Video Highlight
- Silent Hill 2 ภาคต้นฉบับ คือเกมที่เรียกได้ว่า ขึ้นหิ้ง การรีเมคเกมบนหิ้งให้ออกมายอดเยี่ยม ไม่ได้ทำกันง่าย ๆ แต่เกมนี้ ทำได้แล้ว
- ถ้าคุณไม่เคยเล่นเกม Silent Hill นี่คือโอกาสดีที่คุณจะได้ลอง
การรีเมคเกมที่อยู่บนหิ้ง ให้ขึ้นหิ้งให้ได้อีกครั้ง เป็นหนึ่งในความท้าทายที่ทีมพัฒนาทั่วโลกต้องเจอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เป็นเกมระดับตำนานที่แม้ไม่เคยเล่นก็ต้องผ่านหูผ่านตาและรู้จักเกมในระดับหนึ่งอย่าง Silent Hill 2 นั้นยิ่งยากแสนยากขึ้นไปอีกหลายขุม สำหรับใครที่สองจิตสองใจว่าจะลองดีมั้ย เราขอหยิบ Silent Hill 2 (2024) มารีวิวให้ดูกัน
Story – เมื่อเราได้รับจดหมายจากภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้ว 3 ปี
เจมส์ ซันเดอร์แลนด์ ได้รับจดหมายจาก แมรี่ ภรรยาของเขา ข้อความในจดหมายบอกว่า เธอรอเขาอยู่ในสถานที่พิเศษ ณ เมือง Silent Hill ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ เพราะว่า แมรี่ เสียชีวิตไปแล้ว 3 ปี แต่ด้วยความหวังเล็ก ๆ เจมส์ ก็เลยเดินทางมาที่ Silent Hill เพื่อให้แน่ใจว่า แมรี่ อยู่ที่นี่จริงหรือเปล่า
สำหรับคนที่เป็นแฟน Silent Hill เราคงรู้กันว่าทำไมทีผู้พัฒนาถึงเลือกภาคนี้มารีเมค ส่วนใครที่ไม่เคยจับ Silent Hill มาก่อนคงจะสงสัยว่าทำไมไม่รีเมคภาคแรก ? ที่เป็นอย่างนั้นเพราะ Silent Hill 2 เป็นภาคที่จบในตัว Silent Hill 1 จะเป็นเรื่องราวต่อเนื่อง มีจุดกำเนิดจากภาค Origins ที่ลง PSP และมีภาคต่อก็คือ ภาค 3 มันเป็นไตรภาค ภายในซีรีส์ ดังนั้นถ้ารีเมคภาคแรกเรื่องจะไม่จบในภาคเดียว แต่ Silent Hill 2 เป็นเรื่องราวที่ไม่เกี่ยวกับภาคไหนเลย เหตุการณ์กับตัวละครในภาคนี้ จะเป็นการจบในตัว
อีกเหตุผลก็คือนี่อาจจะเป็น Silent Hill ภาคที่แฟน ๆ ยกให้เป็นที่สุดของเกม Silent Hill เนื้อเรื่องของ Silent Hill 2 ถือเป็นหนึ่งในสุดยอด Psychological-horror หากคุณไม่เคยรู้เรื่องของเกมนี้มาก่อน มันคือสิ่งที่คุณควรจะสัมผัสด้วยตัวเอง แม้จะเต็มไปด้วยความหดหู่จิตตก มีแต่จะดำดิ่งสู่ห้วงนรก แต่มันก็ยอดเยี่ยมสมกับความเป็น Silent Hill โดยรวมแล้วมันก็คือเรื่องเดิม เล่าแบบเดิมจากภาคต้นฉบับ ด้วยความที่ของเดิมมันดีอยู่แล้วเขาเลยไม่เปลี่ยนอะไรเลย ฉาก ดีไซน์ คัทซีน เสียงพากย์ เปลี่ยนให้ทันสมัย แต่เนื้อเรื่องคงเดิมทุกอย่าง
ข้อเสียอย่างเดียวในด้านเนื้อเรื่องคือผู้เขียนรู้สึกว่ามันคงเดิมเกินไปนิด มันไม่เหมือนเกมรีเมคเกมอื่น อย่าง Dead Space Remake หรือ Resident Evil 4 Remake ที่ตัวละครเก่า มีบทบาท มีซีน มีส่วนร่วมเยอะกว่าเดิม แต่ Silent Hill 2 เกือบทุกตัวละคร บทเท่าเดิม อาจจะเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนบทพูดนิดหน่อย แต่บทบาทก็ยังเท่าเดิม มีเป็นบางตัวเท่านั้นที่มีบทเพิ่ม แม้ว่าโดยรวมมันก็ไม่ได้แย่ ท่านผู้อ่านสามารถมองข้ามเรื่องนี้ได้เลย แค่ตัวผู้เขียนที่เคยเล่นภาคต้นฉบับแอบเสียดายที่ว่ารีเมคทั้งทีก็อยากให้มีอะไรสดใหม่มากกว่านี้
