตัวเกมก็รันได้อย่างลื่นไหลในระดับที่น่าพอใจทีเดียว