BY StolenHeart
28 Sep 20 2:13 pm

Review Mafia Definitive Edition การกลับมาอีกครั้งของเกมมาเฟียที่ดีที่สุด

445 Views

Mafia เป็นเกมที่เรียกได้ว่ามีความโดดเด่นในฐานะของเกมที่บอกเล่าเรื่องราวของเหล่าสุภาพบุรุษทรชนอันเข้มข้นที่สุดเท่าที่เคยมีมา กลายเป็นซีรีส์เกมที่มีเนื้อเรื่องที่น่าติดตามที่สุดเกมหนึ่ง และในปีนี้เราก็ได้มีโอกาสได้สัมผัสกับภาค Remake ของเกมอีกครั้ง ซึ่งน่าจะช่วยให้แฟนเก่าของเกมนี้เป็นปลื้มไม่น้อย

การกลับมาอีกครั้ง พร้อมเนื้อเรื่องที่กระชับขึ้น

เรื่องราวในเกมจะเริ่มขึ้นในเมือง Lost Haven เมืองท่าที่เป็นศูนย์กลางการค้าที่มีทั้งท่าเรือ โรงงาน และแก๊งมาเฟียที่ควบคุมธุรกิจของเมืองอยู่เบื้องหลัง คุณคือ Tommy Angelo คนขับแท็กซี่ที่โชคชะตาพลิกผันให้มาข้องเกี่ยวกับสมาชิกแก๊ง Salarii ผู้มีอิทธิพลของเมือง และเส้นทางในถนนอาชญากรรมอันโชกเลือดของเขาก็เริ่มต้นขึ้น

ถ้าคุณเคยเล่นเกมภาคต้นฉบับมาก่อนจะสังเกตเห็นได้ทันทีว่าเนื้อเรื่องของภาคนี้มีการตีความใหม่ตั้งแต่เริ่มเกม แม้แก่นหลังและจุดจบของมันจะยังเหมือนเดิม แต่มันก็มีการใส่รายละเอียดเพิ่มเติมและสมเหตุสมผลมากขึ้นในการกระทำของแต่ละคน และบุคลิกของตัวละครหลักแต่ละตัวก็ดูจริงจังมากขึ้น รวมไปถึงแรงจูงใจในการก่อเหตุต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จนทุกอย่างเกิดเป็นความสมจริงไม่ลอยไปลอยมาเหมือนเดิม

ซึ่งถ้าจะให้เปรียบเนื้อเรื่องของตัวเกมภาคต้นฉบับที่เหมือนหนังมาเฟียขึ้นหิ้งอย่าง The Godfather ตัวภาค Remake นั้นก็เหมือนเป็นหนังในสไตล์ของผู้กำกับดัง Martin Scorsese ที่สร้าง Goodfellas และ The Irishman ที่ร่วมสมัยและเล่าเรื่องได้กระชับมากขึ้น หลายจุดจะไปเร็วกว่าภาคต้นฉบับมาก แทบไม่มีจุดไหนรู้สึกเอื่อยเฉื่อยเลยแม้แต่น้อย เรียกว่าตัดส่วนไม่จำเป็นออกและเพิ่มรายละเอียดใหม่จนดำเนินเรื่องได้ไวขึ้น นับเป็นจุดที่ทางทีมพัฒนาทำได้ยอดเยี่ยมมาก

แต่ก็เพราะเนื้อเรื่องของภาคต้นฉบับที่ค่อนข้างจะโหรงเหรงอยู่แล้ว ทำให้การนำกลับมาเล่าเรื่องใหม่ในแบบที่กระชับกว่าเดิมก็ทำให้เรารู้สึกว่าเกมมันไปไวกว่าที่คิด เพราะด้วยการที่ตัวเกมตัดการเล่าเรื่องหลายจุดที่ยืดยาดมากออกไปทำให้เกมสั้นลงกว่าเดิมมาก และตัวละครบางตัวเองที่เคยมีบทก็ถูกตัดออกไปด้วย นับว่าน่าเสียดายเล็กน้อย

แต่ถ้าจะให้ฟันธง เนื้อเรื่องในแบบฉบับของ Remake มีการเล่าเรื่องที่ดีและเข้าใจได้ง่ายเพราะตัดส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป เรียกว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของเกมเลยก็ว่าได้ ใครชอบหนังมาเฟียสไตล์เล่าเรื่องกระชับแบบลุง Scorsese แล้วละก็ นี่คือเกมของคุณ