Presentation – อึมครึม น่ากลัว แต่สวยงาม
Bloober team ผู้พัฒนาเกมนี้ได้เคยฝากผลงานก่อนหน้านั่นคือ ‘The Medium’ เกมที่ให้ผู้เล่นรับบทเป็น’สาวร่างทรง’ ผู้ทำการช่วยเหลือเหล่าวิญญาณให้ได้ไปผุดไปเกิด ในเกมนั้นผู้พัฒนาได้แสดงให้เห็นชัดเลยว่า เขาได้แรงบันดาลใจและชื่นชอบเกม Silent Hill ขนาดไหน และเมื่อทีมที่ชื่นชอบ Silent Hill ขนาดนั้นได้รับหน้าที่รีเมคเกมในดวงใจ ผู้เขียนจึงมั่นใจตั้งแต่เห็นการเปิดตัวแล้วว่าพวกเขาจะไม่ทำให้ผิดหวัง
Silent Hill จะต่างจากเกม Survival-horror ด้วยกัน ตรงที่ผู้เล่นจะอยู่ในพื้นที่เปิดกว้าง เราไม่ได้ติดอยู่ในคฤหาสน์ ติดอยู่ในสถานีตำรวจ เราเดินอยู่ในเมืองทั้งเมือง มันอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นทั้งเกม บางช่วงเราก็ได้อยู่ในพื้นที่แคบ เหมือนกับ Resident Evil แต่ประมาณ 50% ของเกมนี้ คุณจะได้อยู่ในพื้นที่เปิด
การที่เกม Silent Hill ต้องมีหมอกบังตาผู้เล่น เพราะตอนที่ทีมพัฒนาดั้งเดิมเริ่มทำภาคแรก เครื่อง PS1 ในสมัยนั้นไม่สามารถสร้างเมืองทั้งเมืองในระยะสายตาผู้เล่น เขาเลยแก้ปัญหาด้วยการทำให้เกมเป็นเมืองหมอก ระยะเห็นแค่ประมาณ 3 เมตร แต่การที่ผู้เล่นมองไม่เห็นศัตรู ต้องเข้าใกล้ถึงจะเห็น เสียงวิทยุที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ บอกว่าเราอยู่ใกล้ศัตรูขนาดไหน มันกลายมาเป็นความน่ากลัวที่เป็นเอกลักษณ์ของ Silent Hill จากขีดจำกัดในการสร้างเกม กลายมาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แม้ว่าตอนภาค 2 เกมจะออกมาบนเครื่อง PS2 ในเวลานั้น PS2 มันแรงพอแล้วสำหรับเกมอย่าง GTA3, GTA Vice city หรือ GTA San andreas แต่ Silent Hill ก็ยังใช้หมอกบังตาผู้เล่น ไม่อย่างนั้นเอกลักษณ์ความน่ากลัวก็จะหายไป
และในภาคนี้เขาก็ยังทำแบบเดิม ภาพของเมืองที่เรามองเห็นในระยะสั้น ๆ อะไรอยู่หลังหมอก ไม่รู้ แต่เล่นอยู่ในกราฟฟิกกับมุมกล้องของเกมสมัยนี้ นี่แหละคือสิ่งที่แฟน ๆ อยากได้มานาน ทั้งกราฟฟิก ทั้งงานอาร์ท ถึงจะอึมครึมน่ากลัว แต่มันก็สวยงามมาก มีไม่กี่เกมที่จะเน้นพลังของบรรยากาศระดับนี้
