ทีมพัฒนา Ghost Games กับตัวแทนจำหน่าย EA ได้สัญญากับแฟนเกมหลายอย่างว่า Need for Speed Heat จะเป็นการนำซีรีส์ NFS กลับคืนเส้นทางเดิมที่ NFS ควรจะเป็น หลังจากภาค Payback สร้างความผิดหวังให้ผู้เล่นหลายคน แล้วทางทีมงานจะสามารถพิสูจน์ได้หรือไม่ ติดตามกับบทความ Review: Need for Speed Heat กันเลยครับ
เนื้อเรื่องธรรมดา แต่เพลิดเพลิน
เรื่องราวของ Need for Speed Heat จะเริ่มต้นขึ้นในเมือง Plam City ที่เหล่านักแข่งรถผิดกฎหมายหลายคน เริ่มถูกไล่ต้อน และกวาดล้างโดยฝีมือของหน่วยตำรวจนำโดยร้อยโท Frank Mercer อย่างหนัก จนทำให้นักซิ่งหลายคนต้องยอมแพ้ และหันหลังให้วงการแข่งรถใต้ดินไปตลอดกาล
แต่ไม่ใช่สำหรับ Ana Rivera นักซิ่งสาวเลือดร้อนที่ยังไม่ยอมแพ้กับใฝ่ฝัน แม้ลูกทีมของเธอจะเริ่มทยอยเลิกเป็นนักแข่งรถ เพราะฝีมือของหน่วยตำรวจก็ตาม ซึ่งแน่นอนว่า “คุณ” นักแข่งรถน้องใหม่ที่เข้ามาแสวงโชคในเมือง Plam City จะต้องถูกจับตามอง โดยพี่น้อง Rivera และนี่คือจุดเริ่มต้นของเนื้อเรื่อง Need for Speed Heat
ถ้าให้เล่าภาพลักษณ์เนื้อเรื่องโดยรวมของ Need for Speed Heat ก็น่าจะใกล้เคียงกับภาพยนตร์ Fast and The Furious ฉบับคลาสสิก เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่จะนำเสนอเรื่องมิตรภาพ กับความขัดแย้งระหว่างสองพี่น้องที่มีแนวคิดต่างกันสิ้นเชิง รวมถึงมีการนำเสนอการคอร์รัปชันในวงการตำรวจ ซึ่งพอช่วยดึงดูดผู้เล่นสนใจเนื้อเรื่อง และรู้สึกเพลิดเพลินอยู่บ้าง แต่หากมองคุณภาพเนื้อเรื่องโดยรวม ก็ยังไม่มีอะไรน่าจดจำเป็นพิเศษ
และสิ่งที่ทีมงาน Ghost Games เคยกล่าวว่าเนื้อเรื่อง Need for Speed Heat จะซีเรียสกับดาร์กมากขึ้นนั้น ก็นับว่าใช่นะ เพราะบรรยากาศเนื้อหาของเกม มีความซีเรียสกว่าภาค Reboot และ Payback โดยเฉพาะกับร้อยโท Mercer ที่ทำให้นึกถึงนักล่าค่าหัว Jonathan Cross ใน MFS Most Wanted แต่ครั้งนี้เราจะพบกับการกระทำของหน่วยตำรวจของ Mercer ที่ทำให้ผู้เล่นต้องรู้สึกหมั่นไส้ไม่ใช่น้อย
แต่ถ้าบอกว่าเนื้อเรื่องซีเรียสจนกลายเป็นเกมเนื้อหาดาร์กก็คงไม่ใช่ เพราะพล็อตเนื้อเรื่องยังเป็นแนวอาชญากรรมทั่วไป ไม่มีฉากรุนแรง และเนื้อหาชวนจิตตกขนาดนั้น ถ้าเรียกว่า Need for Speed Heat มีเนื้อเรื่องแบบ “พล็อตฮอลลีวูด” ก็น่าจะเหมาะสมกับเกมนี้ที่สุดแล้ว
การตกแต่งจัดเต็ม และพอกันทีกับ Speed Card
ถ้าหากคิดว่าระบบแต่งรถของซีรีส์ Need for Speed คือที่สุดของที่สุดแล้ว Need for Speed Heat ได้มีการยกระดับระบบแต่งรถไปอีกขั้น ด้วยของจัดแต่งที่หลากหลายกว่าเดิม นอกจากผู้เล่นสามารถปรับแต่งบอดี้รถยนต์เกือบทุกส่วน ใส่สติกเกอร์หลายเลเยอร์ เปลี่ยนควันล้อ ใส่ไฟใต้ท้องรถ และสามารถเปลี่ยนเครื่องยนต์ กับพาร์ทจนเหมือนเป็นรถคันใหม่แล้ว เกมเมอร์ยังสามารถตกแต่งเสียงท่อไอเสียให้มีความดุดันมากขึ้น รวมถึงเป็นภาคแรกที่ผู้เล่นสามารถตกแต่งเสื้อผ้าตัวละครได้อีกด้วย!
