BY StolenHeart
15 Apr 20 3:59 pm

Review Final Fantasy VII Remake โลก อนาคต และการผจญภัยที่กลับมาอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง

104 Views

หลังการรอคอยอย่างยาวนานนับตั้งการเปิดตัวเมื่อปี 2015 ในที่สุด Final Fantasy VII Remake ก็ได้ฤกษ์วางจำหน่ายให้เกมเมอร์ทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่าที่เคยเล่นกันมาแล้วตั้งแต่ 20 ปีก่อนได้สัมผัสกันอีกครั้ง ในรูปแบบปรับปรุงใหม่ให้สมกับยุคสมัย ซึ่งก็ทำได้สมกับที่รอคอยจริง ๆ

โลกแห่งอนาคต กับความบิดเบี้ยวของช่วงเวลาและดวงดาว

ในโลกอนาคตอันห่างไกล มนุษยชาติได้ค้นพบพลังงานสะอาดรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Mako ซึ่งไม่ก่อให้เกิดมลพิษ มันถูกนำมาใช้สร้างเป็นพลังงานอย่างไร้ขีดจำกัดช่วยให้มนุษย์ทุกคนสุขสบาย โดยมีบริษัทพลังงาน Shinra เป็นผู้ดูแล โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมือง Midgar

แม้เทคโนโลยีจะล้ำหน้าไปมาก แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของหลายคนกลับตกต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ คนรวยและคนจนมีความแตกต่างทางด้านชนชั้นแบบเทียบกันไม่ได้  และที่สำคัญการสูบพลังงาน Mako ขึ้นมาใช้อย่างบ้าคลั่งทำให้โลกเกิดความแห้งแล้งอย่างไม่น่าเชื่อ และทำให้บริษัท Shinra มีอำนาจมากขึ้นจนเกิดผลกระทบต่อผู้คนไม่น้อย จนเกิดการรวมตัวของกลุ่ม Avalanche เพื่อต่อต้าน Shinra และเกมจะเริ่มต้นที่ภารกิจแรกของพวกเขา ในการเข้าไประเบิดเตาปฏิกรณ์ Marko เพื่อสร้างความวุ่นวายนั่นเอง

ต้องบอกว่าก่อนว่าแม้เนื้อเรื่องของเกมจะยังอิงแก่นของเกมภาคต้นฉบับเอาไว้ แต่ก็มีการเล่าเรื่องขยายความในหลายส่วน ทั้งรายละเอียดของตัวละครในกลุ่ม Avalanche ที่เราจะได้รับรู้เรื่องราวเบื้องลึกของพวกเขาและเธอมากขึ้น ซึ่งการเล่าเรื่องก็ยังคงทำผ่านฉาก Cutscene คุณภาพสูงที่จัดเต็มเหมือนเคย ใครที่ชอบดูแบบยาว ๆ รับรองว่าฟินแน่นอน

แน่นอนว่าเรื่องราวในฉบับ Remake นี้มีการเติมรายละเอียดเพิ่มและของใหม่เข้าไปมากมาย มีเนื้อเรื่องหลายจุดที่จะไม่ตรงกับต้นฉบับเสียทีเดียว แต่ก็ถูกแก้ไขและปรับปรุงเพิ่มเรื่องราวเข้าไปมากกว่าเดิม โดยเฉพาะการเพิ่มศัตรูและประเด็นใหม่ ๆ เข้าไปอย่างเช่นพวก Whisper ที่มีจุดประสงค์แอบแฝง และแน่นอนว่าการขยายประเด็นของตัวละครหลักก็มีมากขึ้นไปด้วยเช่นกัน

ส่วนในฉากจบของเกมนั้นก็กลายเป็นฉากที่มีประเด็นถกเถียงกันอย่างกว้างขวางกันไม่น้อย แม้โดยส่วนตัวผู้เขียนจะรู้สึกดีกับการตีความเนื้อเรื่องใหม่ในรูปแบบนี้ แต่ก็ทำให้หลายอย่างที่เคยเป็นในภาคเก่าเปลี่ยนไปจนเดาทางไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ซึ่งก็มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ แต่ถ้าให้พูดกันจริง ๆ การปูทางไปสู่หนทางเช่นนี้เรียกว่าน่าตื่นเต้นไม่น้อย เพราะเราน่าจะได้เห็นอะไรใหม่ ๆ ในภาคต่อไปอีกเพียบแน่นอน