แม้ว่าหลายคนจะยกให้ Silent Hill 2 ภาคต้นฉบับ เป็นสุดยอดเกมน่ากลัว แต่ตัวผู้เขียนไม่รู้สึกอย่างนั้น อาจจะด้วยความที่ผู้เขียนได้ลองเล่นในช่วงปี 2017 ซึ่ง ณ เวลานั้น เกมน่ากลัวก็ได้พัฒนามาไกลมากแล้ว ผู้เขียนเลยค่อนข้างรู้สึกเฉย ๆ ตอนที่ได้เล่นภาคต้นฉบับ (แต่ยอมรับว่าเนื้อเรื่องสุดยอด) แต่ในภาครีเมค มันคือการทำใหม่ ตีความใหม่ ส่งสารบอกถึงผู้เล่นยุคใหม่ว่า เพราะอะไรมันถึงได้น่ากลัว ด้วยการใส่ฉาก จังหวะเหตุการณ์ใหม่ การดีไซน์ศัตรูที่เปลี่ยนบทบาท และภาพของโลกต่างมิติ ที่น่ากลัวยิ่งกว่าต้นฉบับ เล่นเอาซะแบบว่าบางฉากไม่กล้าเดินต่อกันเลยทีเดียว
และด้วยความที่มันเป็นเกมรีเมค หลายพื้นที่จะเป็นการโละใหม่ มันคือสถานที่เดิม บทบาทเหมือนเดิม แต่รูปแบบฉาก เปลี่ยนใหม่หมด พร้อมกับปริศนาใหม่เอี่ยม และถ้าใครเคยเล่นภาคต้นฉบับ คุณจะได้พบร่องรอย เจอฉากบางจุด ที่คุณรู้สึกว่า เฮ้ย นี่มันที่เดิมนี่หว่า แต่ เอะ.. สคริปท์ เหตุการณ์ที่เราต้องเจอ มันไม่ได้อยู่ตรงนี้ ถ้าอย่างนั้นเราจะไปเจอตรงไหน ? มันน่าสนใจทั้งสำหรับคนที่เคยเล่นและไม่เคยเล่นตัวต้นฉบับ และจะเป็นเกม Silent Hill ได้ยังไง ถ้าขาดเพลงประกอบของ Akira Yamaoka ศิลปินผู้รับงานแต่งเพลงให้กับ Silent Hill ตั้งแต่ภาคแรก ในภาคนี้ เขากลับมารีเมคเพลงเดิมของภาค 2 ที่ผู้เขียนถูกใจมาก ๆ เลย
เอกลักษณ์อีกอย่างของ Silent Hill ก็คือปริศนา นี่คือเกมที่ชอบทำปริศนาแบบ Abstract เน้นให้เราตีความนามธรรมให้เป็นรูปธรรม แทบทุกภาคเราจะได้ปวดหัวกับปริศนา เราสามารถปรับความยากได้ก่อนจะเริ่มเล่น แต่เลือกไปแล้วปรับคืนไม่ได้ เพราะมันมีผลกับฉาก และตอนผู้เขียนเล่นครั้งแรก ก็ได้ลอง Hard ไปเลย และผู้เขียนก็ได้ใช้เวลาอยู่กับปริศนาฉากนึง 1 วันเต็ม ๆ.. ทั้งที่คำตอบเป็นแค่เส้นผมบังภูเขา ซึ่งถ้าเทียบกับปริศนาเกมอื่นอย่าง Resident Evil อย่างนี้ปริศนาของ Silent Hill จะน่าสนใจมากกว่า หลักการณ์ของมันคือเราต้องตีความคำใบ้ คิดนอกกรอบ แต่อยู่ในขอบเขต
และถ้าใครเคยเล่นตัวต้นฉบับ เกมนี้ก็ยังมีคอนเท้นต์เหมือนเดิม ฉากจบ 6 แบบ ที่จะได้ตามเงื่อนไขแบบเดิม แต่ไม่ต้องห่วงว่าเกมจะยาวเท่าเดิม ภาคนี้มันยาวกว่าต้นฉบับเท่าตัวเลย แถมในการเล่น New game plus คุณจะได้เจอเบาะแส เจอสถานที่ใหม่ พร้อมกับฉากจบใหม่ 2 ฉาก ที่เป็นของภาครีเมคโดยเฉพาะ ซึ่งจริง ๆ มันต้องมีเนื้อเรื่องเสริม Born from a wish คล้าย ๆ กับ Separate ways ของ Resident Evil 4 ที่ผมว่าต้องเป็น DLC ตามมาทีหลังแน่นอน
คือรวม ๆ แล้วมันก็เป็นเกมเดิมในเวอร์ชั่นใหม่ ที่คอนเท้นต์แน่นพอตัว แต่ปัญหาของเกมนี้ ผมรู้สึกว่าก็เป็นปัญหาเดียวกันของตัวต้นฉบับ คือมันไม่ได้น่าเล่นซ้ำขนาดนั้น Silent Hill เป็นเกมที่เน้นการเล่าเรื่อง ไม่เหมือน Resident Evil เน้นการเล่น อย่าง RE2 Remake กลับมาทำ speedrun จบใน 2 ชั่วโมง โชว์เทพวิ่งหลบซอมบี้ ภาค 4 รีเมค กลับมาบู๊แหลก ลองอาวุธที่ไม่เคยใช้ Silent Hill ไม่ใช่เกมแบบนั้น คือมันก็ไม่แย่ แต่มันไม่ได้ทำให้เราเอนจอยกับการเล่นซ้ำ ถึงมันจะจบได้หลายแบบแต่เล่นทีเดียวก็พอแล้ว
