หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารอเมริกันส่วนหนึ่ง ขนสัมภาระขึ้นเรือลำใหญ่ เพื่อพาตัวเองกลับบ้านเกิดเมืองนอนที่จากมา แต่ในระหว่างกลับบ้าน เป็นปกติที่เรือจะต้องจอดตามท่า ไม่ว่าจะเพราะต้องการเติมเสบียงบนเรือ หรือต้องการให้ทหารพักผ่อน ก็ยอมรับได้ทั้งนั้น
แต่ในขณะที่เรือลงจอดบนท่าน้ำแห่งหนึ่งของประเทศจีน ได้เกิดฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก จนฟ้าผ่าสัมภาระปริศนาที่ขนขึ้นมา ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์สยองขวัญบางอย่าง ล้างชีวิตทหารกว่าสิบชีวิตในเรือจนสิ้น
ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นของ ‘The Dark Pictures: Man Of Medan’ ผลงานใหม่ของ Supermassive Games ทีมผู้สร้าง Until Dawn ที่เคยอยู่ใต้ฟ้า Sony มาก่อน ออกมาครั้งนี้ตัวเกมเลยไม่เป็น Exclusive เฉพาะ PlayStation อีกแล้ว แต่เนื่องจากความเคยชิน แพลตฟอร์มที่เราจะใช้รีวิว ยังคงเป็น PlayStation 4 เช่นเดิม (ฮา)
Story
ในเมื่อ Man of Medan เป็นเกม Interactive เพราะฉะนั้นในส่วนของเนื้อหาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ เกมจะบอกเล่าตั้งแต่ความสัมพันธ์ของตัวละครทั้ง 5 ตัว และค่อย ๆ ชี้นำให้คุณสานความสัมพันธ์ของพวกเขาต่อไปในแบบที่คุณต้องการ ตัวเกมยังเน้นคอนเซปต์ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีกอย่างแน่นหนา เพราะการตอบคำถามในภาคนี้จะส่งผลสืบเนื่องแทบจะทันที แตกต่างจาก Until Dawn ที่คุณจะต้องเดาสุ่มเอาเสียมากกว่า
เสน่ห์ของการเล่าเรื่องในสไตล์ Until Dawn ยังคงอยู่ครบ คุณยังคงได้ควบคุมตัวละครแบบตัดสลับกันตามสถานการณ์ แต่ในภาคนี้เพิ่มระบบ Co-op เข้ามาในเกมด้วย ความพิเศษมันอยู่ที่ว่า จากที่คุณจะเห็นเรื่องราวทั้งหมด กลายเป็นว่าคุณจะเห็นเพียงแค่ฝั่งที่คุณควบคุมอย่างเดียว ทำให้การตัดสินใจทำได้ยากยิ่งขึ้น ถือเป็นระบบที่ออกแบบมาค่อนข้างยอดเยี่ยม
ความเจ๋งของ Man of Medan คือการทำท่าทางจะเฉลยเรื่องราวทั้งหมดในตอนแรก แต่ตบหน้าคุณอย่างแรงในภายหลัง บอกเลยว่าอย่าเพิ่งคำนวณว่ามันเป็นเพราะแบบนั้นแบบนี้ เพราะผลลัพธ์ที่ได้ อาจผลักคุณตกเก้าอี้หรือโซฟาจนคุณหงายท้องเลยก็เป็นได้
Presentation
Man of Medan นำเสนอความรกร้างของเรือทหารที่ถูกทิ้งไว้เกือบร้อยปีได้อย่างยอดเยี่ยม หากคุณเคยดูหนังเรื่อง Ghost ship เมื่อปี 2002 จะพบว่าลักษณะของสถานที่นั้นคล้ายกันมาก ทั้งในเรื่องบรรยากาศที่น่าขนลุก ความเป็นสนิม ๆ น้ำ ๆ น่าขยะแขยงหน่อย ๆ โดยจุดนี้เหมือน Supermassive จะทำการบ้านมาค่อนข้างหนักพอสมควร