ของตกแต่งรถยนต์ทุกอย่าง สามารถซื้อใช้ได้ทันที รวมถึงพาร์ทอัปเกรดรถยนต์สามารถปลดได้จากทำ Progression ซึ่งวิธีปลดอย่างไรนั้น เดี๋ยวอธิบายในเร็ว ๆ นี้ แต่ไม่ได้มาจากการเปิดสุ่ม RNG อย่าง Speed Card อีกต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าระบบ Speed Card จาก Need for Speed Payback ก็ถูกลบออกจากเกมถาวร ทำให้การตกแต่งรถยนต์มีความอิสรเสรีตั้งแต่เปิดเกมครั้งแรก และไม่ต้องเสียอารมณ์กับการฟาร์ม Speed Card อย่างไม่สิ้นสุด เพื่อเอาแค่พาร์ทใดพาร์ทหนึ่งอีกต่อไป
กลางวันหลับ กลางคืนผงาด
รูปแบบการแข่งขันจะมี 2 ช่วงเวลา คือการแข่งขันช่วงเวลากลางวัน เป็นการแข่งขันแบบถูกกฎหมายเพื่อแลกเป็นเงินรางวัล กับการแข่งขันช่วงเวลากลางคืนแบบผิดกฎหมาย เพื่อแลกค่าชื่อเสียง Reputation (จากนี้จะเรียกว่า Rep) โดยการแข่งขันทั้งสองรูปแบบล้วนมีความจำเป็นทั้งคู่ เกมเมอร์จะต้องคอยแข่งรถตอนกลางวัน เพื่อนำเงินไปซื้ออัปเกรดรถยนต์ และแข่งตอนกลางคืน เพื่อสะสม Rep ที่เปรียบเสมือนเป็นเลเวลไว้ใช้ปลดล็อกอุปกรณ์ พาร์ท รถยนต์คันใหม่ และอีเว้นท์ใหม่ ทำให้ผู้เล่นจะต้องคอยสลับเปลี่ยนการแข่งกลางวัน-กลางคืนตลอดเวลา
ซึ่งแน่นอนว่าระบบไล่ล่าตำรวจใน Need for Speed Heat ก็มีความดุดัน ตึงเครียดกว่าที่เคย ในช่วงกลางวัน ตำรวจส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีการลาดตระเวน มักจอดรถตามร้านปั๊มน้ำมัน และหลบหนีได้ง่ายมาก แต่ตรงกันข้ามกับตอนกลางคืน ที่ฝ่ายตำรวจจะเริ่มมีการขับรถตรวจตราบนถนนหลายเส้น โดยความยาก-ง่ายของการหลบหนีตำรวจนั้น ก็ขึ้นกับจำนวน Heat Level ที่ผู้สะสมตลอดช่วงกลางคืน
Heat Level มีทั้งหมด 5 เลเวล โดยเลเวลจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเกมเมอร์ชนตำรวจ ทำลายทรัพย์สิน และใช้เวลาไล่ล่ายืดเยื้อเกินไป ซึ่ง Heat Level ยิ่งสูงเท่าไหร่ ตำรวจจะเริ่มใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดต่อผู้เล่นมากขึ้น ตั้งแต่การใช้ Killswitch รบกวน HUD, วางตะปู, ส่งเฮลิคอปเตอร์ติดตาม, ใช้รถหุ้มเกราะพุ่งชนซึ่งหน้า หรือฝ่ายตำรวจจะใช้รถไล่ล่าแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งหากผู้เล่นสามารถหนีการไล่ล่าของตำรวจ แล้วขับรถกลับ Garage ตัวเองได้ปลอดภัย จำนวน Heat Level ที่สะสมในคืนนั้น ถูกนำไปคูณกับจำนวน Rep ที่ผู้เล่นทำได้จากการแข่งในคืนเดียวกัน ตัวอย่างเช่น หากผู้เล่นมี Rep ค่าติดตัวที่ 1,500 กับมี Heat เลเวล 2 ก็นำ 1,500 x 2 ก็เท่ากับได้ค่า Rep จำนวน 3,000 ในคืนเดียว
แต่ถ้าหากว่าเกมเมอร์คิดว่าสามารถหลบหนีตำรวจได้เก่งเหมือนภาค Most Wanted (2005) ก็ต้องบอกเลยว่าคิดผิดอย่างมหันต์ เพราะรถยนต์ของผู้เล่นก็มีหลอดเลือดเช่นกัน ถ้าหากผู้เล่นชนตำรวจ หรือชนกำแพงมากเกินไปจนเลือดหมด ก็เท่ากับว่าผู้เล่นโดนตำรวจจับกุมในคืนนั้น แล้ว Heat Level ที่คุณสะสมมาจะสูญหายทั้งหมด รวมถึงเสียเงินเป็นบางส่วนอีกด้วย