Gameplay – Survival horror สู้ได้ หนีได้ ตามรูปแบบดั้งเดิม แต่ปัญหาก็คือ…
ถ้าคุณไม่เคยเล่นเกม Silent Hill อย่างนึงที่ต้องเข้าใจเกี่ยวกับเกมนี้ คือเราจะเป็นตัวละครที่บู๊ไม่เก่ง บทบาทของตัวเอกในเกม Silent Hill คือคนธรรมดาคนนึง ที่หยิบไม้ไปฟาดผี ไม่ได้เป็นตำรวจ เป็นนักสืบ เราเป็นคนธรรมดาแท้ ๆ เกมการเล่นของ Silent Hill ทุกภาคจึงมีความอืดอาด ไม่คล่องตัวเหมือนเกม Survival-horror หลาย ๆ เกม
แต่ถึงภาคนี้เราจะเล่นเป็นคนธรรมดา เกมการเล่นมันก็ใกล้เคียงกับเกม ‘Callisto Protocol’ ที่เราจะต้องใช้การฟาดผสมกับการใช้อาวุธปืน หลักการณ์ก็คล้าย ๆ กันคือคุณไม่ควรตีศัตรูตอนที่มันตีสวน หลบแล้วฟาดกลับ ใช้ปืนยิงตัดจังหวะ คุณสามารถฉากหลบได้ทุกทาง หลบตอนที่กดโจมตีไปแล้วยังได้ แถมคุณจะมีจังหวะอมตะ โดนเต็ม ๆ ก็ไม่เป็นไร ถ้าหลบถูกจังหวะ แต่มันก็ไม่ได้ง่ายซะทีเดียว การโจมตีบางอย่างคุณต้องหลบให้ถูกจังหวะ หลบเร็วเกินก็ไม่พ้นอยู่ดี
และก็ตามสูตรของเกม Silent Hill ล้มแล้ว ต้องซ้ำ ไม่ซ้ำ มันจะลุกมาอีกรอบ แต่เราก็ไม่ต้องกดปุ่มอื่น รัว R2 อย่างเดียว เดี๋ยวพระเอกจัดการเอง มันเป็นการต่อสู้ที่แบบไม่ได้มีชั้นเชิงอะไรมาก เป็นแค่คนธรรมดาเอาไม้ฟาดผี การเล็งปืนพกพระเอกเราก็เล็งแบบเป้าส่ายมาก ไม่ได้นิ่งเป๊ะ แบบ ลีออน เคเนดี้ แถมมีระบบเป้าบาน ต้องรอให้บีบถึงจะแม่น
Silent Hill 2 ภาคต้นฉบับ ถือเป็นเกม Survival-horror ที่ค่อนข้างปรานีผู้เล่น นี่คือเกมที่คุณไม่ต้องบริหารช่องเก็บของ ทุกอย่างเก็บได้ไม่จำกัด แถมยากับกระสุนมีเป็นร้อย ถ้าคุณช่างสำรวจคุณจะเจอของเติมพลังเยอะมาก และในภาคนี้เขาก็ทำเหมือนเดิม ให้ของเยอะเหมือนกลัวจะเล่นไม่จบ ต่อให้เล่นโหมดยากก็ยังให้เยอะ ดังนั้นคุณไม่ต้องห่วงมาก เจ็บก็เจ็บของเติมพลังเยอะอยู่แล้ว และถ้าไม่ยิงมั่วจริง ๆ ยังไงกระสุนก็พอ แต่ถึงกระสุนจะหมด ศัตรูทุกตัวก็ถูกออกแบบมาให้ปราบได้ด้วยอาวุธฟาด เพียงแต่ว่ามันจะยากกว่าเดิม
ศัตรูในภาคนี้ยังเป็นชุดเดิมจากในต้นฉบับ แต่เขาปรับให้มันอยู่ในบริบทของเกมยุคใหม่ และบางตัวก็เปลี่ยนบทบาท เพิ่มเวอร์ชั่นใหม่ อย่าง ‘Lying figure’ ตัวพ่นกรดที่เราเจอเยอะที่สุดในเกม มันจะมี 2 เวอร์ชั่น เวอร์ชั่นแรกคล้ายกับภาคต้นฉบับ แต่อีกเวอร์ชั่นจะบอบบางกว่า แต่มันพ่นกรดแรงกว่า แถมตอนที่ตายมันจะพ่นกรดรอบตัว ใครไม่รีบถอยก็จะโดนซ้ำ กับอีกตัว ‘Mannequin’ ผี 4 ขา ในภาคต้นฉบับมันก็แค่ศัตรูตีประชิด ไม่ได้มีอะไรมาก แต่ในภาคนี้ มันทำตัวแบบนักล่า มันจะไม่พุ่งมาหาเราตรง ๆ มันจะหาที่หลบ เนียนไปกับฉาก พอเราเข้าไปใกล้มันถึงจะโจมตี กลายเป็น Jumpscare สำหรับคนที่ไม่ทันสังเกต และมันร้ายกาจตรงที่ว่าวิทยุของเราจะไม่ดังในขณะที่มันซ่อนตัว คุณต้องระวังเหลี่ยม ระวังมุม ถ้าไม่อยากเจอตุ้งแช่ อีกอย่างที่ร้ายกาจคือส่วนใหญ่ มันไม่สคริปท์ เล่นครั้งแรกมันดักตรงนี้ เล่นอีกทีมันไปอยู่อีกที่ ใครไม่ระวังก็สะดุ้ง