บรรยากาศอันสุดยอด กับ Content ที่เบาหวิว

ถ้าหาก Mafia ภาคต้นฉบับคือเกมที่สามารถส่งมอบบรรยากาศของอเมริกาในยุคปี 1930 ได้ยอดเยี่ยมในยุคสมัยของมันแล้ว Mafia: Definitive Edition ก็ทำหน้าที่ตรงนี้ได้ไม่แพ้ต้นฉบับเลย ด้วยการออกแบบเมืองใหม่ทั้งหมดด้วยเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน ก่อเกิดเป็นเมือง Lost Haven ที่งดงามและน่าหลงใหลขึ้นมา ตึกรามบ้านช่อง ยานพาหนะและชาวเมืองล้วนถูกแกะแบบออกมาอย่างถูกต้อง เรียกว่าแค่ขับรถในเมืองก็เพลินจนลืมเวลาได้เลย

อีกทั้งสถานที่ต่าง ๆ ในเกมก็ถูกเพิ่มรายละเอียดภายในเข้าไปมากกว่าเดิม เช่นบาร์ของ Saliari ที่มีการเพิ่มพื้นที่บางจุดเข้ามาเพื่อความสมจริงที่มากขึ้น เมืองก็ดูเป็นเมืองมากกว่าเดิม รวมไปถึงการโต้ตอบของเหล่าคนเดินบนทางเท้าและบนท้องถนนที่ดีกว่าเดิมด้วย และคราวนี้ตัวเกมมีช่องวิทยุที่คอยรายงานข่าว เปิดเพลงตามยุคสมัยที่ลงตัวสร้างบรรยากาศได้ดีสุด ๆ อีกด้วย

ส่วนภารกิจในเกมก็ได้รับการปรับปรุงและออกแบบใหม่ให้ดีกว่าเก่า หรือก็คือปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัย ยกตัวอย่างเช่นฉากการแข่งรถสุดหัวร้อนนั้นแม้จะกลับมาด้วย แต่มันก็ถูกปรับปรุงให้เล่นง่ายกว่าเดิมมากด้วยระบบการขับขี่ยานพาหนะที่พัฒนาขึ้น(จะพูดถึงในส่วนของ Gameplay ต่อไป) ทำให้มันเล่นง่ายขึ้นมาก บวกรวมไปถึงภารกิจอื่นที่ออกแบบมาลงตัวกว่าเดิมจนเรารู้สึกว่าเกมทันสมัยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

แต่ถึงบรรยากาศของเกมจะทำออกมาได้ดี เนื้อหาหรือ Content ของเกมนั้นกลับค่อนข้างโหรงเหรง เพราะนอกจากเนื้อหาที่เป็นเนื้อเรื่องหลักของเกมแล้วถือว่าขาดความน่าสนใจโดยสิ้นเชิง แม้ตัวเกมจะมีโหมด Free Ride มาให้เล่น แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเข้าไปขับรถ ลองอาวุธหรือสำรวจเมือง ซึ่งมันก็ทำให้ผู้เขียนรู้สึกคิดถึงโหมด Free Ride Extreme ของภาคต้นฉบับขึ้นมา รวมไปถึงภารกิจลักรถของ Lucus เองก็หายไปด้วย ทำให้ความรู้สึกอยากกลับมาเล่นใหม่ลดน้อยลงไปอีก

และสืบเนื่องจากการที่ตัวเกมมีความยาวของเนื้อเรื่องหลักอยู่ที่ประมาณ 10 ชั่วโมง ซึ่งสั้นกว่าเกมภาคต้นฉบับอยู่พอสมควร ทำให้การย้อนกลับมาเล่นใหม่ก็คงมีเพียงแค่การตามหา Hidden Package ในรูปแบบต่างๆ เท่านั้น รวมไปถึงรถพิเศษที่ซ่อนอยู่ในเมือง ไม่มีอะไรโดดเด่นไปกว่านั้น

