สุดยอดเกม RPG แห่งทศวรรษ
ช่วงนี้หลาย ๆ คนน่าจะบ่นว่าทีมงาน Final Fantasy กำลังฟอร์มตกอยู่ เนื่องจากภาคล่าสุดที่วางจำหน่าย (ภาค 15) ทำมาตรฐานของซีรี่ส์เสียไปชนิดที่ว่าเรียกกลับคืนมาไม่ได้ จริงอยู่ว่าเกมมันสนุก แต่เสน่ห์ส่วนมากกลับถูกลดทอนลงไปจนเราไม่รู้สึกว่ามันเป็น Final Fantasy เอาเป็นว่าถ้ามันใช้ชื่ออื่นคนด่าน่าจะน้อยกว่านี้อ่ะนะ
ในขณะที่ Final Fantasy เสียความเป็นตัวเองไปทีละนิด เกมอื่น ๆ ของ Square Enix กลับซึมซับกลิ่นอายเหล่านั้นที่ FF ทิ้งไว้จนกลายเป็นหนึ่งในเกมทางเลือกสำหรับ “ผู้ชื่นชอบ Classic FF” เริ่มตั้งแต่ Bravely Default ที่หลายคนบอกว่ามันคือ FF ในแบบที่ควรจะเป็น และล่าสุดกับ Octopath Traveler ที่เรากำลังจะรีวิวนี่แหละ
เหล้าใหม่ที่ใช้ส่วนผสมเก่า ผสมกันในขวดแบรนด์เดิมที่คุณคุ้นเคย
ทำไมหัวข้อมันยาวจัง ? ข้าม อันนี้ไม่ตอบ (ฮา) Octopath Traveler เป็นผลงานที่ Square Enix ร่วมมือกับ Acquire เพื่อพัฒนาเกม Exclusive สำหรับ Nintendo Switch โดยเฉพาะ คอนเซปต์ของเกมวางไว้ว่าจะเป็นการเดินทางของ 8 ตัวละครที่มีชะตากรรมต่างกัน แต่ต้องร่วมเดินในเส้นทางเดียวกัน เกมนี้ได้โปรดิวเซอร์เป็นคุณ Masashi Takahashi และ Tomoya Asano ซึ่งผลงานเก่าของสองท่านนี้ก็คือ “Bravely Series” อันเลื่องชื่อที่เราพูดถึงไปในย่อหน้าแรกนั่นแหละ
ด้วยความที่เกมได้โปรดิวเซอร์ในลักษณะนี้ แนวคิดในเกมจึงไม่ได้ตามเทรนด์เท่าไหร่นัก กราฟิกในเกมถูกวางแผนไว้ว่าจะใช้ตัวละคร 16 Bit ผสานกับสภาพแวดล้อมแบบโพลิกอนให้อารมณ์แบบเกมเก่า ๆ แต่เอฟเฟคในเกมจะเลือกใช้เอฟเฟคสมัยใหม่ ที่โปรดิวเซอร์คิดแบบนี้เพราะต้องการจะทำตาม “ระบบของ Nintendo” คือไม่พยายามแข่งขันกับชาวบ้านด้วยสิ่งที่เหมือนกันถ้ารู้ตัวว่าแข่งไม่ได้ แต่จะไปแข่งในเรื่อง
แล้วอะไรคือส่วนผสมเก่า ? เกมนี้แฝงเสน่ห์ของ Final Fantasy ไว้อย่างเต็มเปี่ยมโดยที่ตัวมันเองยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ทั้งการเล่าเรื่อง จังหวะ ตัวละคร ทุกอย่างแทบจะเป็น FF เอาเป็นว่าถ้าจะเปลี่ยนชื่อเป็น Final Fantasy: Octopath Traveler ก็คงไม่มีใครคัดค้านแน่นอน
8 คน 100 ทางเลือก
เข้าเรื่องกันดีกว่า เริ่มเกมมาคุณจะได้เลือกตัวละครหลักจากทั้งหมด 8 ตัวละคร คุณสามารถเลือกเล่นตัวไหนก่อนก็ได้ ตัวละครที่คุณเลือกจะเป็น “ตัวละครหลัก” หมายความว่าจะไม่สามารถเปลี่ยนออกได้ และไม่สามารถหลีกเลี่ยงเนื้อเรื่องของตัวละครนี้ได้ด้วย เมื่อคุณเลือกแล้วเกมก็จะให้เล่นเนื้อเรื่อง Ep1 ของตัวละครนั้นทันที และเมื่อคุณเล่นจบ เกมก็จะเริ่มสอนให้คุณไปหาตัวละครอื่นมาร่วมทีมทันที