กับอีกอย่างที่ผู้เขียนชอบ Hud ในภาคนี้ สามารถปรับแต่งได้ จะให้มันโชว์แบบเกมยุคใหม่ มีไอคอนตามจุดสำรวจ หรือจะให้มันเป็นแบบ Retro เล่นเหมือนสมัย PS2 ไม่ต้องมีอะไรเลย ปล่อยให้เราเอาหน้าไถกำแพง แต่เราก็ไม่ต้องสังเกตเองทุกอย่าง เพราะตัวเอกเราจะหันไปมองจุดที่น่าสนใจ มีไอเทมให้เก็บ มีไฟล์ให้อ่าน มีลิ้นชักให้เปิด ถ้าอยู่ใกล้ ตัวเอกเราจะหันไปมอง ไกด์ให้ผู้ล่นสำรวจโดยไม่จำเป็นต้องมีไอคอน นี่คือระบบที่ใช้มาตั้งแต่ภาคแรก เอามาใช้ในเกมสมัยนี้ก็ยังเวิร์ค แต่ถ้าเป็นของที่ซ่อนอยู่หลังกระจก ตัวเอกเราจะไม่หันไปมอง จนกว่าเราจะทุบกระจก ให้เราต้องสำรวจเองระดับนึง และพอไม่มีเลขบอกกระสุน เราก็ต้องทำเหมือนตอนภาคต้นฉบับ ด้วยการเปิด Inventory ดูกระสุนที่พก เวลายิงก็ต้องนับเองเหลือกี่นัด ใครชอบ Silent Hill ในแบบดั้งเดิม ผมแนะนำให้เปิด Hud แบบ Retro จะได้อารมณ์มาก แต่ในการเล่นแบบพยายามเก็บทุกอย่างให้ครบ ก็ควรเปิด Hud ให้มีไอคอนดีกว่า การตกแต่ง Hud ไม่มีผลกับ Acheivement หรือความยาก ยิ่งในภาคนี้มันมีของ Collectible แบบใหม่ ตอนเล่นครั้งแรก ผู้เขียนพลาดไปหลายชิ้นเลย ทั้งที่ไม่น่าจะพลาด
แม้ว่าในการเล่นเกมนี้ ผู้เขียนจะเล่นบน PC เป็นส่วนใหญ่ แต่ผู้เขียนก็ใช้จอย Duelsense ของ PS5 ในการเล่น เพราะเขาแนะนำตั้งแต่เปิดเกมเลยว่า ให้เราใช้จอย กับใส่หูฟัง จะเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุด คือไม่ใช่ว่า เมาส์ คีย์บอร์ดมันแย่ แต่ระบบการเล่นโดยรวม เล่นด้วยจอยเหมาะกว่า อย่างการต่อสู้ที่ต้องผสมการตี การหลบ การยิง ที่คล้าย ๆ Callisto protocol มันก็กดง่ายกว่า ถ้าเล่นด้วยจอย ยิ่งด้วยความที่มันเป็นเกมยืนพื้นจาก PS5 ยิ่งสบายเลย เสียบจอย Duelsense เข้าคอม มันก็รู้จักทันที แถมการเล่นด้วยจอยก็ออกจะง่ายกว่า เพราะคุณสามารถเปิด Aim assist ที่แทบจะเป็นการล็อคยิง ด้วยความที่ศัตรูมันไม่ค่อยจะวางหัวให้เราเป่าง่าย ๆ ตอนเล่นด้วยเมาส์ ผมยังต้องเล็งดักทาง ล็อคยิงด้วยจอยไปเลย ง่ายกว่าเยอะ ความรู้สึกเหมือนตอนเล่นภาคต้นฉบับ ที่เราเล็งแบบ Auto aim
เกมการเล่นของ Silent Hill 2 ถือว่าดีเลยสำหรับเกม Survival horror สู้ได้ หนีได้ ตามรูปแบบดั้งเดิม แต่ปัญหาก็คือมันไม่ได้มีอะไรโดดเด่น เล่นได้ดีแหละในฐานะเกม Silent Hill แต่ไม่ได้สนุกพอจะดึงดูดให้กลับมาเล่นเรื่อย ๆ และก็มีบางเรื่องที่น่าหงุดหงิดอย่างกับปรับความเร็วมุมกล้อง ทั้งเมาส์และจอยใช้ตัวปรับ Sensitvity ตัวเดียวกัน เกมส่วนใหญ่จะแยกให้ แต่ในเกมนี้เชื่อมกันไปเลย ทำให้การสลับไปมาระหว่าง เมาส์ กับ จอย จะให้ความรู้สึกแย่มาก