ที่พูดแบบนั้น เพราะ Until Dawn ก็เคยนำเสนอสถานที่ในลักษณะนี้มาก่อน แต่อาจทำได้ไม่ดีเท่าผลงานใหม่นัก (ก็แหงสิ) สิ่งที่น่าจะด้อยกว่า Until Dawn มีเพียงความกว้างของฉาก และลักษณะของด่านที่ออกจะแกมบังคับไปหน่อย ทำให้เราไม่ค่อยได้ครีเอทวิธีการเล่นเองเท่าไหร่นัก
ถ้าถามว่ามันเป็นยังไง อยากให้คุณนึกภาพฉากตัดนิ้วของ Mike ใน At What Price ที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ผู้เล่นอย่างเรานึกซนไปสำรวจเท่านั้น หากคุณไม่ซนเสียอย่าง ไมค์คงไม่ต้องเสียนิ้วของเขาไปฟรี ๆ แต่ใน Man of Medan จะนำเสนอไปอีกรูปแบบ ซึ่งในรูปแบบที่ว่านี่ สามารถหลีกเลี่ยงได้ง่ายกว่ากันค่อนข้างเยอะมาก ๆ เรียกได้ว่าแทบจะใบ้มาก่อนเลย ว่าถ้าเลือกหัวข้อนี้ ไม่ตายก็เสียหายแน่นอน
Gameplay
Man of Medan อาจจะโดดเด่นในเรื่องการเล่าเรื่อง แต่สำหรับ Gameplay เราอาจจะต้องคิดดูเสียสักนิดว่ามันแย่กว่าเกมเก่าของค่ายหรือเปล่า ? เกมเพลย์โดยรวมของ Man of Medan อาจจะเป็นไขปริศนา และกด QTE ตามสถานการณ์เหมือนเกมก่อนหน้า แต่บอกตามตรงว่าความยากและมุขค่อนข้างห่างชั้นกันเยอะเอามาก ๆ
อย่างที่เราบอกไปก่อนหน้าว่าความยากมันห่างชั้นกว่าเกมก่อนหน้าเยอะ ตรงนี้เป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ขอให้คุณนึกภาพใน Until Dawn (อีกแล้ว) มันจะมีฉากประเภทที่คุณจะต้องจับ Dualshock ไว้นิ่ง ๆ โดยที่ไม่ขยับเขยื้อน ซึ่งฉากพวกนี้ตัวเกมทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมาก (คือมันน่ากลัวมากนั่นแหละ) แต่พอเป็น Man of Medan จังหวะพวกนี้ถูกเปลี่ยนเป็นกดแบบเกม Music แทน บอกตรง ๆ ถ้าฉากพวกนี้ยังน่ากลัวเหมือนเดิมมันก็คงกดดัน แต่กลายเป็นว่าฉากที่ต้องกดนั้น แทบไม่กดดันแถมไม่น่ากลัวสักนิดเดียว ทำให้ความตื่นเต้นอาจหายไปพอสมควร
อีกจุดที่อาจจะต้องติมากกว่าชม คือระบบยุบยับที่ใส่เข้ามาแต่แทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นรูปถ่ายทำนายอนาคต หรือนิสัยประจำตัวของตัวละคร ในเรื่องแรก สำหรับรูปถ่าย ในเกมนี้จะมีประโยชน์น้อยมาก ๆ เนื่องจากตัวละครในเกม “ตายยากมาก” เอาเป็นว่าถ้าคุณเล่นแบบไม่พลาด QTE และเรียนรู้ที่จะพูดให้รู้เรื่อง คุณสามารถจบเกมแบบไม่มีใครตายได้ทันที
สำหรับเรื่องนิสัยประจำตัว อันนี้อาจมีผลในช่วงที่จะต้องตอบคำถาม แต่มันดันไม่ค่อยส่งผลต่อปัจจัยโดยรวม เพราะไม่ว่าคุณจะเล่นตัวละครไหน คุณสามารถบู๊ ทำตัวกล้า ซัดหน้าผีได้แบบไม่สนนิสัยที่ติดตัวอยู่ ถือเป็นจุดน่าเสียดายอย่างหนึ่งของเกม ที่คิดว่าไม่ใส่มาน่าจะโอเคกว่า