โดยรวมแล้วเนื้อเรื่องของเกมมีความเข้มข้นในระดับสูง คนเล่นใหม่ที่ไม่ได้ตามเนื้อเรื่องภาคต้นฉบับมาก่อนก็สามารถตามได้ทันไม่ยาก และถ้ายิ่งเล่นภาคเก่ามาก่อน เราจะได้เห็นรายละเอียดเพิ่มเติมจากของเก่าเข้ามาอีก ชวนให้ติดตามไปจนถึงท้ายเกมกันได้เลย

เมือง Midgar รูปโฉมใหม่ กับความรุ่มรวยในรายละเอียด

ลืมฉากเมืองแบบกึ่งสองมิติในเกมภาคดั้งเดิมไปได้เลย เพราะ Final Fantasy VII Remake ได้มอบชีวิตใหม่ให้กับเมือง Midgar อย่างมหาศาล สลัมและเมืองในเขตต่าง ๆ เต็มไปด้วยรายละเอียดและผู้คนมากมาย หลายจุดมีทางลับแอบซ่อนอยู่พร้อมกับเควสเสริมจำนวนไม่น้อย แม้จะไม่ได้เยอะจัดเท่ากับเกม RPG จากตะวันตกเกมอื่น แต่ก็อยู่ในปริมาณที่เยอะพอตัว

ส่วนเหล่าศัตรูเองก็ได้รับการออกแบบใหม่และมีรายละเอียดมากขึ้นกว่าเก่า ด้วยขุมพลังของ Unreal Engine 4 อันทรงพลังและยืดหยุ่น บวกรวมกับฉากที่ออกแบบมาได้อลังการงานสร้าง และคงเอกลักษณ์ของตัวมันเองที่อยู่ในซีรีส์นี้มาอย่างยาวนานไว้เช่นเดิม

และที่สำคัญเพลงประกอบฉากหลายเพลงก็ถูกนำกลับมาใช้ในแบบ Remix จนสร้างความรื่นรมย์ในการเล่นอย่างมาก เรียกว่าเพลงประกอบในภาคนี้จัดเต็มมาตั้งแต่ต้นเกมไปจนถึงการสู้กับบอสสุดท้ายนั้นน่าจดจำอย่างมากจริง ๆ

และถึงแม้เนื้อหาในเกมภาคนี้จะเป็นการตัดมาจากเนื้อเรื่องช่วงแรกสุดของเกมต้นฉบับ แต่จากสิ่งที่เพิ่มเข้ามาก็ทำให้ผู้เล่นสามารถสนุกสนานกับมันได้นานกว่า 30 ชั่วโมง หรือถ้าจะยิงยาวเควสหลักล้วน ๆ ก็จะอยู่ที่ 25 ชั่วโมงโดยประมาณ เรียกว่ามีความยาวของเกมที่เยอะไม่แพ้เกมระดับ AAA เกมอื่นในตลาดตามที่ทาง Square Enix บอกเอาไว้จริง ๆ แม้เควสย่อยหลายชิ้นจะมีรูปแบบเหมือนกันมากไปหน่อยก็ตาม

โดยรวมแล้วการนำเสนอของเกมนั้นยังทำได้ดีเยี่ยมเช่นเคย ด้วยรายละเอียดของฉากแบบจัดเต็ม เควสเสริมและเควสหลักที่มีความยาวสะใจ และดนตรีประกอบที่ยอดเยี่ยม เรียกว่าเล่นกันได้อย่างเต็มอิ่มกันเลย

ระบบการเล่นใหม่ ที่ออกแบบให้สมกับยุคสมัย

หากคุณคุ้นเคยกับระบบการต่อสู้ของ Final Fantasy XV มาก่อน ใน Final Fantasy VII Remake นั้นก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่ในหลายส่วน แต่โดยหลักแล้วผู้เล่นจะต้องทำการโจมตีธรรมดาไปก่อนเพื่อให้เกจ ATB ขึ้นมาจนเต็มหนึ่งช่อง ซึ่งเกจ ATB นี้จะเอาไว้ใช้ Ability ที่เป็นความสามารถพิเศษของตัวละคร หรือ Spell เวทมนตร์ที่มาจากการติดตั้ง Materia ลงไปในอาวุธหรือชุดป้องกัน เป้าหมายในการพิชิตศัตรูให้ไวก็คือการตีศัตรูให้เกจ Stagger ขึ้นเต็มเร็วที่สุด ไม่ว่าจะด้วยการใช้ท่าโจมตีหรือพลังเวท ซึ่งสามารถเลือกใช้งานได้ทันทีจากหน้า Command Mode ที่จะหน่วงเวลาให้สั่งการได้ง่ายขึ้น