นอกจากนี้ เกมนี้ไม่มีระบบ Pursuit Breaker (โหมดสโลว์เวลา) สามารถซ่อมรถผ่านปั๊มน้ำมันได้เพียงสามครั้ง รวมถึงไม่สามารถ Fast Travel เมื่อมีค่า Heat Level ติดตัวอีกด้วย ทำให้การไล่ล่าตำรวจจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ตึงเครียด มีความยาก ลุ้นระทึก และเป็นระบบ High Risk, High Reward (เสี่ยงเยอะรับเยอะ) อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นถ้าหากผู้เล่นอยากไล่ล่าตำรวจ ก็แนะนำว่าต้องพกความเตรียมพร้อม และเตรียมใจมาด้วย
ระบบการขับรถยนต์ก็มีการปรับปรุงดีขึ้นเช่นกัน แต่สิ่งที่เซอร์ไพรส์ที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องระบบการเลี้ยวรถที่มีน้ำหนักมากขึ้นต่างจากภาคก่อน ทำให้การขับรถมีความรู้สึกที่ดู “สมจริง” แต่ระบบเลี้ยวยังคงเป็นเกมแข่งรถอาร์เคดเหมือนเดิม นอกจากนั้น วิธีดริฟต์ก็ถือว่ามีลูกเล่นฉลาดใช้ได้เลย จากที่ภาค Payback ผู้เล่นต้องแตะเบรกเพื่อดริฟต์ แต่ภาคนี้เกมเมอร์สามารถดริฟต์ด้วยการ “กดดับเบิล” คันเร่งกระหว่างเลี้ยวได้ ซึ่งทำให้การดริฟต์รู้สึกลื่นไหล และสะใจมากขึ้น แต่สำหรับใครที่ชื่นชอบดริฟต์แบบภาค Payback มากกว่า ก็สามารถปรับ Drift Style ให้กลับเป็นโหมดเดิมได้ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม ในขณะเกมเพลย์ทุกอย่าง “เกือบจะ” ลงตัว แต่ความสนุกที่กล่าวมาทั้งหมด อาจจะต้องถูกพังทลายลงด้วยระดับความยากของ A.I. ที่ขาดความสมดุล โดยมีหลายอีเว้นท์ที่ผู้เล่นสามารถเอาชนะคู่แข่งแบบทิ้งห่าง แต่บางอีเว้นท์ คู่แข่งก็โหดเกินไปจนไม่มีโอกาสเข้าแซงหน้าเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งที่ความยากตั้งค่าที่ระดับปานกลาง หรือไม่นับที่ฝ่ายตำรวจที่ Overpowered เกินไป ด้วยการเหยียบคันเร่งเต็มมิดความเร็วสูง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้การไล่ล่าตำรวจยืดเยื้อ และดูไม่แฟร์เป็นบางครั้ง
รวมถึงการแข่งรถส่วนใหญ่ เน้นไปทางโหมด Race เป็นหลัก และบางครั้งเกมเมอร์ต้อง Grind ค่า Rep เพื่อที่จะปลดล็อกอีเว้นท์ใหม่ ทำให้ความรู้สึกการเล่นเกมในระยะยาว อาจเกิดความซ้ำซากหรือเบื่อหน่ายได้ ซึ่งโชคดีที่ระบบเปลี่ยนเวลากลางวัน-กลางคืน กับการไล่ล่าตำรวจ ช่วยลดความซ้ำซากของเกมได้ไม่น้อย
ระบบ Multiplayer ไม่ค่อยมีคอนเทนต์ หรือมีรางวัลพิเศษที่ชักชวนให้อยากเล่นเท่าไหร่นัก นอกจากเล่นสนุกสนานกับเพื่อน ๆ ด้วยระบบตั้ง Crew ไว้โชว์พาวเวอร์กับผู้เล่นอื่น ๆ ด้วยการป่วนตำรวจทั่วเมือง และอวดโฉมรถยนต์ตัวเองให้เกมเมอร์ได้เห็นประจักษ์ ซึ่งถ้าหากเกมเมอร์ไม่อยาก Session กับห้อง Multiplayer ก็สามารถเปิดเล่น Offline Mode โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งอินเทอร์เน็ต