โดยรวมแล้วแม้บรรยากาศของเมืองจะทำออกมาได้สวยงามน่าหลงใหล แต่เนื้อหา Content ของเกมกลับน้อยจนน่าใจหาย เรียกว่าเล่นจบแค่ส่วนของเนื้อเรื่องของเกมก็แทบจะจบกันไปเลย ซึ่งเป็นปัญหาที่เกมซีรีส์นี้เป็นมาตลอด ซึ่งถ้าหากในภาคต่อไปมีกิจกรรมหรือเนื้อเรื่องเสริมให้ทำมากกว่านี้ก็จะยอดเยี่ยมมาก

เรียบง่ายไม่โดดเด่น แต่ไม่เลวร้ายอย่างที่คิด

ในส่วนของ Gameplay นั้นแม้จะไม่หวือหวามาก แต่ก็สามารถทำหน้าที่ด้วยตัวของมันเองได้ดีอยู่ ระบบการยิงต่อสู้และขับรถนั้นเรียกว่าพัฒนาจาก Mafia III มาไกลมาก ปัญหาการควบคุมไม่คล่องแคล่วถูกแก้ไขให้ดีขึ้น ไม่มีอีกแล้วกับกระจกหลังไร้ประโยชน์หรือความแข็งทื่อในการเลี้ยวรถที่คอยถ่วงแข้งขา เพราะมันได้รับการแก้ไขแล้วจนทำให้เราสามารถควบคุมยานพาหนะได้คล่องแคล่วขึ้นอย่างมหาศาล

และในเกมนี้เราก็มีมอเตอร์ไซด์ให้ขับแล้วซึ่งจะมีความคล่องตัวมากกว่ารถยนต์ในระดับหนึ่ง แต่ก็อันตรายมากกว่าเพราะชนทีเดียวเราจะร่วงลงไปกองกับพื้นได้เลย หรือถ้าระหว่างภารกิจเราไปเจอรถใหม่แล้วเอามาขับจนจบ เราก็จะได้รถคันนั้นมาไว้ในครอบครองด้วยเหมือนกัน หรือถ้าใครขยันหรือเข้าโหมด Free Ride ไปก็สามารถรถมาใส่ในโรงรถเพิ่มเติมได้อีกด้วย

ระบบการยิงต่อสู้นั้น Mafia: Definitive Edition ก็ต่อยอดระบบการเล่นมาจากภาคสามมาเต็ม ๆ เหมือนกัน จากในภาคต้นฉบับที่เป็นการยืนยิงแบบซึ่งหน้าไม่มีระบบเข้าที่กำบัง ก็กลายมาเป็น Cover-Base Shooter หลบหลังที่กำบังแทน ซึ่งตัวของ Tommy นั้นจะไม่ได้ยิงปืนแม่นขนาด Lincoln ในภาคที่สาม แต่ทางทีมงานก็ทำระบบการยิงมาใช้ได้ไม่ลำบากนัก แม้ตัวปืนแต่ละกระบอกจะมีแรงดีดค่อนข้างมาก แต่ถ้าหากควบคุมปืนดีๆ ก็สามารถยิงเก็บศัตรูได้ง่ายเหมือนกัน

อีกส่วนหนึ่งที่ถูกปรับปรุงใส่เข้ามาแต่ยังทำได้ไม่ดีนักคือระบบลอบเร้น ที่ก็ต่อยอดมาจากเกมภาคสามเช่นกัน แต่เนื่องจาก AI ของศัตรูที่ไม่ได้ฉลาดอะไรนัก ทำให้การลอบเร้นในเกมนี้ขาดความท้าทายอย่างมาก และยิ่งโดยเฉพาะภารกิจที่บังคับว่าต้องลอบเร้นเท่านั้นก็ทำให้รู้สึกรำคาญไม่น้อย แต่โชคดีที่ภารกิจแบบนี้มีไม่เยอะนัก เพราะถ้ามีเยอะกว่านี้เกมคงหมดสนุกไปโข

อีกส่วนหนึ่งที่ค่อนข้างจะบกพร่องเล็กน้อยคือการตามล่าของตำรวจ ซึ่งในภาคนี้ระบบการหนีตำรวจก็ถูกแก้ไขให้มีความคล้ายคลึงกับเกม GTA V ก็คือเราต้องหลบหนีการตามล่าของตำรวจให้พ้นระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้ ซึ่งด้วยผังเมืองที่มีซอกซอยมากมายทำให้เราหลบหนีการตามล่าได้ง่ายมากแม้จะขึ้นค่าหัวที่ห้าดาวเต็มก็ตาม และฝ่ายตำรวจเองก็ไม่ได้มีอาวุธหนักอะไรที่จะทำให้เราต้องกังวลมากนัก