และศัตรูแต่ละตัวก็จะมีรูปแบบการโจมตี จุดอ่อนและจุดแข็งที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งบอกเลยว่าการเข้าไปโจมตีด้วยการรัวปุ่มนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะเราอาจถูกสวนกลับคืนมาอย่างเจ็บแสบได้ การวางแผนสลับตัวละครและใช้ไม้ตายให้เหมาะสมกับช่วงเวลาถือเป็นความท้าทายผู้เล่นอย่างมาก และยิ่งในโหมดการเล่นแบบ Hard ที่ตัวช่วยถูกจำกัดและศัตรูก็เก่งขึ้นไปอีก แม้จะไม่ได้โหดหินขนาดเกมซีรีส์ Dark Souls แต่ก็จัดอยู่ในหมวดเกมท้าทายเหมือนกัน

ที่น่าสนใจอีกอย่างคือผู้เล่นสามารถตั้งค่าปุ่มลัดให้ใช้ Ability หรือ Spell ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องเข้าหน้า Command Mode เพื่อความลื่นไหลในการเล่นได้มากขึ้นสำหรับคนที่ไม่อยากกดเข้าหน้าเมนูบ่อย ๆ แต่สำหรับคนที่ไม่เก่งในการเล่นเกมแอคชั่น ระบบนี้ก็ถือเป็นตัวช่วยที่ยอดเยี่ยมมากทีเดียว

สำหรับระบบเก่าอย่าง Materia ก็ยังคงมีอยู่ แม้เวทหลายอย่างจะไม่ได้หลากหลายเท่าภาคเก่า แต่ก็มี Materia หลายชิ้นที่ถูกปรับให้เข้ากับระบบการเล่นมากขึ้น เช่น ATB Stagger, Steadfast Block และเมื่อระดับของ Materia สูงขึ้น เราจะสามารถใช้เวทที่รุนแรงขึ้นได้ เช่น Materia ไฟระดับสามดาวจะให้เวท Friaga ที่มีความแรงและโจมตีโดนศัตรูเป็นกลุ่ม แต่ก็จะใช้เวลาในการร่ายมากกว่าปกติด้วยเช่นกัน หรืออาจจะได้เวทชนิดใหม่มาใช้งานเลย ดังนั้นการลงทุนอัปเลเวลให้ Materia ที่จะใช้งานจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะช่วยเพิ่มความหลากหลายในการเล่นให้มากขึ้นด้วยนั่นเอง

ส่วนอาวุธในเกมก็มีให้เลือกเก็บอยู่หลายชิ้น และแต่ละชิ้นจะมี Ability ติดตัวมาให้ ซึ่งเราจะสามารถใช้มันได้ถาวรก็ต้องถืออาวุธชิ้นนั้นแล้วใช้ท่าจนกว่าเกจ Proficiency จะเต็ม รวมไปถึงยังสามารถอัปเกรดให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วยแต้ม AP ที่เราจะได้รับหลังเลเวลเพิ่มขึ้น ทำให้อาวุธเริ่มแรกมีประโยชน์มากกว่าที่คิดหลังจากอัปเกรดไปถึงจุดหนึ่ง เรียกว่าชอบเล่นแบบไหน อาวุธที่มีให้เลือกเล่นก็สนองตอบได้ตามที่ต้องการกันเลย

ส่วนอีกอย่างที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือระบบการ Summon หรือเรียกสัตว์อสูรที่เปลี่ยนแปลงไปจากการร่ายเวทแบบปกติเป็นการเรียกมาเพื่อช่วยต่อสู้ในศึกสำคัญแทน ซึ่งเราจะรู้ได้ว่าสามารถเรียกได้จากเกจ Summon ที่ปรากฏขึ้นมา โดยเราจะใช้งานท่า Ability ของ Summon ได้แบบเดียวกับที่ใช้ท่าพิเศษ และเมื่อเกจหมดพวกมันก็จะใช้ท่าปิดท้ายที่โจมตีรุนแรงเป็นพิเศษก่อนจากไป แต่น่าเสียดายที่ในภาคนี้มีมนต์อสูรให้เลือกใช้งานน้อยไปหน่อย และเรียกมาใช้ไม่ได้ทุกครั้ง