จุดเด่นของเนื้อเรื่องอยู่ที่จำนวนตัวละครนี่แหละ เกมมีตัวละครถึง 8 ตัวก็จริง แต่คุณไม่จำเป็นที่จะต้องเล่นทุกตัวละคร คุณจะเลือกแค่ 4 ก็ได้ หรือจะไม่เลือกตัวละครไหนเข้าทีมเลย เล่นตัวเดียวก็ทำได้ ความยากของเกมจะแปรผันตามตัวละครที่คุณเชิญเข้าทีม เพราะเมื่อคุณมีตัวละครมากขึ้น เควสของตัวละครก็จะยากขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยที่คุณมีความสามารถเท่าเดิม (เพราะทีมของคุณมีได้แค่ 4 คนเท่านั้น) เพราะฉะนั้นคิดดี ๆ ก่อนจะเชิญใครเข้ามา
หลายคนอาจจะคิดว่าแล้วตัวละคร 8 ตัวมันมีเนื้อเรื่องของตัวเอง แล้วมันเกี่ยวข้องกันยังไง ? ความเกี่ยวข้องของทั้ง 8 ตัวละครอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันโดยตรง แต่พวกเขาก็เกี่ยวข้องกันอยู่ดี การผจญภัยที่คุณคิดว่าไม่มีอะไร แต่ในความเป็นจริง “พวกเขาคุยกันหลังไมค์” โดยที่คุณไม่รู้เรื่อง ! ยิ่งพวกเขาอยู่ในทีมเดียวกันนานเท่าไหร่ เวลาเข้าเนื้อเรื่องหลัง Ep2 ขึ้นไป พวกเขาก็จะคุยกันมากเท่านั้น
ส่งผลให้เกมมีตัวเลือกเป็นร้อยแบบในการเล่น คุณจะชวนตัวนั้นเข้าทีมกับตัวนี้ ตัวนี้เข้าทีมกับตัวนั้น สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ในการเล่นแต่ละครั้ง เพื่อดูบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างตัวละครสองตัว แต่ถ้าคุณไม่สนใจที่จะดูความเปลี่ยนแปลง ก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาเล่นซ้ำก็ได้
Classic แบบ Modern
ตัวละครทั้ง 8 ตัวของเกมนี้มีความแตกต่างกันในทุก ๆ ด้าน เริ่มจากเพศ ทรงผม หน้าตา (เกี่ยวไหม?) อาชีพ ทักษะ และความสามารถพิเศษ การที่จะพัฒนาตัวละครได้คุณจะต้องเก็บแต้ม JP ให้ถึงจำนวนที่กำหนดเสียก่อน เมื่อเก็บจนถึงจำนวนที่ใช้ได้แล้ว คุณจะสามารถเลือกอัปเกรดสกิลของตัวละครนั้น ๆ ได้ 1 สกิล และถ้าหากคุณเปิดสกิล Active จนถึงจำนวนที่กำหนด ก็จะมีสกิลแบบ Passive ให้คุณติดตั้งเพื่อเพิ่มความเก่งกาจให้กับตัวละครอีกด้วย
ระบบที่ถูกเพิ่มเข้ามาใหม่และน่าสนใจอย่างมากคือ “ความสามารถพิเศษ” ของตัวละครแต่ละตัว ในเกมนี้ตัวละครทั้ง 8 ตัวจะมีความสามารถพิเศษที่ใครในโลกนี้ก็ทำไม่ได้ เช่น การขโมยของจาก NPC ที่ช่วยให้คุณได้ไอเท็มหายากมาง่าย ๆ โดยที่ไม่ต้องเสียเงิน, การหลอกถามข้อมูลจากคนอื่นเพื่อหา Hidden Item, การเอาศาสนามาชี้นำ NPC คนนั้น ๆ ทำให้เราสามารถเรียกเขาออกมาช่วยในการต่อสู้ได้ และการซื้อของจาก NPC เพื่อนำไปขายเอากำไร เป็นต้น