แม้การออกแบบแผนผังเมือง Palm City จะมีรายละเอียดเยอะ มีขนาดใหญ่ซับซ้อน รวมถึงมี Collectable ให้เก็บตามสถานที่ต่าง ๆ โดยมีของรางวัลเป็นรถยนต์ หรือพาร์ทพิเศษ ซึ่งทำให้เมืองมีความน่าค้นหา แต่น่าเสียดายที่การสัญจรบนถนนกลับรู้สึกโดดเดี่ยวราวกับเมืองร้าง และขาดความมีชีวิตชีวา ก็ต้องบอกเลยว่าก็รู้สึกแอบผิดหวังไม่ใช่น้อยเหมือนกัน เพราะเมือง Palm City เหมาะสำหรับการขับรถชมวิวตามชายหาดเป็นอย่างมาก และเชื่อว่าทีมงาน Ghost Games สามารถทำได้ดีกว่านี้
กราฟิกสวย / ประสิทธิภาพเยี่ยม
Need for Speed Heat ใช้ขุมพลังเอนจิน Frostbite 3 ที่เคยใช้กับเกม Need for Speed Payback และเกมระดับแนวหน้าของ EA มามากมายเช่น Anthem, FIFA 20 และ Battlefield V ซึ่งเกมที่กล่าวมาทั้งหมด ล้วนได้รับเสียงชื่นชมด้านการ Optimized ที่สามารถรันเกมได้อย่างลื่นไหล แต่กินสเปกน้อยอย่างน่าประหลาด
และ Need for Speed Heat ก็ไม่ทำให้เกมเมอร์หลายคนต้องผิดหวังเช่นเคย ด้วยขุมพลังเอนจินระดับเทพอย่าง Frostbite 3 ทำให้เกมสามารถรันได้ด้วยภาพกราฟิกระดับ Ultra 60 FPS 1080p โดยไม่มีสะดุด พร้อมมีภาพกราฟิกสวยงามเป็นธรรมชาติ, แอ่งน้ำสะท้อนจากท้องฟ้า และเอฟเฟกต์แสงเงาตระการตา โดยเฉพาะระบบสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงแบบ Dynamic กับฉากฝนตกที่ต้องบอกเลยว่า นี่อาจเป็นเกมที่มีสายฝน “สวยสมจริง” มากที่สุดในปีนี้ รวมถึงเป็นครั้งแรกของ Need for Speed ที่รองรับหน้าจอ HDR อีกด้วย
หลังจากเล่นเกมประมาณ 6 ชั่วโมง ก็ยังไม่พบกับปัญหาเกมเด้ง เกมค้าง หรือเฟรมเรตตกแม้แต่ครั้งเดียว อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงพบบั๊กกราฟิกเล็กน้อย เช่น รถคู่แข่งมีการโหลดไม่ทันเป็นบางครั้ง ในฉากแสดงหน้าต่างผลลัพธ์หลังจบการแข่งขัน หรือบั๊กกราฟิกเงาสะท้อนจากท้องฟ้าโหลดไม่ทันบ้าง แต่บั๊กดังกล่าวไม่ได้บั๊กร้ายแรงที่ทำให้เกิดอาการเกมพัง
ฉะนั้นโดยรวมแล้ว Need For Speed Heat จัดว่าเป็นเกมที่ผ่านการ Optimized มาดีมาก ถ้าหาก PC ของท่านผ่านสเปกที่ต้องการ ก็น่าสามารถจะเล่นเกมได้นี้โดยไม่พบกับปัญหาด้านประสิทธิภาพ
สรุป
Need for Speed Heat เป็นเกมแข่งรถอาร์เคดที่เล่นสนุกสนานกว่าที่คาดหวังไว้ตั้งแต่แรก และมีการปรับปรุงระบบหลายอย่าง ก็นับได้เลยว่าเป็นเกม NFS ภาคที่ดีเยี่ยม และมีความเอ็นจอยกับตัวเกมมากกว่า Need for Speed Payback ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าถ้าทีมพัฒนา Ghost Games ทุ่มเทสร้างเกมแบบจริงจัง ผลลัพธ์ออกมาก็จะเป็นเกมนี้
แม้ไม่ใช่เกมแข่งรถอาร์เคดที่สมบูรณ์แบบ เพราะมีจุดบกพร่องยิบย่อยที่ต้องแก้ไข แต่สามารถพูดได้เต็มปากว่า Need for Speed Heat เป็นเกมที่ช่วยซีรีส์ NFS ให้เดินกลับมาถูกทางอีกครั้ง และเป็นเกม NFS ที่ควรจะเป็น
สเปก PC ที่ใช้รีวิวเกม : Core i5-9600k, NVIDIA GeForce RTX 2070 Super