ถ้าหากจะนับข้อเสียที่แย่ที่สุดของด้าน Gameplay ก็คงเป็นเรื่องของมุมกล้องที่ชวนให้หงุดหงิดหลายครั้งมาก โดยเฉพาะในพื้นที่แคบ เพราะกล้องจะอยู่ชิดกับตัวละครค่อนข้างมากแม้จะปรับให้อยู่ในระยะไกลที่สุดแล้วก็ตาม และความแคบนี้ก็ทำให้ไปบดบังมุมมองจนมองอะไรไม่เห็นแม้แต่น้อย และยิ่งถ้ามาเกิดกับช่วงโดนรุมโจมตีด้วยก็ยิ่งแย่เข้าไปอีก ซ้ำร้ายบางครั้งกล้องก็ส่ายจนปวดหัวได้เลย แม้โชคดีที่การปะทะกันในพื้นที่แคบ ๆ นั้นไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย แต่ก็ทำให้หงุดหงิดได้พอแรงอยู่ไม่น้อย

โดยรวมแล้วระบบการเล่นนั้นได้รับการต่อยอดมาจากภาคเก่าที่ดีขึ้นตามยุคสมัย ถ้าตัดเรื่องมุมกล้องที่ค่อนข้างแย่และมนต์อสูรที่จำกัดการใช้งานมากเกินไปหน่อย ก็ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยมและมีมาตรฐานสูงเช่นเคย

ความสวยที่แลกมาด้วยการขาดรายละเอียดในบางจุด

แม้จะเป็นเครื่อง PlayStation 4 ธรรมดา แต่ตัวเกมก็สามารถเล่นได้ลื่นที่ 30 FPS แบบไม่มีสะดุด ทว่าความลื่นไหลนี้ก็แลกมาด้วยการขาดความละเอียดของ Texture และท่าทางการเคลื่อนไหวของเหล่า NPC ในเกมที่แข็งทื่ออย่างมาก คุณจะเห็นได้เลยว่าในหลายจุดของเกมมี Texture ที่หยาบอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมองดูดี ๆ แม้ภาพรวมของกราฟฟิกจะยังสวยงามอยู่ แต่หลายครั้งก็อดหงุดหงิดใจไม่ได้เหมือนกัน

นอกจากนั้นก็มี Bug ของกราฟฟิกให้เห็นอยู่ประปรายบ้าง แต่ไม่ได้ส่งผลอะไรกับการเล่นมากนักถ้าไม่นับเรื่องของมุมกล้อง รวมไปถึงไม่มีอะไรร้ายแรงจนทำให้เกมล่มได้ รับรองว่าเล่นได้จนจบโดยเกมไม่ล่มก่อนแน่นอน

Conclusion

Final Fantasy VII Remake เป็นเกมที่คุ้มค่าสมการรอคอย แม้เนื้อหาของเกมจะเป็นแค่ส่วนแรกสุดของเกมต้นฉบับเท่านั้น แต่ด้วยเนื้อหาที่ถูกเสริมเติมเข้ามา ระบบการเล่นที่ถูกปรับแต่งให้ร่วมสมัย และเนื้อหาของเกมที่อัดแน่นเต็มพิกัด ทำให้นี่เป็นเกมที่คุ้มค่ามากสำหรับทั้งแฟนรุ่นเก่าที่รอคอยมานาน กับเกมเมอร์ยุคใหม่ที่อยากจะเข้ามาสัมผัสกับโลกของ Final Fantasy ภาคคลาสสิกภาคนี้ ผู้เขียนขอรับรองว่าสำหรับแฟนเกม JRPG หรือเกมแอคชั่นเดินลุย นี่เป็นหนึ่งในเกมที่คุณควรเล่นมากที่สุดในปีนี้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว

คะแนน 9.4/10

Putinart Wongprajan

เค้ก - Content Writer

Back to top