และด้วยความที่เกมนี้ ใช้ระบบต่อสู้ที่คล้ายกับเกม Callisto Protocol ข้อเสียของมันก็เลยคล้ายกัน คือในการฟาดศัตรู มันจะเป็นการดูดเข้าไปหาเป้าหมายที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่มันหนักกว่าตรงที่ว่า ในเกมนี้จะมีการทุบกระจกเก็บของ มีการซ้ำศพไม่ให้มันฟื้น ซึ่งก็ใช้การดูดผู้เล่นเข้าไปตี แล้วถ้ามีของอะไรอยู่ใกล้กัน เราก็ตีผิดประจำ อย่างจะทุบตู้เอาของ แต่มีศัตรูตายอยู่หน้าตู้ ตัวเอกเราก็จะซ้ำศพไม่หยุด ไม่ได้ทุบตู้ซักที หรือที่แย่ที่สุด คือเราจะตีตัวที่มันยังไม่ตาย ตัวเอกเราก็หันไปซ้ำศพซะอย่างนั้น กลายเป็นโดนโจมตีฟรี ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลาเจอศัตรูหลายตัว ถ้าคุณไม่มีปืน หรือตั้งใจจะไม่ใช่ปืน มันจะลำบากทั้งที่ไม่ควรจะลำบากเลย
Performance – หลายคนเรียกว่าเกมทดสอบการ์ดจอ
นอกจากรายละเอียด งานศิลป์ เทคโนโลยีกราฟิกก็เป็นดาวเด่นของเกมนี้ ซึ่ง Bloober team ก็เคยโชว์เทพมาแล้วตอนทำ The Medium ที่ใช้ Unreal engine แบบจัดเต็ม พร้อมเอฟเฟคใหม่ ๆ และลูกเล่น Ray tracing พอมาเกมนี้ เขาก็อัพมันขึ้นไปอีกขั้นนึง และไม่ใช่แค่ภาพ ระบบเสียงก็ทำดีมาก จังหวะที่ศัตรูอยู่รอบตัวเรา แต่ยังไม่เห็นตัว ความรู้สึกมันใกล้เคียงกับ Dead Space Remake อย่างที่เขาบอก เป็นไปได้ ควรเล่นด้วยจอยและใส่หูฟัง
และนี่น่าจะเป็นไม่กี่เกมที่ผู้เขียนรู้สึกว่า เขาใช้ฟังค์ชั่นการสั่นของจอย Dualsense ได้คุ้มมาก การตอบสนองต่อการฟาด การกระทืบ ดุดัน ถึงใจ แต่ไม่ใช่แค่อะไรรุนแรง จังหวะที่เราเดินฝ่าฝน จอยก็จะสั่นเปาะแปะ ๆ ให้รู้สึกถึงเม็ดฝนที่กระทบตัวพระเอก หรือจังหวะที่เราไปเจอเครื่องเสียง จอยจะสั่นตามเสียงที่ออกมา คล้าย ๆ กับการสั่นของลำโพง คือเสียงไม่ได้ออกที่จอยจริง ๆ แต่แค่สั่นพร้อมกับจังหวะเสียง ดังนั้นต่อให้คุณเล่นบน PC ผมว่าคุณก็ควรซื้อจอย PS5 เพื่อเล่นเกมนี้
แต่ในการรีวิวรอบนี้ ผู้เขียนเล่นจบ 2 รอบ ด้วยเกม 2 เวอร์ชั่น ตอนแรกเล่น PS5 และค่อยมาเล่น PC ในการเล่นบน PS5 ก็ตามปกติผมจะเปิดโหมด Performance เน้นลื่นไว้ก่อน แต่ Performance mode ก็ยังไม่ได้ลื่นตลอดเกม บางฉากมีลงไปถึง 30 เฟรม เพราะว่าเกมมันกินเครื่องหนักมาก แต่ก็เล่นไปจนจบ ไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก แต่พอมาเล่นเวอร์ชั่น PC.. ผมก็สงสัยว่า เอะ ปกติมันมีแดดด้วยเหรอ ? ทำไมเหมือนจำได้ว่าเคยเห็น พอลองเปิด PS5 ดูอีกที ปรากฏว่าเวอร์ชั่น PS5 ไม่มีแสงแดดจริง ๆ ด้วย ถ้าจะมีต้องเล่นในโหมด Quality ที่ล็อคให้เล่นแค่ 30 เฟรม