แม้ในภาพรวมทั้งหมดของ Gameplay จะพัฒนาขึ้นมาก แต่มันก็ไม่ได้โดดเด่นหรือน่าสนใจจนสามารถขึ้นมาเทียบชั้นกับเกมระดับ AAA อื่น ๆ ในตลาดได้ ก็คือไม่ได้ดีมาก แต่ก็ไม่ได้แย่จนเล่นไม่ได้นั่นเอง

ความสวยที่มาพร้อมกับอาการสะดุดเล็กน้อย

สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนดีใจมากที่สุดก็คือการขัดเกลาตัวเกมจนดีขึ้นมากกว่าสมัย Mafia III แบบคนละเรื่อง เฟรมเรทของเกมไม่ถูกล็อกไว้ที่ 30 FPS อีกต่อไปแล้ว ความหยาบของ Texture แสงเงาผิดเพี้ยนหายไปจนเกือบหมด และมันก็เป็นเกมที่กินทรัพยากรเครื่อง PC น้อยมาก โดยในสเปก Intel Core i5 9400F, Geforce RTX 2070, RAM 16GB ตัวเกมสามารถรันได้ลื่นไหลและวิ่งที่ 60 FPS ได้เกือบตลอดทั้งเกม อาจมีตกลงไปบ้างในช่วงที่ต้องหนีการตามล่าของตำรวจหลาย ๆ ตัวพร้อมกัน แต่โดยรวมก็ถือว่าดีเยี่ยมมากทีเดียว

ส่วนปัญหาที่เจอระหว่างเล่นนั้นก็มีให้เห็นอยู่เล็กน้อยและค่อนข้างน่ารำคาญ โดยจะมีอยู่สองถึงสามครั้งที่ตัวเกมค้างไปเฉย ๆ จนต้องพับจอออกมานอกเกมแล้วกลับเข้าไปใหม่จึงจะสามารถเล่นต่อได้ หรือช่วงที่อยู่ภารกิจแล้วเกิดรถชนหรือทำอะไรสักอย่างแบบกะทันหันมาก ๆ เกมก็จะค้างไปเลยเหมือนกับประมวลผลไม่ทัน ซึ่งมักจะเกิดในช่วงที่ภารกิจกำลังตึงมือหรือฉาก Cut scene กำลังดำเนินอยู่ ซึ่งสร้างความหงุดหงิดได้พอสมควรทีเดียว โชคดีที่เกิดขึ้นไม่บ่อย ไม่อย่างนั้นคงเสียอารมณ์น่าดู

แม้จะมีจุดสะดุดบ้าง แต่นี่ก็ถือเป็นพัฒนาการที่น่าชื่นชมของทีมงานที่ปรับปรุงตัวมาได้ดีขึ้นจาก Mafia III ซึ่งถ้ามีเกมภาคสี่ออกมาอีกก็หวังว่าจะทำได้ดีกว่านี้ด้วยเช่นกัน

Conclusion

สำหรับเกมเมอร์สายเนื้อเรื่อง Mafia: Definitive Edition ถือเป็นเกมที่คุณควรซื้อหามาลอง และแนะนำอย่างยิ่งสำหรับคนที่ชื่นชอบภาคต้นฉบับ ด้วยเนื้อเรื่องที่เข้มข้นน่าติดตาม บรรยากาศในเมืองอันน่าหลงใหล เสมือนได้ชมภาพยนตร์สไตล์ American Gangster ชั้นดีจากผู้กำกับชั้นเยี่ยม แต่ก็ต้องทำใจไว้ว่า Content ของเกมนั้นค่อนข้างน้อยและไม่ค่อยดึงดูดให้กลับมาเล่นซ้ำเท่าไหร่นัก แต่ถ้าไม่ติดในส่วนนี้ นี่คือเกมที่นำเสนอโลกของมาเฟียยุคคลาสสิกออกมาได้ดีที่สุดในตอนนี้เลย

คะแนน 7.5/10

Putinart Wongprajan

เค้ก - Content Writer

Back to top