ระบบต่อสู้ของเกมนี้เป็นแบบ ATB (Active Time Battle) Turn Base ถ้าคุณนึกไม่ออกให้นึกถึง FF ภาคหลัง ๆ ที่จะมีหลอดความเร็ววิ่งอยู่ เมื่อเต็มคุณจะได้โจมตี เกมนี้ใช้ระบบแบบนั้นเลย เพียงแต่ไม่มีหลอดบอกแค่นั้น สิ่งที่เพิ่มมาจากเดิมคือความสามารถพิเศษของตัวละคร ระบบเบรค และระบบเกจ BP ที่เพิ่มขึ้นทุกครั้งเมื่อเราถูกโจมตี
ในหัวข้อที่ต้องอธิบายกันยาวเลยคือระบบเบรคนี่แหละ ศัตรูทุกตัวในโลก Octopath จะมีจุดอ่อนของตัวเองอยู่ ซึ่งเกมจะไม่บอกอะไรคุณเลย คุณจะต้องลองโจมตีศัตรูดูว่ามันแพ้อะไร ถ้ามันแพ้การโจมตีของคุณ จุดอ่อนก็จะถูกเผยทันที และเมื่อคุณโจมตีจุดอ่อนไปเรื่อย ๆ จนโล่ของศัตรูเหลือ 0 ศัตรูจะถูกเบรค พลังโจมตีของศัตรูจะลดลง พร้อมทั้งทำให้เทิร์นถัดไปถูกยกเลิกอีกด้วย
ในส่วนของความสามารถพิเศษ ก็เหมือนที่อธิบายไปในย่อหน้าที่แล้ว แต่เปลี่ยนเป็นการใช้ในการต่อสู้แทน เช่น สามารถหาจุดอ่อนศัตรูได้เลย 1 อย่างก่อนเริ่มการต่อสู้, สามารถไถตังศัตรูได้, สามารถจับศัตรูมาเป็นสัตว์อสูรได้ และอื่น ๆ อีกมากมาย
ส่วน BP เป็นระบบสะสมแต้ม เมื่อเราโดนโจมตี มันจะขึ้นมา 1 แต้ม คุณสามารถกดใช้เพื่อเสริมการโจมตีปกติและสกิลของคุณได้ ซึ่งมันจะทำให้การโจมตี-สกิล นั้น ๆ แรงกว่าปกติ 1 เท่า ต่อการใช้แต้ม BP 1 แต้ม คุณสามารถกดสูงสุดได้ 3 ครั้ง หมายความว่าการโจมตี-สกิล ของคุณจะแรงกว่าปกติถึง 4 เท่าเลยทีเดียว
ใส่ใจกับทุกอย่าง
นอกจากระบบการเล่นที่ซับซ้อน เนื้อเรื่องที่สนุก+กินเวลาเป็นอย่างมาก ในด้านอื่น ๆ Octopath ก็ไม่ได้ทิ้งให้มันห่วย เริ่มจากฉากที่ใช้เทคนิคการสร้างแบบโพลิกอน ผสมกับเอฟเฟครอบตัวแบบสมัยใหม่ ทำให้มันได้อารมณ์แปลก ๆ แต่สวยงาม ถือเป็นเอกลักษณ์ที่เมื่อทุกคนเห็นภาพแบบนี้ ก็จะรู้ได้เลยว่าเป็นเกมไหน
ในเรื่อง ost แทบจะไม่ต้องห่วงอะไรเลย เพราะ Square Enix เป็นค่ายที่ไว้ใจได้ในเรื่องนี้ แม้ว่า FFXV จะห่วยขนาดไหน ost ของเกมก็ไม่ได้ห่วยตามไปด้วย ใน Octopath ก็เช่นกัน เพลงทุกเพลงที่ถูกบรรเลงในเกม ให้อารมณ์ตรงกับช่วงเวลาที่มันเริ่มเล่นทั้งนั้น เรียกได้ว่าถ้าเล่นเกมนี้แบบปิดเสียง อรรถรสจะหายไปราว 50% เลยทีเดียว
https://www.youtube.com/watch?v=tdzB2-L7roU&list=PL-TSN1JqlGvonhE0XW-4lMt6_mbswoh3f&index=1
สรุป
Octopath Traveler เป็นอีกหนึ่งเกมคุณภาพคับแก้วที่คุณควรจะลองเล่นให้ได้ซักครั้งหนึ่ง มันคุ้มราคาของตัวมันเอง มันคุ้มถ้าคุณจะซื้อ Nintendo Switch มาซักเครื่องเพื่อเล่นมัน มันเป็นทั้ง Final Fantasy ในอุดมคติของใครหลายคน และเป็นทั้ง RPG ที่ยอดเยี่ยมได้ด้วยตัวมันเอง เอาเป็นว่าถ้าคุณรู้สึกประทับใจกับ FFVI แล้วไม่เคยประทับใจ RPG ใด ๆ อีกเหมือนผู้เขียน เกมนี้แหละจะทำให้คุณประทับใจแน่นอน