แม้ว่าส่วนใหญ่ เราจะเห็นแต่หมอกอึมครึม แต่ในจังหวะที่เกมเข้าช่วงกลางวันจนถึงตอนเย็น เราจะเห็นแสงแดดลอดผ่านหมอก ทำให้ภาพยิ่งดูสมจริง แต่ในโหมด Performance ของ PS5 จะปิดพระอาทิตย์ไปเลย ที่แย่คือ บน PC ไม่สามารถปรับให้ต่ำขนาดปิดพระอาทิตย์ทิ้งได้ ต่อให้เอาทุกอย่างลง Low ก็ยังคงมีแสงอาทิตย์ นั่นแปลว่า โหมด Performance ของ PS5 มันคือระดับ Low ที่ Low ยิ่งกว่าต่ำสุดของ PC แต่ถ้าใครทนภาพ 30FPS ได้ และจะเล่นในโหมด Quality ภาพที่ออกมาก็สวยพอ ๆ กับ PC แต่ด้วยความที่มันเป็น 30 เฟรม มันก็ทำให้การควบคุมช้าลง อย่างการหลบที่ต้องกะจังหวะ ถ้าเล่นโหมด performance กดง่าย ไม่มีปัญหา แต่พอเล่นโหมด Quality คุณต้องเผื่อจังหวะหน่อย เพราะความเร็ว input มันเปลี่ยนไปด้วย
พอมาเล่นบน PC หลังจากเล่นจบบน PS5 ผมเข้าใจเลยว่าทำไม Bloober team ต้องขอร้อง Konami ในการเอาเกมนี้มาลง PC ด้วย เพราะนี่คือร่างทองของ Silent Hill 2 ตัวเลือกกราฟิก เราสามารถดันขึ้นไปได้สูงมาก ถ้าเครื่องคุณไหว เครื่องที่ผมใช้เล่นก็ยังเป็นตัวเดิม i9-10900K กับ RTX 4080 super ยิ่งถ้าใครใช้การ์ด Nvidia ตัวเลือก DLSS ก็เป็นตัว Upscale ที่ให้เฟรมเรตเยอะสุด ข้อเสียคือมันจะทำให้ภาพสะท้อนมีอาการยุกยิก ๆ ยิ่งเอาลง Performance ก็ยิ่งเห็นชัด แต่เทียบกับเฟรมเรตที่ได้มา ผมว่าคุ้ม เพราะอย่างอื่นนอกจากภาพสะท้อน มันก็ยังชัด
และแน่นอนว่าเรามีตัวเลือก Ray tracing การเปิด Ray tracing จะเป็นการเปิดระบบแสงเงา ที่จะสมจริงขึ้น พร้อมกับภาพสะท้อนที่ยิ่งสมจริง ในบางฉากมันจะดูต่างมาก ระหว่างเปิดกับไม่เปิด แสงเงาในแบบ ray tracing จะมีการสะท้อนจากจุดกระทบแล้วฉายไปหาพื้นที่อื่น ตรงไหนที่ควรจะสว่างก็จะสว่าง ตรงไหนที่ควรจะมืด ก็จะมืด ฉากนึงที่เห็นชัด ๆ คือ คาเฟ่ ในเขตเมืองแรก เปิดนี่คือสมจริง แต่ถ้าปิดคือมืดสนิท ส่วนภาพสะท้อน ถ้าเราไม่เปิด Ray tracing ภาพสะท้อนแบบธรรมดา ก็ไม่ได้แย่ อาจจะมีขาดตอนและเราก็ไม่เห็นภาพสะท้อนของตัวเอก แต่รวม ๆ ก็ยังสวย แต่ของ Ray tracing มันจะไม่มีจังหวะขาดตอน ทุกอย่าง real time และคุณจะได้เห็นเงาสะท้อนของตัวเอก ในบางจุดมันให้อารมณ์เปลี่ยนไปเลย แต่อย่างว่า Ray tracing มันคือสุดยอดตัวกินเครื่อง ถ้าเปิดขึ้นมาเฟรมเรตจะวูบไป 20 ถึง 30 เฟรม ถ้าใครไม่ซีเรียส ปิดไปก็ช่วยได้เยอะ เพราะเกมธรรมดาก็กินเครื่องจะแย่อยู่แล้ว
แต่ไม่กี่วันมานี้ เวอร์ชั่น PC เพิ่งจะมีแพทช์ใหม่ ที่ทำให้ผู้เขียนเทใจไปทาง PC หมดเลย เพราะในแพทช์นี้เขาทำให้เกมรองรับ Frame generation เฟรมพุ่งขึ้นประมาณ 30 เฟรม จังหวะกระตุกเวลาข้ามฉากก็น้อยลง คือถ้าใครมีการ์ดจอที่รองรับ Frame generation ผมว่าเล่นบน PC ดีที่สุด แถมมีการอัพเดทให้คัทซีนรันแบบ 60 เฟรมด้วย ไม่ล็อค 30 เฟรมแล้ว