เห็นบ่นขนาดนี้แล้วตกลงมีจุดไหนที่ชอบบ้าง ? พูดกันตามตรง ทั้งหมดทั้งมวลที่เล่ามาเนี่ย สำหรับผู้เขียนจริง ๆ แล้วชอบทั้งหมดเลย ทั้งระบบใหม่ที่ไม่ต้องมานั่งกลั้นหายใจถือจอยอีกแล้ว กับตัวละครที่ตายยากในแบบที่พลาด QTE ครั้งสองครั้งยังไม่ตาย แถมประโยคที่พูดยังใบ้มาค่อนข้างเยอะว่าควรพูดแบบไหน แต่ผู้เขียนลองนึกถึงผู้เล่นคนอื่น ๆ ที่นิยมเล่นเกมยาก ๆ แล้ว จุดนี้น่าจะเป็นจุดที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นข้อเสียมากกว่าข้อดี
Performance
เห็นได้ชัดว่าการออกจากใบบุญของ Sony อาจเป็นความเสี่ยงที่ Supermassive ต้องแบกรับผลของมันไว้ เนื่องจาก Man of Medan ไม่ได้ใช้ Decima Engine เหมือนเกมก่อนหน้าอีกแล้ว ทำให้กราฟิกที่ออกมาดูสวยไม่เท่าเกมเก่า ทั้งในเรื่อง Texture ของคน และสถานที่ ซึ่งเรื่องนี้ค่อนข้างซีเรียสมาก เพราะในช่วงที่ผู้เขียนเล่น Until Dawn จำได้ว่ากลัวมากเพราะความสมจริงของภาพ แต่พอมาเป็น Man of Medan ผู้เขียนกลับรู้สึกตลกมากกว่าเมื่อเห็นศพ เพราะด้วย Texture ที่ไม่ละเอียด ทำให้ศพพวกนี้ดูเหมือนยางยืดแทนจะเป็นคนจริง ๆ
ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องย้อนกลับไปในเรื่องที่พูดก่อนหน้า คือเรื่องฉาก เพราะถ้าคุณจำได้ ฉากในเกม Until Dawn จะค่อนข้างกว้างเอามาก ๆ ในบางฉาก และแสดงตัวว่ากว้างได้เกือบทุกฉาก แต่ใน Man of Medan ตัวเกมดันไปเน้นการตัดสลับซอกสลับซอย ทำให้พื้นที่ดูแคบลงอย่างเห็นได้ชัด มีเพียงบางฉากที่กว้างแต่ก็ไม่ถึงกับกว้างมาก และนี่คือผลลัพธ์ที่เด่นชัดที่สุดของการย้ายจาก Decima Engine ไปใช้ Unreal Engine
สำหรับในเรื่อง Frame rate ตรงนี้อาจคุยได้ไม่ถนัด เนื่องจากผู้เขียนใช้ PS4 Pro ในการเล่น ทำให้ไม่สามารถวัดได้ว่าเฟรมเรตมันอยู่ที่เท่าไหร่ นิ่งหรือเปล่า สิ่งที่สัมผัสได้อย่างเดียวคือ เกมไม่มีอาการเฟรมตกที่เห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า การเล่นตั้งแต่แรกเริ่มไปจนถึงตอนจบค่อนข้างลื่นสบาย ไม่มีอะไรเข้ามาขัดความสมูทของตัวเกม แต่สำหรับชาว PC อาจจะต้องไปรอลุ้นกันเอาเองว่าเกมจะกินเครื่องขนาดไหน
Conclude
สรุปแล้ว The Dark Pictures: Man Of Medan ถือเป็นเกม Interactive ที่รักษาคุณภาพของเกมก่อนหน้าไว้ได้ค่อนข้างดี แต่ด้วยความที่ตัวเกมพยายามรักษามากไป ทำให้เกมไม่ค่อยมีสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก แถมบางอย่างยังรู้สึกว่าด้อยกว่าเกมก่อนหน้าด้วยซ้ำ สิ่งดี ๆ จะมีก็แต่เนื้อหาที่เล่าได้ค่อนข้างเหนือชั้น เรียกได้ว่าน่าจะเป็นหนึ่งในเนื้อเรื่องสไตล์ “เซอร์ไพรส์” ที่ดีที่สุดสำหรับผู้เขียนในปีนี้ได้เลยก็ว่าได้