แต่เวอร์ชั่น PC ก็ใช่ว่าจะดีทุกอย่าง อย่างแรกก็ ใช่ครับ เกมมันกินเครื่องสุด ๆ ถ้าคุณไม่มีคอมที่เสปคผ่านขั้นแนะนำ อาจจะเล่นได้ไม่ดี อย่างที่สอง DLSS จะทำให้ขอบวัตถุในหลาย ๆ จุด ดูหยักยิ่งกว่าตัวเลือกอื่น ได้เฟรมเยอะสุด แต่ก็ทำภาพเละสุด และเกมนี้ก็ยังเหมือนกับ The medium คือในบางฉาก มันจะกินเครื่องอย่างไม่น่าเชื่อ ห้องธรรมดาแต่ดึงเฟรมลงไปถึง 40 ได้เฉย
ถ้าเทียบกันระหว่าง 2 เวอร์ชั่น PC vs PS5 เวอร์ชั่น PS5 ก็จะง่ายหน่อย จบในตัว ไม่ต้องใช้คอมแพง ไม่ต้องตั้งค่ากราฟิกมากมาย อาการกระตุกเวลาข้ามฉากก็ยังมีบ้าง แต่ไม่เห็นชัดเท่า PC และจริง ๆ PS5 ก็มี Ray tracing ถ้าคุณเปิดโหมด Quality แต่มันจะใช้เป็นบางฉากไม่ได้ใช้ทั้งเกมแบบของ PC เพราะงั้นถ้าใครจะเล่น PS5 มันก็คุ้ม และบางคนอาจจะชอบโหมด Performance ของ PS5 เพราะการที่เกมไม่มีแสงอาทิตย์ ทำให้บรรยากาศเกมยิ่งดูอึมครึม ดูแล้วแบบใกล้เคียงกับงานอาร์ทของภาคต้นฉบับ ถ้าเป็น Quality mode หรือว่าภาพของเวอร์ชั่น PC อาจจะดูสมจริงกว่า แต่ Performance mode จะได้บรรยากาศมากกว่า
แต่ถ้าเป็นไปได้ ผมก็แนะนำให้เล่นบน PC มันภาพสวยกว่า มันปรับแต่งได้เยอะ แถมล่าสุดมีตัวเลือก Frame generation เอาอันนั้น Low เอาอันนี้ High ตามใจเราได้ ถึงอย่างนั้น เฟรมเรตก็ยังแกว่งอยู่ดี แถมคุณควรจะเล่นด้วยจอย Dualsense ของ PS5 ซึ่งไม่ใช่ปัญหาถ้าเล่นบน PS5 อยู่แล้ว แต่ใครมี PC อย่างเดียว ต้องซื้อเพิ่ม
แต่ไม่ว่าคุณจะเล่นเครื่องไหน ทั้ง 2 เวอร์ชั่นจะมีปัญหาเหมือนกัน คืออย่างแรกเสียงจอย Duelsense ปิดไม่ได้ เสียงวิทยุเวลาศัตรูเข้าใกล้ นอกจากจะดังในเกม ยังดังที่จอยอีก แต่แปลกมาก ทั้ง PS5 กับ PC ไม่มีตัวเลือกในการปิดเสียงจอยในหน้า option จะปิดวิทยุเล่น ก็ไม่ได้ยินเสียงศัตรู บน PS5 ถ้าจะปิด ต้องปิดที่ option ในหน้า Dashboard ของเครื่องไปเลย ส่วนของ PC จริง ๆ เราปิดได้ ด้วยการเลือกใน steam ให้มัน support จอย duelsense แบบ enabled อย่างเดียว แต่ถ้าทำงั้น เราจะเสียลูกเล่นการสั่นไปด้วย คือปกติ ทุกเกมที่รองรับจอย Duelsense มันต้องเปิด-ปิดเสียงจอยได้ เกมนี้ทำไม่ได้ แปลกมาก
แม้ว่าส่วนตัวผมจะแนะนำเวอร์ชั่น PC แต่ผมถือว่า ทั้ง 2 เวอร์ชั่น มีดี-มีเสีย พอ ๆ กัน ดังนั้นคะแนนในด้าน Performance ผู้เขียนถือว่าเป็นของทั้ง 2 เวอร์ชั่น ไม่มีใครดีกว่าชัดเจน ใครสะดวกเครื่องไหนก็เล่นตามที่สะดวก
สรุป
Silent Hill 2 ภาคต้นฉบับ คือเกมที่เรียกได้ว่า ขึ้นหิ้ง การรีเมคเกมบนหิ้งให้ออกมายอดเยี่ยม ไม่ได้ทำกันง่าย ๆ แต่เกมนี้ ทำได้แล้ว ถ้าคุณไม่เคยเล่นเกม Silent Hill นี่คือโอกาสดีที่คุณจะได้ลอง ส่วนแฟน Silent Hill ก็คงไม่พลาดกันอยู่แล้ว